บทที่ 449 ที่แท้เจ้าก็เป็นคนแบบนี้นี่เอง
ขณะที่ทุกคนกำลังคาดเดากันอยู่นั้น ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อต่างก็ประหลาดใจถึงขีดสุด ไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกับจ้าวเทียนเจียวคุยเรื่องอะไรกันแน่ เฉินม่านเหยาเองก็ใคร่รู้ไม่น้อย
มีเพียงกงซุนหว่านเอ๋อร์เท่านั้นที่หัวเราะเบาๆ
ส่วนพื้นที่ตรงหัวเรือ ตอนนี้ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาจากความงงงันต่อคำพูดและท่าทางที่ตรงกันข้ามกันของจ้าวเทียนเจียว
เขามองจ้าวเทียนเจียวด้วยสีหน้าปั้นยาก ครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา ตบะก็ลึกล้ำเกินคาดเดา สามารถสังหารก่อกำเนิดได้…
“อืม คนเช่นนี้ควรจะสานไมตรีผูกมิตรกับเขาไว้น่าจะดีกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้วันหน้าหากมีใครกล้ามาแหยมกับข้าก็จะได้มีคนคอยช่วยเหลือ…อีกอย่างพอไปถึงแดนทุรกันดารก็ไม่แน่ว่าอาจจะราบรื่นมากขึ้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะเบาๆ หนึ่งครั้ง ยกมือขวาขึ้นตบลงไปบนไหล่ของจ้าวเทียนเจียว แล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยคำพูดสบายๆ อย่างคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน
“ศิษย์พี่ใหญ่…”
จ้าวเทียนเจียวคล้ายไม่ชินกับท่าทีสนิทสนมแบบนี้เท่าไหร่นักจึงหมายจะเบี่ยงตัวหลบ แต่พอได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะมีความจริงใจ ดังนั้นจึงทนปล่อยให้มือของป๋ายเสี่ยวฉุนตบลงมาบนไหล่ของตัวเอง
“ท่านอย่าไม่เชื่อข้า ศิษย์พี่ใหญ่ ที่ท่านเห็นน่ะยังแค่พวกนางสองคน ตอนที่ข้าอยู่ในสำนักสยบธารยังมีอีกหลายหมื่นคนเลยนะที่เขียนจดหมายรักมาให้ข้า” ท่ามกลางความปลงอนิจจังของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นปกปิดความลำพองใจเอาไว้ไม่มิด
จ้าวเทียนเจียวขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่าคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนฟังเกินจริงไปมาก
สีหน้าของคนทั้งสองตกอยู่ในสายตาของทุกคนอีกครั้งจึงดึงดูดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะพอพวกเขาเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับตบไหล่จ้าวเทียนเจียวโดยที่จ้าวเทียนเจียวไม่ปฏิเสธ แต่ละคนก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ
ต้องรู้ว่าในใจของพวกเขาทุกคน จ้าวเทียนเจียวคือผู้ที่อยู่สูงส่งเกินใคร เย่อหยิ่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ เย็นชาจนแทบจะไม่มีคนใกล้ชิดสนิทสนม ทว่าภาพการเปลี่ยนแปลงที่ได้เห็นในตอนนี้กลับทำให้พวกเขาตะลึงงันไปตามๆ กัน
พื้นที่ตรงหัวเรือ จ้าวเทียนเจียวขมวดคิ้วเป็นปม มองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้งด้วยสายตาที่คล้ายจะผิดหวัง ไม่ได้พูดอะไรต่อ หมุนกายได้ก็เตรียมจะจากไป
