บทที่ 459 บอกรัก
หลังจากเห็นจ้าวเทียนเจียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อึ้งไปครู่ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขามัวแต่หวาดผวาพรั่นพรึง ทุกวันต้องคิดว่าหากเงาขาวมาตนควรจะรับมือเช่นไร
ส่วนจ้าวเทียนเจียวเองก็ไม่ได้มาหาเขานานมากแล้วจนเขาแทบจะลืมเรื่องของอีกฝ่ายไป เวลานี้พอได้ยินคำพูดจากจ้าวเทียนเจียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะดุ้งโหยง ทั้งยังมากด้วยความรู้สึกผิดจึงรีบหัวเราะแห้งๆ ประจบก่อนจะทำท่านับนิ้วต่อหน้า
จ้าวเทียนเจียวคล้ายกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง แล้วอยู่ๆ ก็ตบขาตัวเองป้าบใหญ่
“ฤกษ์งามยามดีมาถึงแล้ว พรุ่งนี้ตอนเที่ยง ศิษย์พี่จ้าวท่านไปบอกรักศิษย์พี่หญิงเยว่ซานเถอะ นี่คือการโจมตีสุดท้ายแล้ว นับแต่นี้ไปท่านก็สามารถโอบกอดสาวงามกลับไปด้วยกัน ได้เคียงคู่ชู้ชื่นกับศิษย์พี่หญิงเยว่ซาน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเสียงดัง
จ้าวเทียนเจียวได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็กระเตื่องขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาด้วยอาการที่ทั้งฮึกเหิมทั้งมากด้วยความตื่นเต้น บางครั้งกำหมัดแน่น บางครั้งก็ครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสีย
“หากนางปฏิเสธล่ะจะทำอย่างไร?” จ้าวเทียนเจียวชะงักฝีเท้า เอ่ยถามด้วยความกังวล
“จากประสบการณ์การบุกตะลุยสมรภูมิรักมาหลายสิบปีของข้าเทพแห่งความรักป๋ายเสี่ยวฉุน สาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุดที่ทำให้การบอกรักล้มเหลวก็คือระหว่างคนทั้งสองไม่มีการสั่งสมความรู้สึกที่มากพอ!
ทว่าท่านนั้นต่างออกไป ท่านกับศิษย์พี่หญิงเยว่ซานสั่งสมอารมณ์ความรู้สึกต่อกันมานานมากแล้ว ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่ท่านต้องระวังมากที่สุดก็คือคำพูด แต่เรื่องนี้ท่านวางใจได้เลย สิ่งที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนถนัดมากที่สุดก็คือเรื่องนี้ ข้าจะช่วยท่านเอง!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือพูดด้วยมาดของผู้อาวุโส
ตอนนี้จ้าวเทียนเจียวเคารพเลื่อมใสในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างสุดใจจนพร้อมปฏิบัติตามคำพูดทุกคำของป๋ายเสี่ยวฉุน พอได้ยินประโยคนี้เขาจึงผ่อนลมหายใจ รู้สึกว่ามีป๋ายเสี่ยวฉุนคอยช่วยเหลือ ด่านสุดท้ายนี้ก็ต้องผ่านไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน
“ข้าจะช่วยวางแผนการอย่างละเอียดให้แก่ท่านเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มบางๆ ด้วยท่าทางลึกลับเกินคาดเดา ปรึกษากับจ้าวเทียนเจียวจนดึกดื่น จ้าวเทียนเจียวถึงได้เดินอกตั้งจากไปด้วยความพึงพอใจ
เที่ยงวันที่สอง ลมพัดโชยแสงแดดเจิดจ้า ผิวน้ำทะเลราบเรียบ มีเพียงแค่คลื่นน้อยๆ กระเพื่อมไหว เมื่อมองออกไปตลอดทั้งมหาสมุทรก็เป็นราวกับกระจกสีทองหนึ่งบาน งดงามอย่างมาก
จุดที่ห่างไปไกลสามารถมองเห็นเกาะพิเศษบางแห่งที่สามารถดำรงอยู่บนมหาสมุทรทงเทียน ซึ่งพวกมันหมุนคว้างอยู่กลางนภากาศ บางครั้งก็ส่งเสียงกู่ร้องดังสะท้อนไปรอบด้าน
จ้าวเทียนเจียวสวมชุดคลุมยาวสีเขียวยืนอย่างสง่างามอยู่ตรงหัวเรือ นัยน์ตาก็ยิ่งแฝงเร้นไว้ด้วยประกายแสงลึกล้ำ เมื่อมองไกลๆ เขาก็เป็นราวกับภูเขาลูกหนึ่ง โดยเฉพาะแผ่นหลังที่ตั้งตรง พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามที่แผ่ออกมาก็ทำให้ตลอดทั้งร่างของเขามีปราณแห่งความแกร่งกร้าว ทำให้ทุกคนที่มองเห็นต่างก็จดจำได้เพียงแค่มองครั้งเดียว
เขายืนอยู่ตรงนั้น ทอดสายตามองออกไปไกล มือขวาไพล่หลัง เชิดคางขึ้น ผมยาวถูกลมทะเลพัดปลิว ขับให้ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปปั้นเผยความองอาจห้าวหาญบางอย่างที่บอกไม่ถูกออกมา
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าบัดนี้ข้างหูของเขามีเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมาเร็วๆ
“ผิดแล้วๆ เอามือซ้ายวางไพล่หลัง ใช่ๆ …เงยหน้าขึ้นแล้วก็เชิดคาง…ทอดสายตามองไปไกล!”
