บทที่ 447 สิ่งสกปรกกลับมาอีกแล้ว
ปลากาลทองตัวนี้จี้ฟางมองเห็นตั้งนานแล้ว เมื่ออยู่บนเรือรบ นอกจากพวกจ้าวเทียนเจียวสามคนแล้ว เขาก็ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาอีก
ส่วนปลาตัวนี้ในเมื่อเขามองเห็น แถมยังแย่งมาได้แล้วด้วย ต่อให้จะกริ่งเกรงป๋ายเสี่ยวฉุนเล็กน้อย แต่กลับมั่นใจมากพอว่าสามารถกำราบอีกฝ่ายได้ ต่อให้มีกงซุนหว่านเอ๋อร์พ่วงมาด้วย จี้ฟางก็ยังมั่นใจในตัวเอง
เพราะอย่างไรซะก็ไม่ใช่แค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้นที่มีคนคอยช่วยเหลือ ข้างกายตนก็มีผู้ติดตามเช่นเดียวกัน เวลานี้เมื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาประโยคนั้นจบเขาจึงหมุนกายขวับแล้วจากไปทันที
“รังแกกันเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหปรี๊ด ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นแย่งชิงเอาของตัวเองไปเช่นนี้ทำให้เขาข่มอารมณ์ไม่ไหว ขณะที่กำลังจะเข้าไปขัดขวางอีกฝ่าย เสินซ่วนจื่อที่อยู่ด้านหลังกลับดึงป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้
“บุรพาจารย์น้อย ทนๆ ไปเถอะขอรับ คนผู้นี้คือจี้ฟางเชียวนะ เคยอยู่สามอันดับแรก ถึงแม้ตอนหลังจะถูกแซงหน้าจนรั้งท้ายมาอยู่อันดับห้า แต่เขาก็ยังมีฝีมือน่าครั่นคร้ามอยู่ดี!”
“ก็แค่ปลาตัวเดียวเท่านั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องวู่วามไปมีเรื่องกับเขา มิฉะนั้นหากไปถึงสำนักสาขาแล้วจะไม่เป็นผลดี” ซ่งเชวียมองแผ่นหลังของจี้ฟางแล้วจึงกัดฟันพูดเช่นกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าคนเหล่านี้ต่างก็พยายามเกลี้ยกล่อมตนจึงกัดฟันกรอด ฮึดฮัดหนึ่งครั้ง เขารู้ว่าซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อไม่อยากล่วงเกินจี้ฟาง หากตนยังจะลงมือให้ได้ พวกเขาก็อาจจะติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย เลยจำต้องข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้
“คนผู้นี้มีนิสัยโอหังขนาดนี้ พอไปอยู่แดนทุรกันดารต้องตายเร็วกว่าใครแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำหนึ่งประโยคแล้วจึงกลับห้องด้วยความคับแค้นใจ
จนกระทั่งทุกคนจากไปไกลแล้ว กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ยืนเงียบมาโดยตลอดพลันหัวเราะขึ้นมา นางมองแผ่นหลังของจี้ฟางแล้วเลียริมฝีปาก นัยน์ตามีแสงรุบรู่วาบผ่าน
“ดูท่าน่าจะรสชาติดีมาก”
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง ยิ่งคิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันก็ยิ่งอารมณ์เสีย
“ไม่ได้ เรื่องนี้จะปล่อยผ่านไปแบบนี้ไม่ได้ แม้ว่าเจ้าจี้ฟางผู้นั้นจะมีความสามารถก็จริง แต่ความสามารถของข้าป๋ายเสี่ยวฉุนมีมากกว่า ต้องคิดหาวิธีมาจัดการเขาสักหน่อย ข้าจะนาบตราประทับให้เขา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็เปิดถุงเก็บของออกเตรียมจะหาตัวเจ้าเต่าน้อย แต่หาอยู่นานมากก็ยังหาอีกฝ่ายไม่เจอ เลยยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
จนกระทั่งท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ สว่างขึ้น เมื่อแสงอรุณแรกสาดส่องลงมา ทันใดนั้นบนเรือรบที่เงียบสงบลำนี้ก็มีเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังลอยมาอย่างสิ้นหวังจากชั้นสามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพักอยู่
เสียงโหยหวนนี้คล้ายกับแฝงเร้นไว้ด้วยความหวาดกลัวจนมิอาจบรรยายได้ ราวกับเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ไฟแห่งชีวิตจะมอดดับลง ทำให้หลายคนได้ยิน ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งได้ยินชัดเจน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