“หึ ไม่เชื่อใช่หรือไม่? ดูซะว่านี่คืออะไร!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์ทันที เขาเกลียดเวลาที่คนอื่นทำท่าทางไม่เชื่อถือตัวเองมากที่สุด เวลานี้พอกล่าวจบจึงตบลงไปบนถุงเก็บของแล้วโยนออกไปข้างนอก เสียงพรวดดังขึ้นตามมาด้วยจดหมายรักปึกแล้วปึกเล่าที่ร่วงกราวลงมาจากในถุงเก็บของของป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับฝนตก
จดหมายรักนั้นมีมากเกินไป พริบตาเดียวก็กองพะเนินคล้ายภูเขาลูกหย่อม ภาพนี้ทำให้จ้าวเทียนเจียวสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกงุงงนเล็กน้อย เขาหยิบเอาจดหมายบางส่วนขึ้นมาดูด้วยความเหลือเชื่อ ยิ่งเปิดดูยิ่งตะลึงลาน ยิ่งอ่านยิ่งหน้าเปลี่ยนสี เขาพบว่านี่คือจดหมายรักอย่างแท้จริง…อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าลายมือไม่เหมือนกัน ไม่มีทางเขียนขึ้นมาเองแน่นอน แถมยังมีไม่น้อยที่เป็นแผ่นหยก ซึ่งในนั้นยังมีภาพสาวงามในท่วงท่าเย้ายวน…
“นี่…นี่…”
ยิ่งอ่านลมหายใจของจ้าวเทียนเจียวก็ยิ่งถี่กระชั้น ในใจสั่นสะเทือนรุนแรงคล้ายมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถม ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็เงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยท่าทางตะลึงพรึงเพริด
“เป็นไง เชื่อหรือยังล่ะ นี่ยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะ ในถุงเก็บของของข้ายังมีมากกว่านี้อีก” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อ เชิดคางด้วยท่าทางลำพองใจ
“ตอนอยู่ในสำนักสยบธารข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้วก็ทำให้นักพรตหญิงหลายหมื่นคนรักมั่นไม่หวั่นไหว!”
บัดนี้ทุกคนที่อยู่ภายนอกจิตใจสะท้านไหวและความคาดเดาก็ยิ่งมีมาก เพราะไม่ได้ยินเสียง พลังจิตก็ไม่สามารถแผ่ออกไปได้ ดังนั้นในสายตาของพวกเขา ภาพเหตุการณ์ระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและจ้าวเทียนเจียวจึงพิลึกพิลั่นอย่างมาก
ยิ่งเห็นจดหมายกองโตพวกนั้นร่วงลงมาด้วยแล้ว พวกเขาก็อึ้งงันกันไปทันที ตอนแรกยังไม่รู้สึกอะไร ทว่ามองไปมองมาก็รู้สึกว่าจดหมายพวกนั้นค่อนข้างจะแปลกประหลาดไม่น้อย…ยกตัวอย่างเช่นบางฉบับในนั้นที่พับเป็นรูปหัวใจ
“นั่นมันอะไร? สวรรค์ ศิษย์พี่ใหญ่ถึงกับเปิดดูด้วย! ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่ามันเหมือนจดหมายรักเลยล่ะ?”
“เหลวไหล เจ้าเคยเห็นใครได้รับจดหมายรักมากมายขนาดนั้นด้วยหรือ นั่นอย่างน้อยก็ต้องมีหมื่นฉบับ เห็นชัดๆ ว่าไม่ใช่จดหมายรัก! อีกอย่างศิษย์พี่ใหญ่อ่านไปอ่านมาก็หน้าเปลี่ยนสีด้วย…จดหมายพวกนั้น…ต้องซุกซ่อนความลับที่น่าตะลึงบางอย่างแน่นอน!”
“ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่า…ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ช่างลึกล้ำสุดจะหยั่ง!!”