“สายตาอย่าล่อกแล่ก!”
“เท้าซ้ายก้าวออกมาข้างหน้าครึ่งก้าว อืม…ท่าทางแบบนี้ไม่เลว สีหน้าเคร่งเครียดเกินไปแล้ว นี่ท่านกำลังจะบอกรักไม่ใช่ไปข่มขู่ให้คนอื่นหวาดกลัว ต้องอ่อนโยนหน่อย…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนนอนหมอบอยู่ตรงมุมหนึ่งที่ห่างออกไปไม่ไกล
เขามองจ้าวเทียนเจียวและคอยส่งเสียงมาให้ตลอดเวลา บอกให้เขาปรับท่าทาง พอจ้าวเทียนเจียวได้ยินก็รีบเปลี่ยนมาเป็นมือซ้าย ไม่ว่าจะเป็นคางหรือสีหน้าต่างก็ปรับเปลี่ยนไปตามคำบอกของเขา ในใจกระวนกระวายครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสีย ขณะเดียวกันก็เพราะเชื่อใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้กัดฟันทำต่อไป
“แบบนี้แหละ อย่าขยับนะ ใกล้จะถึงเวลาที่ท่านนัดศิษย์พี่หญิงเยว่ซานแล้ว”
ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมอย่างมาก เขามองจ้าวเทียนเจียวแล้วย้อนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา นี่คือแผนการตามจีบที่เขาเป็นคนวางแผนเองกับมือ ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมไว้เรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแค่การโจมตีครั้งสุดท้ายเท่านั้น
“ต้องสำเร็จแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำหมัดแน่น หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกก็รออีกพักหนึ่ง และในที่สุด…ในห้องบนชั้นที่สองก็มีร่างของเฉินเยว่ซานเดินออกมาช้าๆ
เฉินเยว่ซานในวันนี้ค่อนข้างจะต่างออกไปจากเวลาปกติ เห็นได้ชัดว่านางประทินโฉมมาด้วย ชุดคลุมยาวสีเขียวที่นางสวม เมื่อมาอยู่บนร่างของนางกลับเผยเสน่ห์เย้ายวน ผมยาวของนางมัดสูงเผยให้เห็นลำคอขาวราวหิมะ และยังมีผิวพรรณที่อ่อนบางราวกับว่าแค่ดีดก็แตกสลายได้ ทำให้ร่างของนางที่อยู่ท่ามกลางแสงแดดเต็มเปี่ยมไปด้วยความงดงามและความบริสุทธิ์
โดยเฉพาะบนข้างแก้มของนางที่เวลานี้เป็นสีแดงปลั่งน้อยๆ ราวกับมีความเขินอายซุกซ่อนอยู่ในอณูผิว และคล้ายว่านางจะรู้สึกกระวนกระวาย
นิ้วเรียวยาวราวลำเทียนที่อยู่ในชายแขนเสื้อจึงกำเข้าหากัน แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นของนางในยามนี้
นางมาที่ดาดฟ้าเรือตามนัด และมองปราดเดียวก็เห็นจ้าวเทียนเจียวที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ หลังจากชะงักฝีเท้าเล็กน้อยนางก็สูดลมหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเขาช้าๆ
“มาแล้ว ไม่ต้องหันกลับมา นางเดินมาหาท่านแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นอนหมอบรีบส่งเสียงมาบอกด้วยความตื่นเต้น
ร่างของจ้าวเทียนเจียวสั่นน้อยๆ อย่างที่มิอาจจับสังเกตได้ เขากัดฟันบอกให้ตัวเองรักษาท่วงท่านี้เอาไว้ เมื่อแผ่กระแสจิตออกไปจึงสัมผัสได้ว่าเฉินเยว่ซานกำลังเข้ามาใกล้ทางด้านหลัง ไม่นานหลังจากนั้นนางก็มาหยุดอยู่ข้างกายจ้าวเทียนเจียว เมื่อลมหอมๆ ลอยมาปะทะจมูก จ้าวเทียนเจียวก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นรัวแรงอย่างมิอาจควบคุมได้
“ศิษย์พี่จ้าว ท่านให้ข้ามาด้วยเรื่องอะไรหรือ?” เฉินเยว่ซานพูดเบาๆ นิ้วเรียวยาวในปลายแขนเสื้อจับชายเสื้อตัวเอง นางรู้สึกว่าท่าทางของจ้าวเทียนเจียวตอนนี้ออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย ทว่านางกลับชอบมาก
