บทที่ 453 เสี่ยวฉุน ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก
แทบจะเวลาเดียวกันกับที่จ้าวเทียนเจียวเดินออกจากห้อง
ประตูห้องของเฉินเยว่ซานก็เปิดออกเช่นกัน เฉินเยว่ซานสวมอาภรณ์ชุดเดียวกับเมื่อวาน และยังคงเดินออกมาด้วยท่าทางเกียจคร้าน ทว่าวินาทีที่นางก้าวเท้าออกมา นางก็ผินหน้ามามองโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงเห็นจ้าวเทียนเจียวได้ในทันที…
จ้าวเทียนเจียวในวันนี้ไม่ได้สวมอาภรณ์สีชมพูอีกต่อไปแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นอาภรณ์สีขาวตลอดทั้งร่าง แถมยังสวมหมวกของปัญญาชนผู้เล่าเรียนหนังสือ บุคลิกแตกต่างไปจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง
ความลุ่มลึกสง่างามนั้นราวกับเปี่ยมล้นไปด้วยวิชาความรู้ ทั้งยังมีความถูกต้องชอบธรรมเข้ามาแทนที่ความอำมหิตเย็นชา ยิ่งรอยยิ้มที่เผยอยู่บนใบหน้าที่แม้จะดูแข็งทื่อไปสักหน่อย แต่ก็ยังมีความอ่อนโยนเพิ่มขึ้นมากว่าแต่ก่อนไม่น้อย
ที่น่าตะลึงที่สุดก็คือดวงตาทั้งคู่ของเขา อารมณ์ลึกซึ้งที่ฉายออกมานั้นไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยสอน จ้าวเทียนเจียวก็สามารถแสดงออกมาทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง
เขายืนอยู่นอกห้องก็ราวกับปัญญาชนที่ออกจากบ้านเพื่อรีบไปสอบ วินาทีที่
เฉินเยว่ซานเดินออกมา ดวงตาของพวกเขาทั้งสองจึงสบประสานกัน
เฉินเยว่ซานอึ้งค้างอย่างอดไม่ได้ นางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงถอยหลังออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ใจอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ แต่กลับรู้สึกแปลกๆ ดังนั้นจึงหันตัวขวับกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งพร้อมปิดประตูตามหลังเสียงดังปัง
จ้าวเทียนเจียวพยายามควบคุมลมหายใจที่ถี่กระชั้นของตัวเอง คราวนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองไม่ได้แตกตื่นอย่างเมื่อวานอีกแล้ว หลังจากบอกกับตัวเองในใจอย่างต่อเนื่องว่าต้องสุขุมมีสติ เขาก็สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะกลับเข้าไปในห้อง
“ขุนนางใหญ่ไม่ชอบ ปัญญาชนก็ไม่ชอบ เสี่ยวฉุนพูดถูกแล้ว ข้าต้องเปลี่ยนบ่อยๆ จริงๆ ด้วย…”
เช้าตรู่…วันที่สาม เมื่อเฉินเยว่ซานเดินออกมาจากในห้องอีกครั้ง นางก็อดไม่ไหวจนต้องหันมามองที่พักของจ้าวเทียนเจียว เมื่อมองไปนางก็ได้เห็นจ้าวเทียนเจียวอีกครั้ง…
ครั้งนี้ที่นางได้เห็นคือเขาที่สวมชุดเกราะ ด้านหลังแบกกระบี่เล่มโต ปราณดุร้ายอวลอลไปทั่วทั้งร่าง มีภาพลักษณ์ประดุจยอดขุนพล ประดุจวีรบุรุษผู้เลื่องชื่อลือนาม
ภาพลักษณ์นี้ทำให้เฉินเยว่ซานมองตาค้างไปอีกครั้ง คราวนี้นางไม่งุนงงอีกแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยความใคร่รู้ ใจอยากจะถามจ้าวเทียนเจียวว่าเป็นอะไรไป แต่ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างทำให้นางรู้สึกเกรงใจหากต้องเอ่ยถาม หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงได้แต่กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ใหญ่สู้ๆ ท่านใกล้จะทำสำเร็จแล้ว ท่านเห็นไหมศิษย์พี่หญิงเยว่ซานนางถึงกับลืมไปเลยว่าต้องไปที่ดาดฟ้าเรือ นี่หมายความว่าท่านดึงดูดความสนใจจากนางสำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่งข้อความเสียงมาด้วยความตื่นเต้น
