Skip to content

A Will Eternal 486

บทที่ 486 ป๋ายเสี่ยวฉุนที่คนทั้งโลกประกาศจับ

จ้าวหลงตาเหลือก หลิวลี่มองตาค้างอ้าปากกว้าง คนอื่นๆ ต่างก็พากันหน้าเปลี่ยนสี มองอึ้งมายังป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนหัวเราะเสียสติอยู่ตรงนั้น

“ยากระสันซ่าน?” ป๋ายหลินเองก็ตะลึงงัน

ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาพูดคำใด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดปลายแขนเสื้ออย่างแรงหนึ่งครั้ง หอบเอาเตาหลอมยาเจ็ดแปดเตามาหมดทีเดียว ก่อนจะขยับร่างระเบิดพลังเอ็นคงกระพันของขาทั้งสองข้าง เสียงตูมดังหนึ่งครั้งก็ห้อทะยานไปยังกำแพงเมืองทันที

“เจ้าสัตว์พุงโต ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนมาแล้ว!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแสงคมกล้า ลมหายใจถี่กระชั้นแต่กลับไม่ยุ่งเหยิง ทะยานไปอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงตูมตาม ขยับเข้าไปใกล้กำแพงเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ

ดวงตาของป๋ายหลินเปล่งวาบ สะกดกลั้นความตกใจระคนสงสัยในใจลงไปแล้วก้าวยาวๆ ตามติดไปทันที ส่วนพวกจ้าวหลงเองก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรีบบินตามไป อยากจะเห็นกับตาตัวเองว่ายาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมออกมาในสภาพที่น่ากลัวขนาดนี้จะมีสรรพคุณเช่นไรกันแน่

ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้ามาใกล้กำแพงเมือง เขากระโดดผลุงทีเดียวก็มายืนอยู่บนกำแพงเมืองโดยตรง หลังจากคำรามกร้าวหนึ่งครั้งก็ขว้างเตาหลอมยาเจ็ดแปดเตาที่อยู่ในมือออกไปข้างนอกทันที

ยามนี้นอกกำแพงเมือง พวกยักษ์ชนพื้นเมืองกำลังโจมตีร่วมกับมหาสมุทรวิญญาณที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด โดยเฉพาะหลายวันมานี้เนื่องจากเตาหลอมยาเสียประสิทธิภาพ การควบคุมวิญญาณพยาบาทก็ง่ายดายขึ้น ซึ่งทำให้พวกอาจารย์หลอมวิญญาณสามารถเอาแรงกายแรงใจทั้งหมดไปไว้ที่ตัววิญญาณพิเศษ ทำให้สงครามครั้งนี้มีความคืบหน้าไปกว่าก่อนหน้านั้นอีกไม่น้อย

ทุกวันเสียงอึกทึกครึกโครมจะต้องดังเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และเมื่อมีวิญญาณพยาบาทเป็นตัวช่วยเสริม จำนวนการตายของชนพื้นเมืองจึงลดน้อยลงไปด้วย สรุปคือ…กลับเป็นฝ่ายของห้ากองทัพใหญ่เองต่างหากที่ความกดดันเพิ่มขึ้นพรวดพราด

ชั่วขณะที่เตาหลอมยาเจ็ดแปดใบบินออกมา อุณหภูมิร้อนแผดเผาก็แผ่ไปทั่ว ตลอดทั้งเตาเป็นสีแดงโร่ มองดูแล้วน่าตกใจอย่างถึงที่สุดราวกับว่าด้านในนั้นแฝงเร้นไว้ด้วยพลังน่าหวาดกลัวบางอย่างที่หากระเบิดออกก็ต้องเขย่าคลอนฟ้าดินแน่นอน

แทบจะวินาทีเดียวกับที่เตาหลอมยาเจ็ดแปดเตาบินออกมา พวกยักษ์ชนพื้นเมืองก็แสดงความตื่นตระหนกออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่กลับไม่ได้ลนลานมากนัก ทว่าสายตาก็จับจ้องไม่กะพริบ เวลาเดียวกันนั้นบนพื้นที่ว่างเปล่าที่อยู่ห่างจากที่แห่งนี้ระยะหนึ่ง ผู้เฒ่าชุดดำที่นั่งอยู่กลางแท่นบูชาสีดำรวมไปถึงอาจารย์หลอมวิญญาณ หัวหน้าเผ่ามากมายต่างก็มองเห็นภาพที่สะท้อนออกมาผ่านทางม่านน้ำนี้