พวกซ่งเชวียพากันหน้าเปลี่ยนสี ลืมตาขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ขณะที่กำลังรู้สึกแปลกใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อึ้งงันไปครู่ และไม่นานศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนอื่นๆ ที่อยู่สิบอันดับแรกและพักอยู่ชั้นสามเช่นเดียวกับเขาก็พากันเดินออกมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบเดินออกไปนอกห้องเช่นกัน
หรือแม้แต่จ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานที่อยู่ชั้นสองก็ยังปรากฏตัว ด้านล่างก็มีนักพรตบางส่วนที่มาเยือนชั้นสามด้วยความตกใจระคนสงสัย ไม่นานหลังจากนั้นทุกคนก็เจอ…ที่มาของเสียงร้องโหยหวนนั้น!
นั่นคือห้องห้องหนึ่งบนชั้นสาม ในห้องแห่งนั้น มีศพอยู่ศพหนึ่ง!
ห้องนี้เป็นของจี้ฟาง ส่วนศพที่เป็นซากแห้งนั้น…พอป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นก็ต้องวิเคราะห์อยู่นานมากถึงจะจำได้ว่าอีกฝ่ายก็คือผู้ที่แย่งปลาใหญ่ไปจากเขาเมื่อวานนี้…จี้ฟาง!
“นี่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจดังเฮือก
ร่างของจี้ฟางในเวลานี้แห้งเหี่ยวราวกับโครงกระดูกจนมองใบหน้าไม่ออกว่าเป็นผู้ใด ทั้งๆ ที่เพิ่งตายไปได้ไม่นาน แต่บนร่างของเขากลับมีลางว่าจะเน่าเปื่อย อีกทั้งทุกคนยังเป็นนักพรตรวมโอสถ เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ มองปราดเดียวก็ดูออกว่า…การตายของจี้ฟางแปลกประหลาดถึงขีดสุด เลือดทั้งร่างของเขาหายไปเกลี้ยงราวกับถูกดูดเอาไป!!
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านพากันสูดลมหายใจเฮือกๆ ไม่หยุด นัยน์ตาฉายความตะลึงพรึงเพริด ต้องรู้ว่าจี้ฟางมีตบะรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ พลังในการต่อสู้ไม่ธรรมดา ทว่ารอบกายเขากลับไม่มีร่องรอยของการต่อสู้แม้แต่นิด ราวกับว่าจี้ฟางผู้นี้ถูกสูบเลือดจนแห้งตายภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว!
โดยเฉพาะในห้องของจี้ฟางที่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบ ทำให้จิตใจของทุกคนสะท้านไหวอย่างห้ามไม่ได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองศพของจี้ฟางด้วยความงุนงงไม่น้อย เขาเบิกตากว้าง รู้สึกเหลือเชื่อ เมื่อคืนนี้เขายังครุ่นคิดอยู่เลยว่าจะจัดการอีกฝ่ายเช่นไร ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าผ่านไปแค่คืนเดียว อีกฝ่ายกลับต้องมาตายเสียแล้ว
“เขาตายแล้ว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนปรับลมหายใจให้มั่นคง ยิ่งเห็นลักษณะการตายเช่นนี้ด้วยแล้ว เขามองไปมองมาก็แอบรู้สึกว่ามันคุ้นตาชอบกล แต่ยังไม่ทันที่เขาจะนึกออก เสินซ่วนจื่อและซ่งเชวียที่อยู่ด้านหลังกลับหน้าขาวเผือดไปเรียบร้อย นัยน์ตาเผยความตะลึงระคนหวาดผวา
เฉินม่านเหยาเองก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้ามีทั้งความตกใจและฉงนสนเท่ห์
หากพวกผู้เฒ่าสามตาอยู่ด้วยก็ยังพอว่า เพราะพวกเขาย่อมต้องสืบหาเรื่องนี้อย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้พวกผู้อาวุโสไม่อยู่ ทุกคนจึงพากันหันมามองจ้าวเทียนเจียวอย่างไม่มีทางเลือก นัยน์ตาของจ้าวเทียนเจียวที่มองนิ่งไปยังศพของจี้ฟางโชนแสงคมกล้า หลังจากเข้าไปใกล้และตรวจสอบอย่างละเอียด ใบหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนสีแล้วพลันเอ่ยออกมา
“บนเรือของเรามีสิ่งสกปรกอัปมงคลมาเยือน ทุกคนจงระวังตัวกันให้มาก!”
