บทที่ 460 มีฝีมือนี่นา
คนฟ้ากลับมาแล้ว!
“ท่านพ่อ!”
“อาจารย์!” จ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานร้องอุทานด้วยความตกใจ คนทั้งสองรีบถอยออกไปหลายก้าว มีความรู้สึกเหมือนถูกคนจับได้ ทั้งรู้สึกตื่นตระหนก เขินอาย และกระวนกระวายใจ
เวลานี้เฉินเห้อซานผู้เฒ่าสามตากำลังคำรามเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้ามืดทะมึน เขาถลึงตามองจ้าวเทียนเจียวหนึ่งครั้ง นักพรตก่อกำเนิดที่ติดตามมาด้านหลังของเขาแม้จะมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ทว่ายามนี้กลับทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง
มองประเมินจ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
สีหน้าของคนเหล่านี้ บวกกับสายตาของเฉินเห้อซานทำให้จ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานเข้าใจได้ทันทีว่าการบอกรักเมื่อครู่…เกรงว่าตาแก่พวกนี้คงจะได้ยินกันหมดแล้ว
และการเปลี่ยนของท้องฟ้าและมหาสมุทรก่อนหน้านี้ก็มีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนว่าต้องเกี่ยวข้องกับเฉินเห้อซาน
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างๆ มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่างอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ แอบรู้สึกได้ว่าท่าไม่ดี ใจหมายจะหลบฉากออกไปด้วยความระมัดระวัง แต่กลับรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รีบหันหน้าไปทางอื่นคล้ายกำลังมองวิวทิวทัศน์ ขณะเดียวกันก็หยิบเอาเหล้าวิเศษออกมาหนึ่งเหยือกก่อนจะจิบคำเล็กๆ…
จ้าวเทียนเจียวตื่นตระหนกอย่างมาก คนที่เขากลัวมากที่สุดก็คืออาจารย์ของเขาท่านนี้ โดยเฉพาะเวลานี้ที่นอกจากจะตื่นตระหนกแล้วยังมีความกระอักกระอ่วนด้วย ทว่าเฉินเยว่ซานกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น นางเอื้อมมือมาคว้ามือของจ้าวเทียนเจียวอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามองบิดาของตัวเองอย่างไม่ยอมให้คัดค้าน
“จ้าวเทียนเจียว เจ้าฝีมือพัฒนาแล้วนี่นา” เฉินเห้อซานรู้สึกจนใจเล็กน้อย แล้วจึงถลึงตาใส่จ้าวเทียนเจียวอีกหนึ่ง ฮึดฮัดเสียงเย็นอีกทีก่อนจะกวาดสายตามองมายังจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนซ่อนตัว
สายตานี้ราวกับใบมีดที่คมกริบอย่างถึงที่สุด
เมื่อตกมาอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจหายวาบ หลังจากกลอกตาเร็วๆ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนมาเป็นแดงแปร๊ด แล้วอยู่ๆ ร่างก็โงนเงน
“ช่างเป็นเหล้าที่ดียิ่งนัก!” เขาเดินตัวเอียงออกไปสี่ห้าก้าว หลังจากไปถึงมุมโค้งแห่งหนึ่งและพ้นมาจากสายตาของผู้เฒ่าสามตาเขาก็รีบบินทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว…
เฉินเห้อซานแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้งแต่ก็ไม่ได้สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนมากนัก หลังจากหมุนกายได้ก็นำนักพรตก่อกำเนิดทั้งห้านั้นบินกลับเข้าไปในห้องที่ชั้นหนึ่ง
จ้าวเทียนเจียวกับเฉินเยว่ซานมองหน้ากันไปมา แล้วจ้าวเทียนเจียวก็กัดฟันตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแบกหน้าไปขอพบอาจารย์ของเขา เรื่องนี้เขาต้องอธิบายให้ชัดเจน จะปล่อยให้ท่านอาจารย์มีความคิดที่ไม่ดีต่อเยว่ซานและป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เด็ดขาด
ป๋ายเสี่ยวฉุนวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทาง หลังกลับมาถึงที่ห้องแล้วเขาถึงได้หอยหายใจฮักๆ ด้วยหน้าตามู่ทู่
“หากรู้แบบนี้แต่แรกก็คงให้บอกรักไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้ ตาแก่สามตานั่นมาตอนไหนไม่มาดันมาเอาเวลานี้…นี่หากเขารู้ว่าข้าช่วยจ้าวเทียนเจียวล่อลวงลูกสาวตัวเอง ข้าก็อนาถแน่”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเศร้าใจ แต่กลับหาทางแก้ไขไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง เริ่มใคร่ครวญว่าควรรับมือเช่นไรดี รออยู่นานหลายวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ยังเห็นหน้าค่าตาจ้าวเทียนเจียว และเฉินเห้อซานก็ไม่ได้มาหาเรื่องเขา
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพอจะคลายใจลงไปได้บ้าง เฉินเห้อซานกลับประกาศคำสั่งออกมา
“ลูกศิษย์ทุกคนจงอยู่ในห้องของใครของมัน ห้ามออกมาเดินเตร่ข้างนอก รอการตรวจสอบจากข้าผู้อาวุโส!”