“ลาโง่เล่นลูกไม้ตื้นๆ วิธีการนี้ใช้ไม่ได้ผลแล้ว!” ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยเสียงเรียบด้วยสีหน้ามึนตึง มือขวาทำมุทรายกขึ้นชี้ไปยังม่านน้ำ ม่านน้ำนั้นก็พลันบิดเบือน ตามมาด้วยบนสนามรบนอกกำแพงเมืองที่มีสัตว์ใหญ่รูปร่างราวกับลูกกลมสิบกว่าตัวคำรามพุ่งออกมาจากใต้ดิน

ร่างของสัตว์ใหญ่ตัวกลมเหล่านี้พองขยายทันที นัยน์ตาพวกมันฉายแววดูหมิ่น แล้วจึงพลันอ้าปากกว้างก่อนจะสูดลมอย่างแรง!

เมื่อถูกแรงสูบจากพวกมันกระชากดึง เตาหลอมเจ็ดแปดเตาก็ไม่มั่นคง ยังไม่ทันร่วงลงพื้นก็ตรงดิ่งเข้าหาสัตว์ใหญ่ตัวกลมเหล่านั้นแล้ว ภายใต้การช่วงชิงกันเองของสัตว์ใหญ่เหล่านี้ ไม่นานสัตว์ใหญ่ตัวกลมเจ็ดแปดตัวก็แยกกันกลืนเตาหลอมยาเข้าไปในปาก

พวกสัตว์ร้ายที่แย่งเตาหลอมยาจากตัวอื่นไม่ได้คล้ายจะไม่พอใจอย่างมาก พวกมันจึงคำรามฮึ่มฮั่มเบาๆ อยู่หลายที

ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าบนแท่นบูชาสีดำ เขายิ้มน้อยๆ นัยน์ตาเผยแววเหยียดหยาม ขณะเดียวกันนั้นภาพที่เตาหลอมถูกเขมือบกลืนลงไปก็อยู่ในสายตาของพวกนักพรตห้ากองทัพใหญ่อีกครั้งเช่นกัน

ป๋ายหลินเงียบงัน นักพรตห้ากองทัพพากันถอนหายใจเงียบๆ

มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่มองสัตว์ใหญ่เจ็ดแปดตัวกลืนเตาหลอมยาลงไปพร้อมหัวเราะเสียงเย็น อีกทั้งดวงตายังฉายแววเย็นเยียบน่ากลัว

“กินไปเถอะ พวกเจ้ายิ่งกินเยอะก็ยิ่งดี!”

และเวลานี้เองก็อึงอลสนั่นหวั่นไหวก็ดังออกมาจากในร่างของสัตว์เจ็ดแปดตัวที่กินเตาหลอมยาลงไป ท้องของพวกมันพองป่องขึ้นมา ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว

อีกทั้งสัตว์ร้ายพุงโตเหล่านี้ยังคำรามกร้าวใส่กำแพงเมืองคล้ายต้องการข่มขู่ เสร็จแล้วถึงบิดกายหมายจะจากไป และแน่นอนว่าย่อมมียักษ์ชนเผ่าจำนวนมากบินออกมาปกป้องรอบกายของพวกมัน อีกทั้งเสียงเสียดสีเย้ยหยันก็ยิ่งดังออกมาจากปากของยักษ์ชนพื้นเมืองที่อยู่บนสนามรบนอกกำแพงเมือง

“มีปัญญาแค่นี้เองรึ อาวุธนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว!”

“พวกถั่วทั้งหลายที่งอกบนกำแพงเมือง พวกเจ้ายังมีวิธีการอย่างอื่นอีกไหม เตาหลอมแค่นี้ยังไม่ทำให้สัตว์เลี้ยงของพวกข้าอิ่มหนำสำราญเท่าไหร่เลย!”

“ช่างโง่เง่าสิ้นดี ก่อนหน้านี้ก็เห็นแล้วว่าไร้ผล วันนี้ยังจะโยนออกมาอีก!”