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง มองตาไม่กะพริบเพราะกลัวว่าจะพลาดเรื่องดีๆ ไป
จ้าวเทียนเจียวค่อยๆ สูดลมหายใจ เขาไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่กัดฟัน ทอดสายตามองไปยังมหาสมุทรที่อยู่ห่างไกล ในสมองมีคำพูดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสอนลอยขึ้นมา เมื่อหายใจออกเขาก็ยกมือขวาชี้ไปยังท้องฟ้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนัก
“เยว่ซาน เจ้าเงยหน้ามองนภากาศสีฟ้าสดใสนั่นสิ สีฟ้าที่ไม่มีฝุ่นผงใดๆ เจือปนนั้นเป็นตัวแทนถึงความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้า ไม่แปดเปื้อนสิ่งโสมม ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตลอดกาล” น้ำเสียงทุ้มหนักทว่าเร่าร้อนของจ้าวเทียนเจียวดังออกมา
คำพูดของเขาพุ่งตรงเข้าสู่หัวใจของเฉินเยว่ซาน ทำให้ใจของนางสั่นไหว ในสมองเกิดเสียงดังอึงอล ลมหายใจยุ่งเหยิงเล็กน้อย แล้วจึงเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าตามที่เขาบอกโดยไม่รู้ตัว
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็เอ่ยชื่นชมจ้าวเทียนเจียวอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกว่าในที่สุดศิษย์พี่จ้าวก็เริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว ประโยคนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเองก็ยังรู้สึกว่าสมบูรณ์แบบอย่างมาก
“นี่เป็นถ้อยคำที่ข้าต้องใช้เวลานานมากเลยนะถึงจะคิดออกมาได้”
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังลำพองใจ ทันใดนั้นวินาทีที่เฉินเยว่ซานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสดใส…
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เสียงอสนีบาตดังลอยมา ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไร อากาศของมหาสมุทรใหญ่แห่งนี้คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนกะทันหัน พริบตาเดียวก้อนเมฆดำทะมึนก็รวมตัวกัน ยังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งตัวได้ ตลอดทั้งนภากาศก็ครืนครั่นไปด้วยเสียงฟ้าผ่า ท้องฟ้าสีฟ้าเปลี่ยนแปลง…จนมองแล้วไม่ใช่ไร้ฝุ่นผงใดๆ เจือปนอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นสีดำอึมครึม
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเซ่อทันที จ้าวเทียนเจียวเบิกตากว้าง เฉินเยว่ซานที่อยู่ข้างกันก็อึ้งงัน
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนสำลักลมหายใจ เขารู้สึกว่ามันทะแม่งๆ อยู่มาก
จ้าวเทียนเจียวเงียบงัน เฉินเยว่ซานเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรคล้ายรู้สึกกระอักกระอ่วน ผ่านไปครู่ใหญ่ จ้าวเทียนเจียวก็กัดฟันกรอด เตรียมทำตามแผนการต่อไป ต่อให้ฟ้าดินจะไม่เป็นใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาก็จะทำเรื่องใหญ่ในชีวิตที่ยากลำบากเรื่องนี้จนสำเร็จให้ได้
“เยว่ซาน…” จ้าวเทียนเจียวชี้ไปยังมหาสมุทรใหญ่ น้ำเสียงก็เพิ่มระดับจนดังไปรอบด้าน
“เจ้าดูผิวน้ำที่เรียบนิ่งแห่งนี้สิ มันเป็นเหมือนใจของข้าที่เมื่อมีเจ้าแล้วก็ขอสาบานว่าจะรักเจ้าไปชั่วนิรันดร์ สุขหรือทุกข์จะร่วมเสพร่วมต้าน ใจข้าจะไม่มีวันหวั่นไหวต่อสตรีใด ดุจดั่งมหาสมุทรใหญ่แห่งนี้ที่นิ่งสงบไร้คลื่นกระเพื่อมไหว!”