เสียงนี้มากด้วยบารมี ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความเดือดดาล หลังจากที่ดังไปทั่วเรือรบก็ไม่มีใครกล้าขัดขืน พวกซ่งเชวียเองต่างก็รีบกลับไปอยู่ห้องใครห้องมัน
ไม่นานเฉินเห้อซานก็นำพานักพรตก่อกำเนิดห้าคนเริ่มทำการสืบสวนทุกคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้แล้วว่าช่วงเวลาที่ตัวเองออกไปข้างนอกได้มีนักพรตตายไปเป็นจำนวนมาก จึงเริ่มทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
การตรวจค้นครั้งนี้ละเอียดอย่างมาก ลูกศิษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ต่างก็ถูกพวกเฉินเห้อซานเรียกตัวมาสอบสวนอย่างละเอียด และไม่นานก็มาถึงคราวของป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงชั้นที่หนึ่งด้วยความตื่นเต้น หลังจากเข้าไปในที่พักของผู้เฒ่าสามตาก็รีบประสานมือคารวะทันที
“ศิษย์ป๋ายเสี่ยวฉุนคารวะท่านผู้อาวุโสทุกท่าน”
“เจ้าน่ะรึป๋ายเสี่ยวฉุน!” เฉินเห้อซานนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ได้ยินคำพูดของเขาดวงตาก็ฉายแสงเรืองรองมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าอย่างกระวนกระวายใจ มองผู้เฒ่าสามตาตาปริบๆ
“มีฝีมือนี่นา…” หลังจากที่เฉินเห้อซานมองประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างละเอียดก็เอ่ยขึ้นมาด้วยประโยคเรียบๆ แล้วก็ไม่พูดสิ่งใดอีก ทำเพียงหลับตาลงให้นักพรตก่อกำเนิดคนอื่นๆ เริ่มสอบถามปัญหาต่างๆ จากป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งสองคนในนั้นมีดวงตาประดุจสายฟ้าที่สามารถมองทะลุทะลวงทุกสิ่งได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนตอบคำถามไปทีละข้อ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้กลับมาจากที่นั่น ตอนเดินออกมาเขาปาดเหงื่อบนหน้าผาก ถอนหายใจพรืดอยู่ในใจ
“เจ้าสามตานี่บอกว่าข้ามีฝีมือ…นั่นคือคำชมหรือว่าคำด่ากันแน่? แต่ข้าก็ทำไปเพื่อความสุขชั่วชีวิตของลูกศิษย์และลูกสาวของเขานะ…แล้วถ้าเขากลับมาแก้แค้นข้าตอนหลังล่ะจะทำยังไง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ครุ่นคิดอยู่นานก็ยังหาทางไม่ได้จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ
ครึ่งเดือนต่อมา ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ในเรือรบต่างก็โดนสืบสวนกันหมด แล้วก็ไม่รู้ว่าเฉินเห้อซานวิเคราะห์เช่นไรสุดท้ายแล้วถึงยังไม่ได้ผลลัพธ์ใดๆ เสียที
แม้แต่ศพของคนที่ตายไปเขาเองก็เคยไปดูมาแล้ว ซึ่งขณะที่ดูศพสีหน้าก็มืดคล้ำดำทะมึน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ยังดีที่เมื่อเฉินเห้อซานกลับมา เรื่องการตายก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วสองเดือน ตลอดสองเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เห็นเงาร่างของจ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซาน ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว
จนกระทั่งเรือรบลำนี้เดินทางมาได้หกเดือน เมื่อพอจะมองเห็นชายฝั่งได้ไกลๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เจอกับจ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานอีกครั้ง
ไม่ได้เจอกันหลายเดือน ดูเหมือนว่าตบะของจ้าวเทียนเจียวจะพัฒนาขึ้นไปบางส่วน นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ
ซึ่งเฉินเยว่ซานก็เป็นแบบเดียวกัน บนร่างของคนทั้งสองมีปราณที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อก่อนผลุบๆ โผล่ๆ ราวกับว่าหากมีวัตถุแห่งการรวมกำเนิดก็สามารถฝ่าทะลุสู่ขั้นก่อกำเนิดได้ทุกเวลา
ภาพนี้ทำให้คนไม่น้อยที่ได้เห็นรู้สึกอิจฉาอย่างมาก แล้วก็เดาไม่ยากเลยว่าการกลับมาของเฉินเห้อซานจะต้องได้รับผลพวงมาด้วยอย่างแน่นอน และในฐานะที่เป็นลูกศิษย์และลูกสาวของเขาก็ย่อมได้รับผลประโยชน์มากมาย
หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนเจ็บจี๊ดๆ ขณะที่เดินเล่นอยู่บนดาดฟ้าเขาก็หันไปเห็น
จ้าวเทียนเจียว จ้าวเทียนเจียวเองที่พอมองเห็นเขาก็มีสีหน้าคึกคัก เดินเร็วๆ เข้ามาหา หลังจากที่ดึงป๋ายเสี่ยวฉุนไปอยู่มุมหนึ่งแล้วก็มอบขวดเล็กๆ สีขาวหนึ่งขวดให้แก่
ป๋ายเสี่ยวฉุน
“นี่คือเลือดปลาเงินที่ข้ากับพี่สะใภ้ของเจ้าเก็บไว้ให้เจ้า วัตถุนี้เจ้ากลับไปแล้วดื่มซะ สามารถทำให้ตบะของเจ้าพัฒนาไปได้ไม่น้อย”
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเช่นนั้นก็ฮึกเหิมทันที เขานึกถึงมังกรสีเงินที่เฉินเห้อซานไล่ตามไป พอรับขวดสีขาวนั้นมาแล้วรู้ว่าจ้าวเทียนเจียวยังคงไว้วางใจตนดุจเดิม
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งดีใจ
“รีบให้เรียกพี่สะใภ้เร็วขนาดนี้เชียวรึ? นางรู้แล้วหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ในใจก็คลายลงได้อย่างแท้จริง รู้ดีว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ตาเฒ่าสามตานั่นก็ไม่น่าจะย้อนกลับมาเล่นงานตัวเองอีกแล้ว…
“นางรู้แล้ว…พี่สะใภ้เจ้าฝากขอบคุณเจ้าด้วยนะ” จ้าวเทียนเจียวรู้สึกเขินอายเล็กน้อยจึงไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง แล้วตบไหล่ป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนจะทำหน้าจริงจัง
“เสี่ยวฉุน เจ้าต้องตั้งใจฝึกตนนะ ช่วงเวลานี้ข้าเห็นว่าเจ้าไม่ค่อยใส่ใจการฝึกบำเพ็ญตบะเท่าไหร่นัก ทำแบบนี้ไม่ถูก อีกไม่กี่วันเราก็จะขึ้นฝั่งกันแล้ว เมื่ออยู่ที่นั่น พลังในการสู้รบของตัวเองถึงจะเป็นรากฐานให้เจ้ายืนหยัดได้!”