ขณะที่ทุกคนกำลังมึนงง เฉินม่านเหยาจำจดหมายรักพวกนั้นได้จึงร้องชิเบาๆ หนึ่งครั้ง ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนและจ้าวเทียนเจียวนางก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ยังไม่ทันรอให้ทุกคนที่อยู่ข้างนอกมองอย่างละเอียด จ้าวเทียนเจียวพลันสูดลมหายใจดังเฮือก ยกมือขวาขึ้นอย่างฉับพลันแล้วโบกหนึ่งครั้ง
ทันใดนั้นการป้องกันรอบด้านนอกจากจะกักเก็บเสียงแล้วยังพร่าเลือนจนทำให้คนนอกมองเห็นจ้าวเทียนเจียวและป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านในได้ไม่ชัดเจน
หลังจากตัดขาดทุกอย่างแล้วจ้าวเทียนเจียวก็สูดลมหายใจเข้าลึกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่สุด นัยน์ตาเผยความจริงจัง ทั้งยังประสานมือโค้งตัวคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนต่ำๆ หนึ่งทีด้วย
“ศิษย์น้องป๋ายอายุยังน้อยกลับมีเคล็ดลับเลิศล้ำเช่นนี้ ไม่ทราบว่าจะ…ถ่ายทอดให้แก่พี่ชายที่โง่เขลาได้บ้างหรือไม่?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงไปอีกรอบ มองจ้าวเทียนเจียวที่ยังคงมีท่าทีเอาจริงเอาจังดุจเดิม ความรู้สึกแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นมากลางใจอีกครั้ง อดไม่ไหวจนต้องเอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ท่านอยากเรียนเรื่องนี้?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถามด้วยความใคร่รู้
“ขอศิษย์น้องป๋ายโปรดสอนข้า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสุขตลอดชีวิตของข้า บุญคุณใหญ่หลวงครั้งนี้ข้าผู้แซ่จ้าวจะไม่มีทางลืม!!” จ้าวเทียนเจียวสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกก็คารวะอีกครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือเสือซ่อนเล็บชัดๆ มองภายนอกเหมือนเย็นชาไร้อารมณ์ ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ดังนั้นจึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
“พวกเราคือพี่น้องกัน อย่าถึงกับพูดว่าสอนไม่สอนอะไรเลย ท่านหาเวลาไปที่ห้องข้าสิ ข้ายินดีบอกเคล็ดลับทั้งหมดให้ ท่านถูกใจคนไหนก็บอกข้ามา
ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเทพแห่งความรัก ยังไม่เคยมียอดเขาใดที่พิชิตไม่ได้”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตบอกตัวเองเสียงดังป้าบๆ ด้วยความลำพองใจ
จ้าวเทียนเจียวพรูลมหายใจหนึ่งครั้ง ไม่ได้นัดหมายเวลากับป๋ายเสี่ยวฉุนทันที แต่หลังจากประสานมือคารวะอีกครั้งแล้วจึงโบกมือสลายตราผนึกรอบด้านออก ก่อนจะจากไปด้วยสีหน้านิ่งขรึม
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เก็บเอาจดหมายรักพวกนั้นกลับมาด้วยสีหน้าฮึกเหิมแล้วจึงเดินอาดๆ ออกมา พอมาหยุดอยู่เบื้องหน้าพวกเสินซ่วนจื่อ เสินซ่วนจื่อก็มีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นอย่างถึงที่สุด แม้ว่าซ่งเชวียจะยังมีท่าทีไม่น่าเข้าใกล้เช่นเดิม แต่ก็ยังเหลือบตามามองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้งอย่างอดไม่ได้
“บุรพาจารย์น้อย ท่านกับจ้าวเทียนเจียวคุยอะไรกันหรือ?” เสินซ่วนจื่อรีบถาม
“บอกไม่ได้ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของศิษย์พี่จ้าว มีหรือจะเอามาพูดกันได้ง่ายๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วส่ายหัวด้วยท่าทางลึกลับเกินคาดเดา จากนั้นก็เอามือไพล่หลังเดินกลับไปที่ห้องด้วยท่าทีลำพองตน
ยิ่งเขาไม่พูด เสินซ่วนจื่อก็ยิ่งอยากรู้ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ คนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่ละคนล้วนพยายามจะสืบหาข่าว แต่กลับไม่ได้เบาะแสใดๆ
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วสามวัน สามวันมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่รออยู่ในห้อง เขาคิดว่าจ้าวเทียนเจียวจะต้องมาหาตนแน่นอน
เสินซ่วนจื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดไม่ไหวจนต้องเอ่ยถามอยู่หลายครั้ง พอถึงท้ายที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้กระแอมแล้วเอ่ยตอบมาหนึ่งประโยค
“ข้ากำลังรอคนคนหนึ่งอยู่”
“จ้าวเทียนเจียว?” เสินซ่วนจื่อตะลึง ซ่งเชวียที่อยู่ข้างกันก็หูตั้ง
“ถูกต้อง เพราะว่าตลอดทั้งเรือรบลำนี้คนที่ช่วยเขาได้มีเพียงข้าป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวเรียบๆ จากนั้นจึงหลับตาลงคล้ายกำลังทำสมาธิ แต่ในใจกลับลำพองใจอย่างหาที่เปรียบมิได้
เสินซ่วนจื่อกับซ่งเชวียมองหน้ามองหน้ากันไปมา ในใจคลางแคลง แต่ยังไม่ทันรอให้พวกเขาคาดเดาได้มากเท่าไหร่นัก ยามสนธยาของวันที่สามนี้ นอกห้องของพวกป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเสียงของจ้าวเทียนเจียวดังลอยมา
“ศิษย์น้องป๋ายอยู่หรือไม่?”