จ้าวเทียนเจียวก็ดีใจ เขาเองก็รู้สึกได้ว่าระหว่างตนและเฉินเยว่ซานนั้นมีบางอย่างที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อน ท่ามกลางความฮึกเหิมนี้ ความเชื่อใจที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นจึงรีบเตรียมอาภรณ์สำหรับเช้าวันถัดไป
วันที่สี่…เฉินเยว่ซานลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังคงเดินออกมาจากห้องตามเวลาเดิมเช่นเมื่อหลายวันก่อน ครั้งนี้นางไม่ได้คิดจะออกไปข้างนอก แต่เพราะในใจเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ จึงอยากจะไปดูว่าวันนี้จ้าวเทียนเจียวจะเป็นบ้าอะไรอีก
ทว่าเมื่อนางเดินออกมา ยังไม่ทันที่นางจะหันไปมองก็ต้องตาพร่าลายไปกับแสงเจิดจ้าแวววาวของเครื่องประดับที่อยู่ตรงระเบียงทางเดิน
เห็นเพียงว่าวันนี้จ้าวเทียนเจียวเปลี่ยนภาพลักษณ์มาเป็นบุคคลร่ำรวย
ตลอดร่างตั้งแต่หัวยันเท้าแขวนเครื่องประดับอัญมณีไว้นับไม่ถ้วน ลำพังเพียงแค่แหวนเก็บของที่อยู่บนนิ้วมือทั้งสองข้างก็มีมากถึงสามสิบกว่าวง…
ซึ่งทุกนิ้วจะต้องสวมแหวนไว้อย่างน้อยสามวง อีกทั้งบนข้อมือทั้งสองข้างก็สวมกำไลเก็บของไว้เต็มไปหมด…
ท่วงท่าก็ยิ่งเย่อหยิ่งสูงส่งราวกับเมฆที่ลอยอยู่บนชั้นฟ้า
มีท่าทางประหนึ่งว่าใต้ฟ้าเหนือแผ่นดินข้าคือคนที่รวยที่สุด ทำให้ดวงตาเมล็ดผลซิ่ง (เมล็ดผลซิ่ง 杏仁 เมล็ดอัลมอนด์) ของเฉินเยว่ซานเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง นางรู้สึกว่าจ้าวเทียนเจียวต้องป่วยแน่ๆ …
นางจึงขมวดคิ้วฉับ รีบกลับเข้าไปในห้องทันที เมื่ออยู่ในห้องของตัวเอง ดวงตาใสกระจ่างของเฉินเยว่ซานก็มีประกายสดใสบางอย่างวาบผ่าน หลังจากย้อนนึกถึงเรื่องราวของหลายวันที่ผ่านมา หัวใจของนางก็เต้นรัวเร็วขึ้นอย่างห้ามมิได้
“เสี่ยวฉุน จบกันๆ ข้าก็บอกแล้วว่าศิษย์น้องหญิงเยว่ซานไม่ใช่ผู้หญิงหยาบกระด้าง ข้า…ข้าไม่ควรแต่งตัวด้วยชุดนี้เลย” จ้าวเทียนเจียวเกิดความหดหู่ขึ้นมาอีกครั้ง เดินไปเดินมาอยู่ในห้องด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
“มีสติ วิธีนี้ของพวกเราเรียกว่าแสร้งปล่อยเพื่อจับ มีเพียงแต่งตัวแบบนี้ก่อนเท่านั้น พรุ่งนี้ท่านถึงจะสามารถนำเสนอความสะท้านสะเทือนให้แก่นางได้ วางใจเถอะ ข้าคิดไว้ให้ท่านเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เช้า พวกเราใช้ท่าไม้ตายกันเลย!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยอย่างเอาจริงเอาจัง
“ท่าไม้ตาย?” จ้าวเทียนเจียวชะงักฝีเท้า หันมามองกระจกทองแดง ลมหายใจก็เปลี่ยนมาเป็นถี่กระชั้นเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่ฉายแสงเรืองรอง
“ถูกต้อง จากการจับสังเกตหลายวันมานี้ ด้วยประสบการณ์ที่ฝ่าสมรภูมิรักมาหลายสิบปีของข้าเทพแห่งความรักป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าจึงมองศิษย์พี่หญิงเยว่ซานได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ ทว่าในใจกลับยิ่งรู้สึกผิด เขารู้สึกว่าหลังจากดำเนินแผนการนี้ ผลลัพธ์ที่ออกมาค่อนข้างคลาดเคลื่อนไปจากที่คิดไว้ไม่น้อย
ตามความคิดของเขา อาภรณ์ทั้งสี่วันนี้น่าจะมีบางชุดที่ทำให้เฉินเยว่ซานชื่นชอบได้ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนว่าจะมองเฉินเยว่ซานไม่ออกเลยสักนิด
“เหมือนว่านางจะชอบทั้งหมด แล้วก็เหมือนว่าจะไม่ชอบทั้งหมด…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ตกจึงตั้งใจว่าจะใช้ไม้ตายสุดท้าย