เสียงหัวเราะบาดหูทำให้นักพรตของห้ากองทัพทุกคนที่ได้ยินกัดฟันกรอด หากไม่เป็นเพราะมีคำสั่งจากคนฟ้าว่าทั้งห้ากองทัพได้แต่เฝ้าระวัง ห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะต้องออกไปสังหารเจ้าพวกชนพื้นเมืองเหล่านี้ให้เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำแน่นอน

ป๋ายหลินสูดลมหายใจเข้าลึก ขยับร่างมาหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก

“อีกเดี๋ยวพวกเขาก็หัวเราะไม่ออกแล้ว หากข้าโกรธเมื่อไหร่ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนหรี่ตาลง พึมพำแผ่วเบา ป๋ายหลินที่ได้ยินถึงกับอึ้งงัน ยังไม่ทันรอให้เขาเอ่ยถาม และเวลานี้เอง ทันใดนั้นสัตว์ร้ายพุงโตเจ็ดแปดตัวที่เขมือบกลืนเตาหลอมยาเข้าไป หลังจากถอยกรูดออกไปก็พลันหยุดชะงัก

ดูเหมือนว่าสีหน้าของสัตว์ร้ายพวกนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย บัดนี้ดวงตาทั้งคู่ของพวกมันเปลี่ยนมาเป็นแดงฉาน ร่างสั่นเทิ้มอย่างมิอาจควบคุมได้ อีกทั้งปากก็ยังพ่นควันสีชมพูออกมาไม่หยุด แถมตลอดทั้งร่างก็เริ่มเป็นสีแดงก่ำ

เมื่อลมหายใจหอบหนักดังออกจากปากของพวกมันก็ตามมาด้วยเสียงคำรามโฮกๆ ที่ดังก้องฟ้าดิน ขณะเดียวกันกับที่พวกยักษ์ชนพื้นเมืองพากันแปลกใจ สัตว์ร้ายเจ็ดแปดตัวก็สะบัดตัวหลุดจากการคุ้มกันของยักษ์ชนพื้นเมืองที่อยู่รอบกาย ก่อนจะพุ่งกระโจนเข้าหายักษ์เหล่านั้นท่ามกลางเสียงร้องคำรามราวกับคลุ้มคลั่ง

ทั้งยังมีสองตัวที่ยิ่งตาแดงก่ำ ร้องคำรามพุ่งเข้าใส่เผ่าเดียวกัน ส่วนตัวอื่นๆ ขอแค่มองเห็นใครก็ตามบนสนามรบแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ชนพื้นเมืองหรือสัตว์ร้ายตัวอื่นๆ พวกมันก็จะร้องคำรามพร้อมกระโจนโถมทับทันที…

ทุกตัวเกิดกำหนัดกระสันซ่าน!

แถมยากระสันซ่านนี้ยังระเบิดออกมาจากในร่างของสัตว์เหล่านี้ มันไม่สามารถไหลเวียนออกไปด้านนอก อีกทั้งยังผ่านการชุบหลอมมาถึงสี่ครั้ง ทำให้อานุภาพของมันยิ่งใหญ่รุนแรงจนมิอาจบรรยายได้!

ไม่ว่าสัตว์เหล่านี้จะเป็นเพศผู้หรือเพศเมียต่างก็รู้สึกเหมือนมีเตาไฟกำลังลุกไหม้อยู่ในร่าง สูญเสียสติสัมปัชชัญญะ เกิดกำหนัดกันอย่างเต็มอารมณ์ หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า ทว่าปากของพวกมันยังคงมีควันสีชมพูพ่นออกมาอย่างต่อเนื่อง

ทุกที่ที่ควันนั้นลอยผ่าน ไม่มีผลใดๆ กับวิญญาณพยาบาท ทว่าสำหรับยักษ์ชนพื้นเมืองแล้วกลับส่งผลกระทบอย่างรุนแรง!

พวกเขาแค่ได้กลิ่นไม่กี่ทีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นแดงปลั่ง แต่ละคนดวงตาเผยความเลื่อนลอย และพริบตาเดียวก็เปลี่ยนมาเป็นแดงฉาน ก่อนจะแผดเสียงคำราม…

เวลาแค่แผล็บเดียว นอกกำแพงเมือง บนสนามรบต่างก็เต็มไปด้วยภาพความโกลาหลพันลึกกึกกือทั่วทุกหนแห่ง…

เสียงโหยหวน เสียงร่ำไห้ระงม ทั้งยังมี…เสียงคำรามแหบพร่าอย่างวาบวามใจที่ทำให้ทั้งสมรภูมิรบเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่านี่ไม่ใช่สนามรบอีกต่อไปแล้ว แต่กลายมาเป็นพื้นที่แห่งความปั่นป่วน…