“สถานที่ที่เรียกว่าแดนทุรกันดาร ก่อนหน้านี้เจ้าอาจจะไม่เข้าใจมันเท่าไหร่นัก ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียดก็แล้วกัน เจ้าจะได้เตรียมใจไว้ก่อน เรื่องพวกนี้ท่านอาจารย์ข้าก็เพิ่งบอกกับข้าเมื่อไม่กี่วันก่อนเหมือนกัน”
จ้าวเทียนเจียวดึงป๋ายเสี่ยวฉุนหลบเข้ามุมโดยไม่สนว่าคนอื่นจะมองออกถึงความสนิทสนมของพวกเขา ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
“แผ่นดินใหญ่ทงเทียนมีมหาสมุทรทงเทียนเป็นจุดศูนย์กลาง แผ่ขยายออกไปเป็นแม่น้ำใหญ่สี่สาย ก่อนจะแบ่งสาขาออกไปอีกอย่างต่อเนื่อง เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขา ทำให้อาณาเขตที่ถูกครอบคลุมมีปราณวิญญาณดำรงอยู่ ทว่าแผ่นดินใหญ่ทงเทียนนั้นกว้างใหญ่เกินไป ยากเกินกว่าที่แม่น้ำทงเทียนจะทอดยาวไปถึงจุดสิ้นสุด ดังนั้นจึงมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ปราณวิญญาณไม่สามารถแผ่ไปถึง ที่นั่น ก็คือแดนทุรกันดาร”
“แดนทุรกันดารไม่เพียงแต่อยู่รอบนอก แม้แต่พื้นที่ระหว่างแม่น้ำใหญ่สองสายเองก็ยังมีจุดที่ปราณวิญญาณมิอาจปกคลุมไปได้ ดังนั้นจึงสร้างกำแพงเมืองขึ้นมา”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเคร่งเครียด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับกำแพงเมือง แถมยังเคยไปสืบข่าวมาจากเฉินม่านเหยาด้วย รู้ว่ากำแพงเมืองแห่งนี้สำคัญต่อสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอย่างยิ่งยวด
เวลานี้พอได้ยินคำแนะนำจากจ้าวเทียนเจียว ไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยได้ยินคำพูดทำนองเดียวกันนี้มาก่อนหรือไม่ เขาก็ยังตั้งใจรับฟัง เพราะอย่างไรซะนี่ก็เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของเขาในเวลาสิบปีนี้
“กำแพงเมืองเป็นเหมือนวงกลมวงหนึ่งที่ช่วยพิทักษ์ความปลอดภัยและควบคุมการแพร่ขยายของแม่น้ำทงเทียนสายออกตกเหนือใต้ เจ้าสามารถมองวงกลมนี้ มองกำแพงเมืองนี้เป็นเขตแดนอย่างหนึ่ง เมื่อพ้นกำแพงเมืองไปก็คือแดนทุรกันดารอย่างแท้จริง แดนทุรกันดารนั้นยากจนแร้นแค้น
มีการต่อสู้กันเกิดขึ้นเป็นประจำ ศัตรูของเรานอกจากวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วยังมีชนพื้นเมืองในแดนทุรกันดารที่เรียกว่าหุนซื่อ (หุนซื่อ 魂士หมายถึงผู้ที่เป็นดั่งวิญญาณ) ด้วย!”
“หุนซื่อ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถาม เขานึกถึงขั้วอำนาจที่หนุนหลังเฉินม่านเหยาแล้วทำท่าครุ่นคิด
“ข้าเองก็ไม่รู้อะไรเยอะนัก รู้เพียงว่าหุนซื่อเหล่านั้นเหมือนกับยักษ์ วิธีการบำเพ็ญตบะก็คล้ายคลึงกับนักพรต ซึ่งส่วนใหญ่จะฝึกชุบหลอมเรือนกาย พวกเขาป่าเถื่อนมาก ขณะเดียวกันก็เหี้ยมโหดอย่างถึงที่สุด ลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเราพอถูกพวกเขาจับตัวไปก็เคยถูกจับกินทั้งเป็น”
จ้าวเทียนเจียวกล่าวมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเบิกตากว้าง สูดลมหายใจเฮือกใหญ่
“จับกินทั้งเป็น?!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจแกว่งอย่างรุนแรง