ไม่นานเวลาหนึ่งคืนก็ผ่านไป ตลอดคืนนี้จ้าวเทียนเจียวไม่มีอารมณ์นั่งทำสมาธิ เมื่อเช้าของวันใหม่มาถึงหลังจากที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เขาก็ตบอกตัวเองอย่างต่อเนื่อง กัดฟันกรอด แล้วจึงพุ่งตัวออกไปตามเวลาที่กำหนดภายใต้การจับตามองอย่างใกล้ชิดของพวกป๋ายเสี่ยวฉุน
เมื่อมาถึงหน้าห้อง จ้าวเทียนเจียวก็กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้ง เริ่ม…เปลื้องผ้าออก
ชิ้นแล้วชิ้นเล่า ไม่นานเขาก็ถอดเสื้อผ้าออกไปเกินครึ่ง เผยให้เห็นเรือนกายท่อนบนที่บึกบึนได้รูปงดงาม ทั้งยังหยิบเอาน้ำมันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบให้ออกมาละเลงไปบนร่างอย่างรวดเร็ว ทำให้เรือนกายของเขายิ่งดูแข็งแรงล่ำสัน ราวกับแฝงเร้นไว้ด้วยพลังแห่งการระเบิดซึ่งสามารถปะทุพลังที่น่าตื่นตะลึงออกมาได้ตลอดเวลา
โดยเฉพาะเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบนั้นมีกล้ามเนื้อนูนแน่นเป็นก้อนสวยงาม ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงทำให้เสน่ห์ความเป็นชายของจ้าวเทียนเจียวกระตุ้นเร้าอารมณ์ได้อีกไม่น้อย…
นี่ก็คือท่าไม้ตาย…ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไว้ให้จ้าวเทียนเจียว!
จ้าวเทียนเจียวเองก็เลอะเลือนไม่เบา มิฉะนั้นเขาย่อมไม่มีทางทำอย่างนี้แน่นอน ทว่าเมื่อเดินมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาย่อมมิอาจหันหลังกลับ ทำได้เพียงกัดฟันยืนหยัดต่อไป ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุน
ถึงกระทั่งยอมทำท่าหลายท่าตามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสอนเขาไว้ด้วย…ไม่นานนัก ประตูห้องของเฉินเยว่ซานก็เปิดออก นางเดินออกมาด้วยท่าทางระมัดระวังราวกับหวาดผวาเล็กน้อย
หลังจากที่เดินออกมาแล้วนางก็หันขวับมามองห้องของจ้าวเทียนเจียวอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าจ้าวเทียนเจียวเปลือยท่อนบนทั้งยังเปลี่ยนท่าทางไปมา ในสมองของเฉินเยว่ซานก็เกิดเสียงดังอึงอล ครั้งนี้นางตะลึงงันอย่างสมบูรณ์แบบแล้วจริงๆ
“ศิษย์…ศิษย์พี่จ้าว…ท่าน…ท่านเป็นอะไรไป?” หลังจากที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายของจ้าวเทียนเจียวตลอดหลายวันที่ผ่านมา ในที่สุดเฉินเยว่ซานก็ข่มกลั้นไม่ไหว นัยน์ตาเผยความงงงัน ความรู้สึกแปลกๆ นั้นทำให้นางต้องเอ่ยถามออกมาในที่สุด
เมื่อประโยคนี้ดังจากปากของนาง จ้าวเทียนเจียวก็ตื่นเต้นจนเกือบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ยังดีที่เขาจำได้ว่าต้องสุขุมมีสติ ดังนั้นจึงทำตามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบอกคือไม่พูดอะไร หลังจากหยุดอยู่ที่ท่าหนึ่งแล้วก็ผินหน้ากลับมามองเฉินเยว่ซานด้วยสายตาลึกซึ้ง
ความเร่าร้อนในดวงตานั้นทำให้หัวใจของเฉินเยว่ซานเต้นระรัว แก้มก็แดงปลั่งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ทั้งยังรีบถอยฉากกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วราวกับคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เห็นว่าเฉินเยว่ซานเป็นเช่นนี้ จ้าวเทียนเจียวก็ตื่นเต้นดีใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้ทันที
“เสี่ยวฉุน ข้าทำสำเร็จแล้ว ฮ่าๆ เจ้าเห็นไหม นางไม่เพียงแต่พูดกับข้า ยังมองข้าอยู่หลายที แถมยังหน้าแดงด้วย!”