ที่ได้ผลลัพธ์น่าตะลึงเช่นนี้ สาเหตุใหญ่ก็เพราะในยากระสันซ่านนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังเพิ่มสูตรของยาหลอนประสาทเข้าไปด้วย แถมเขายังเอาวัตถุดิบหลักบางอย่างมาหลอมพลังจิตโดยไม่คิดเสียดายค่าตอบแทน นี่ถึงทำให้ยาที่หลอมออกมามีพลังน่าครั่นคร้ามถึงเพียงนี้

ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้นักพรตห้ากองทัพใหญ่ที่อยู่บนกำแพงเมืองตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง สะท้านสะเทือนไปยันจิตวิญญาณ ตะลึงลานจนทำอะไรไม่ถูก ทุกคนได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น มองมายังสนามรบ ลมหายใจของพวกเขาก็ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ในใจคล้ายมีคลื่นลูกยักษ์ถาโถมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“นี่…นี่…”

“พวกเขา…บัดซบ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”

“นั่นคือ…ยาอะไร สวรรค์!!”

เสียงโหวกเหวกโวยวายดังออกมาจากปากของนักพรตจำนวนนับไม่ถ้วน

ไม่ว่าจะเป็นทหารทั่วไป หรือผู้บังคับกองสิบ ผู้บังคับกองร้อย แม้กระทั่งผู้บังคับกองพันและผู้บังคับกองหมื่นก็เป็นไม่ต่างกัน บัดนี้พวกเขาต่างก็ถูกภาพบนสนามเขย่าขวัญจนหลุดมาดสุขุม

ต่อให้พวกป๋ายหลินที่เป็นแม่ทัพในสมองก็ยังมีเสียงดังวิ้งๆ ได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น

หรือแม้แต่…ดวงตายักษ์เหนือเจดีย์สูงที่เวลานี้มีแสงเปล่งวาบ

ผู้เฒ่าสามตาเฉินเห้อซานยังถึงขั้นปรากฏตัว ด้วยฐานะสูงส่งของคนฟ้าเมื่อต้องมาเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้กับตาตัวเอง เขาก็ยังสูดลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดไม่ได้ ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าของเขาก็เหยเกถึงขีดสุด

“ที่นี่…ยังใช่กำแพงเมืองอยู่หรือไม่?” เวลานี้ในสมองของทุกคนต่างก็บังเกิดความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายคลึงกับความเลื่อนลอยอย่างมิอาจห้ามได้ เวลาเดียวกันนั้น สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนผู้ที่สร้างทุกอย่างขึ้นมา วินาทีนี้ชื่อของเขาก็ได้ตราตรึงอยู่ในใจของทุกคนอย่างลึกล้ำ!

“ชีวิตนี้จะไม่มีทางไปมีเรื่องกับ…ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้น่ากลัวเด็ดขาด!” ขณะที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันสูดลมหายใจเฮือกๆ ภาพเหตุการณ์ที่ยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังก็ฉายให้เห็นอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าชุดดำบนแท่นบูชา รวมไปถึงอาจารย์หลอมวิญญาณและพวกหัวหน้าชนเผ่าทั้งหลาย

ทั้งในและนอกแท่นบูชามีแต่ความเงียบสงัด สายตาทั้งหมดจ้องเขม็งไปบนม่านน้ำด้วยแววตาเลื่อนลอย ไม่มีใครพูดคำได้ แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังไม่มีให้ได้ยิน เนิ่นนานหลังจากนั้นถึงได้มีเสียงสูดลมหายใจบางเบาที่ค่อยๆ ดังออกมา และเสียงลมหายใจนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ หอบหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงท้ายที่สุดก็เริ่มมีคนตัวสั่นเทิ้มไม่หยุด

ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงคำรามเดือดดาลอย่างถึงขีดสุดก็ดังกระหึ่มออกมาจากทั้งในและนอกแท่นบูชา

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!!”

“แดนทุรกันดารของข้าไม่ขออยู่ร่วมฟ้าดินเดียวกับเจ้า!!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้ชั่วช้า เจ้าๆๆ…เจ้าต้องไม่ได้ตายดี!!!”

“ประกาศจับ! ตลอดทั้งโลกจงประกาศจับเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ คนคนนี้ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น!! หากเขาไม่ตายจะกลายมาเป็นความอัปยศที่รุนแรงที่สุดของแดนทุรกันดารเรา!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version