ประโยคนี้หลุดออกจากปากเขา ร่างของทุกคนก็แข็งค้าง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หนังหัวชาหนึบ หน้าเผือดสีไปหมด น่าเสียดายที่เรื่องนี้มิอาจหาทางแก้ไขได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทุกคนจึงจำต้องแยกย้ายพร้อมพกพาเอาความหนักใจและความระแวดระวังที่มากขึ้นติดตัวไปด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญหาย หลังจากที่กลับมาถึงห้องพร้อมพวกซ่งเชวีย เพิ่งจะปิดประตูห้องลงได้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัวสั่นเทิ้มทันที เขาหันขวับกลับไปมองพวกซ่งเชวียสามคนที่หน้าซีดขาว
“พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าการตายของศพนั่นค่อนข้างคุ้นตา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวว่าตัวเองจะคิดผิดจึงเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก
“บุรพาจารย์…ศพนั่น…เหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักสยบธารเลย” เสินซ่วนจื่อสีหน้าหวาดผวา ในดวงตาก็ยิ่งมากด้วยความพรั่นพรึง
“เหมือนไม่มีผิดเพี้ยน!” ซ่งเชวียสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนัก
“ข้าก็เห็นแล้วเหมือนกัน เป็นการตายแบบเดียวกันจริงๆ …” เฉินม่านเหยานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงพูดขึ้นเบาๆ
ได้ยินคำตอบจากคนทั้งสามป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าหนังหัวของตัวเองใกล้จะระเบิดเต็มที เมื่อครู่นี้เขาแค่รู้สึกคุ้นตา ทว่าคำพูดของจ้าวเทียนเจียวทำให้เขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักสยบธาร มาตอนนี้พอได้ยินคนทั้งสามยืนยันอีก เขาก็แน่ใจโดยไร้ข้อกังขาใดๆ ทันที ในใจพลันร้องคร่ำครวญ
“บัดซบ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ข้า…ข้าอุตส่าห์มาอยู่ที่นี่แล้ว ทำไมเจ้าสิ่งสกปรกนั่นยังตามมาด้วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้พิลึกพิลั่น ความหวาดกลัวจึงมากผิดปกติ เลยรีบหยิบเอายันต์ป้องกันสิ่งชั่วร้ายออกมาจากในถุงเก็บของแล้วแปะไปทั่วร่าง
แถมยังไม่วางใจจึงเร่งเร้าให้เสินซ่วนจื่อและซ่งเชวียช่วยกันวางค่ายกลหลายสิบค่ายไว้ในห้อง แต่ก็ยังไม่เบาใจอยู่ดี ดังนั้นจึงตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ออกไปข้างนอก พอกลับเข้าห้องส่วนตัวป๋ายเสี่ยวฉุนก็จัดวางค่ายกลด้วยตัวเองอีกครั้ง อีกทั้งยังเอายารวมวิญญาณจำนวนมากออกมาวางตามตำแหน่งที่ตัวเองจะหยิบใช้ได้ทันท่วงทีอีกด้วย
“ข้ามียันต์กันเสนียด มีค่ายกล มียารวมวิญญาณ ขอแค่เจ้าสิ่งสกปรกนั่นตามีแววสักหน่อยก็ต้องไม่มาหาเรื่องข้าแน่นอน…ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ หากมันกล้ามาแหยมกับข้า ข้าจะไม่ให้มันตายดีแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาบูดบึ้ง พยายามให้กำลังใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง แล้วก็คิดได้ว่าพวกซ่งเชวียก็อยู่ในห้องด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ความเป็นไปได้ที่เจ้าสิ่งสกปรกนั้นจะมาหาตนที่นี่ก็น่าจะน้อยลงไปอีก