หลังจากได้ยินประโยคนี้เสินซ่วนจื่อและซ่งเชวียต่างก็หันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ
“เชวียเอ๋อร์ ยังไม่รีบไปเปิดประตูอีก”
“ม่านเหยา เจ้าหลบไปก่อน”
เฉินม่านเหยามองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วทำเสียงขึ้นจมูกหนึ่งครั้ง นางพอจะเดาออกบางแล้ว เวลานี้จึงสะบัดกายกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ส่วนซ่งเชวียกลับถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง แต่พอนึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองมาพึ่งพาคนอื่นจึงได้แต่กัดฟันเดินไปเปิดประตู
เมื่อประตูห้องเปิดออก ร่างของจ้าวเทียนเจียวก็ปรากฏอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเดินเข้ามาด้านในทันที ด้านหลังยังมีผู้ติดตามมาอีกสองคน
ผู้ติดตามสองคนนั้นสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย พวกเขาก็คือคนของศาลาปราบมารที่เคยปฏิเสธความช่วยเหลือเมื่อครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปขอพบและหวังให้อีกฝ่ายซื้อยาแทนให้ หนึ่งในนั้นคือคนที่เสนอราคาแพงหูฉี่ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือคนที่บอกว่าตนต้องปิดด่านหลายปี
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะทะยานขึ้นมาอยู่ในสายรุ้งสีม่วง มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งสำนักได้ หากแค่เท่านี้ก็ยังพอว่า เพราะพวกเขาติดตาม
จ้าวเทียนเจียวจึงไม่กังวลว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะกลับมาแก้แค้น
ทว่าตอนนี้…ที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อก็คือ
จ้าวเทียนเจียวกับป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายจะมี…ความสัมพันธ์บางอย่างที่พวกเขาไม่เข้าใจ โดยเฉพาะตลอดทางที่เดินมานี้พวกเขาเห็นกับตาตัวเองว่าสีหน้าจ้าวเทียนเจียวเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แถมตอนที่อยู่หน้าห้องป๋ายเสี่ยวฉุน จ้าวเทียนเจียวยังมีท่าทางเกรงใจมากอีกด้วย
นี่ทำให้พวกเขาสองคนใจหายวาบ
“ศิษย์น้องป๋าย พี่ชายผู้โง่เขลาปักใจรักศิษย์น้องหญิงเยว่ซานมาโดยตลอด แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะจีบนางอย่างไร…โปรดช่วยสอนข้าด้วย…ส่วนเรื่องค่าตอบแทน ศิษย์น้องป๋ายต้องการอะไร ขอแค่เป็นเรื่องที่ข้าผู้แซ่จ้าวทำได้ ข้าจะต้องทุ่มเทสุดความสามารถอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นวิญญาณคนฟ้าข้าก็หามาให้เจ้าได้!” หลังจากเข้ามาในห้อง จ้าวเทียนเจียวก็สูดลมหายใจเข้าลึก ประสานมือโค้งตัวคำนับป๋ายเสี่ยวฉุนต่ำๆ หนึ่งครั้งโดยที่ไม่ได้สนใจว่าเสินซ่วนจื่อและซ่งเชวียก็อยู่ในห้องด้วย