เมื่อจ้าวเทียนเจียวพูดประโยคนี้จบ เฉินเยว่ซานก็ตัวสั่นเยือกคล้ายซาบซึ้งใจ สายตาก็อดหันมองไปยังผิวน้ำตามที่จ้าวเทียนเจียวชี้ไม่ได้ ทว่าตอนที่มองไป…
ทันใดนั้นท่ามกลางเสียงฟ้าผ่าครืนครั่น ในชั้นเมฆที่กลิ้งซัดตลบอบอวลก็มีฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเทโครมลงมาบนเรือรบเสียงดังจั๊กๆ ทั้งยังกระทบบนผิวน้ำจนกระเพื่อมเป็นคลื่น ไม่ได้เรียบนิ่งอีกต่อไป แต่กลายเป็นลูกคลื่นที่ซัดไล่กันไม่หยุด…
ป๋ายเสี่ยวฉุนเกือบสะดุ้งโหยง เขาที่หลบอยู่ในมุมเหงื่อเย็นๆ แตกพลั่กไปทั้งตัว เรื่องราวในวันนี้ช่างพิลึกพิลั่นยิ่งนัก ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอดที่จะคิดเหลวไหลไม่ได้
“หรือว่าข้าช่วยผิดคู่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ ปวดหัวเป็นกำลัง จ้าวเทียนเจียวเองก็เกือบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เขารู้สึกราวกับว่าฟ้าดินตั้งตัวเป็นศัตรูกับตน ไม่ว่าตนพูดอะไร ฟ้าดินก็เปลี่ยนมาเป็นตรงกันข้ามเสียทุกครั้ง เวลานี้ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ ขณะที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อนั้น เฉินเยว่ซานที่อยู่ข้างกันกลับหัวเราะคิกออกมา
เดิมทีนางก็งดงามมากอยู่แล้ว เวลานี้เมื่อมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ดวงตาทั้งคู่จึงเปลี่ยนมาเป็นยิบหยีราวจันทร์เสี้ยว นางยกมือขึ้นเป็นฝ่ายดึงมือของจ้าวเทียนเจียวและมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง
จ้าวเทียนเจียวตัวสั่นเทิ้ม หันมามองเฉินเยว่ซานเช่นกัน บัดนี้สายตาของคนทั้งสองที่ประสานกันคล้ายจะกลายมาเป็นนิจนิรันดร์
เฉินเยว่ซานชอบจ้าวเทียนเจียว นับตั้งแต่วินาทีที่บิดาของตนรับจ้าวเทียนเจียวเข้าเป็นศิษย์ นางก็ชอบศิษย์พี่ที่ออกจะซื่อบื้อทว่าถึงเวลาคับขันกลับอาจหาญเก่งกล้าผู้นี้แล้ว อีกทั้งยังเคยเป็นฝ่ายเข้าไปตีสนิทก่อน
แต่น่าเสียดายที่จ้าวเทียนเจียวไม่แสดงอาการเท่าไหร่นัก แถมเวลาปกติก็ต้องออกไปทำภารกิจข้างนอกเป็นประจำ ไม่นานเฉินเยว่ซานจึงฝังกลบความรู้สึกนี้ไว้ในใจ บางครั้งที่ย้อนนึกถึงก็ยังต้องถอนหายใจเบาๆ
จนกระทั่งมาอยู่บนเรือรบลำนี้ จนกระทั่งเมื่อหลายเดือนก่อนตอนที่เดินออกจากห้องแล้วเห็นจ้าวเทียนเจียวสวมชุดสีชมพูไปทั้งร่าง ตอนนั้นนางตกตะลึงจนตาค้าง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลังทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป…
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง มองจ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซาน รู้สึกว่าต่อให้ตัวเองจะช่วยผิดคู่ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก เขาหัวเราะหึหึ มีความรู้สึกว่าตัวเองสมกับเป็นเทพแห่งความรัก จึงเชิดคางขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พูดขึ้นเรียบๆ ด้วยท่าทางของยอดฝีมือผู้เงียบเหงา
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน…”
ทว่าประโยคหลงตัวเองของป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันกล่าวจบ ทันใดนั้นบนท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกลก็มีสายฟ้าแลบปลาบพร้อมเสียงดังอึกทึก เงาร่างหลายเงาพลันบินออกมาจากชั้นเมฆและตรงดิ่งมายังเรือรบ!
ผู้นำก็คือผู้เฒ่าสามตาคนนั้น!