เพียงแต่พอเขาคิดได้ว่าจี้ฟางคือรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังอาศัยอยู่ชั้นเดียวกับตน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าความปลอดภัยของตัวเองยังไม่ได้รับการรับประกันอย่างเต็มที่นัก โดยเฉพาะในสมองของเขามีภาพศพของจี้ฟางลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ พอนึกได้ถึงภาพที่เลือดทุกหยดในร่างของอีกฝ่ายถูกดูดเอาไปจนเกลี้ยง ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งขาวซีดเข้าไปใหญ่
“นี่มันผีบ้าอะไรกันแน่…”
“คนฟ้าแซ่เฉินนั่นทำไมถึงยังไม่กลับมาสักที…” ป๋ายเสี่ยวฉุนประหวั่นใจไม่เลิก นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่คลาย ได้แต่ผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปท่ามกลางความหวาดระแวงของตัวเอง
คืนนี้ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ตึงเครียด ซ่งเชวีย เสินซ่วนจื่อ เฉินม่านเหยาและยังมีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนอื่นๆ รวมไปถึงลูกศิษย์ที่อยู่ชั้นสี่และชั้นห้าต่างก็ทั้งตื่นตระหนกและทั้งคลางแคลงใจอย่างถึงที่สุด
หากผู้ตายเป็นคนอื่นก็ยังพอว่า แต่จี้ฟางนั่นเป็นถึงคนที่อยู่อันดับห้าของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา พลังในการสู้รบไม่ธรรมดา แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังต้องมาตายด้วยสภาพน่าประหลาดใจราวกับถูกฆ่าในชั่วพริบตา เหตุการณ์นี้จึงทำให้ในใจของทุกคนกระวนกระวายไม่เป็นสุข
เมื่อเช้าตรู่มาเยือน หลังจากที่ทุกคนตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนตายเพิ่มอีก พวกเขาถึงได้คลายใจลง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คลายใจได้เช่นกัน แต่กลับไม่ได้วางใจมากนัก แต่ยิ่งเร่งรีบวางค่ายกลประเภทป้องกันสิ่งชั่วร้ายไว้ทั้งในและนอกห้องของตัวเองให้มากกว่าเดิม เขายังถึงขั้นเกลียดตัวเองที่วาดยันต์ไม่เป็น มิฉะนั้นเขาจะต้องใช้เวลาทั้งหมดให้หมดไปกับการวาดยันต์ป้องกันเสนียดแน่นอน
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วสามวัน สามวันมานี้ยังคงไม่มีคนตายเพิ่มขึ้น มาจนกระทั่งบัดนี้บรรยากาศบนเรือถึงพอจะกลับคืนสู่ความสงบได้บ้าง บนดาดฟ้าเรือก็มีเงาร่างของนักพรตกลับมาปรากฏให้เห็นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าในใจของทุกคนมีความรู้สึกกดดัน มักจะมองไปยังท้องฟ้าบ่อยๆ หวังว่าจะได้เห็นพวกผู้เฒ่าสามตากลับมา
จนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งเดือน…กลุ่มของผู้เฒ่าสามตาก็ยังไม่กลับมา ยังดีที่การตายอย่างน่าพิศวงบนเรือไม่เกิดขึ้นอีก ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงคลายใจได้ในที่สุด
“ไม่แน่ว่าข้าคงคิดผิดไปเอง นั่นอาจจะไม่ใช่เพราะสิ่งสกปรกอะไร แต่อาจเป็นเพราะ…ปลาตัวนั้น?”