“แบบนี้แหละถูกแล้ว! นี่หมายความศิษย์พี่หญิงเฉินเยว่ซานชอบเรือนกายที่บึกบึนของท่าน” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในห้องตบขาตัวเองฉาดใหญ่ ท่าทางฮึกเหิมไม่ต่างกัน เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ที่ตนเป็นผู้ควบคุมด้วยตัวเอง มาถึงตรงนี้ก็ถือว่ามีความก้าวหน้าครั้งใหญ่เกิดขึ้นแล้ว
“ข้าเองยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่แท้ศิษย์น้องหญิงเยว่ซานก็ชอบที่ข้าเป็นเช่นนี้” จ้าวเทียนเจียวปิติยินดี เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง นัยน์ตาเปล่งประกายสุกใส
“เสี่ยวฉุนเจ้านี่เก่งจริงๆ เลยนะ ฮ่าๆ” จ้าวเทียนเจียวดีใจเป็นล้นพ้น
“ก็แน่อยู่แล้ว นั่นคือท่าไม้ตายของข้าเทพแห่งความรักป๋ายเสี่ยวฉุนเชียวนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจอย่างถึงขีดสุด แต่กลับไอแห้งๆ หนึ่งครั้งแล้วพูดต่อว่า
“แต่ท่านเองก็อย่าเพิ่งรีบดีใจเร็วเกินไปนัก นี่ยังเป็นเพียงแค่ก้าวแรก ตอนนี้ท่านดึงดูดความสนใจจากศิษย์พี่หญิงเยว่ซานสำเร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องขุดให้ลึกลงไปยิ่งกว่าเดิม นั่นคือต้องให้แรงดึงดูดที่ท่านมีต่อนางรุนแรงขึ้นจนตราตรึงลงไปในจิตวิญญาณของนาง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวมาถึงตรงนี้สีหน้าก็เริ่มจริงจังเล็กน้อย
“เจ้าบอกมาเลยว่าข้าต้องทำอย่างไร!” จ้าวเทียนเจียวเองก็รีบพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เวลานี้เขายอมเชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างหมดใจแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนนวดคลึงหว่างคิ้ว ครุ่นคิดอย่างหนัก ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็พลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแสงคมกล้า
“ศิษย์พี่ใหญ่ เอาอย่างนี้…เรื่องนี้ถ่วงเวลานานไปจะไม่ดี เริ่มพรุ่งนี้เลยแล้วกัน…”
“ต้องรู้ว่าศิษย์พี่หญิงเยว่ซานไม่ได้ออกไปที่ดาดฟ้าเรือหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ท่านไม่ต้องปรากฏตัวที่หน้าห้อง ข้าคาดว่านางน่าจะไปที่ดาดฟ้าเรือ ดังนั้นท่านต้องไปยืนอยู่ที่ดาดฟ้าเรือก่อนแล้วหาจุดที่โดนคลื่นกระแทกเยอะๆ!”
“ท่านจำเอาไว้ว่าต้องสวมเสื้อบางๆ จากนั้นพอศิษย์พี่หญิงเยว่ซานออกมาท่านก็ให้คลื่นของมหาสมุทรทงเทียนสาดกระทบลงมาบนร่างของท่าน ทำให้เสื้อเปียกจนเรือนกายอันบึกบึนของท่าน…เผยให้เห็นต่อหน้าศิษย์พี่หญิงเยว่ซาน ทำให้แรงดึงดูดที่ท่านมีต่อนางยิ่งลึกล้ำมากกว่าเดิม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง
เสินซ่วนจื่อ ซ่งเชวียและยังมีเฉินม่านเหยาที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ พอได้ยินบทสนทนาระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับจ้าวเทียนเจียวต่างก็พากันทำหน้าเหยเก…
จ้าวเทียนเจียวเงียบงันไปครู่ใหญ่แล้วพลันเอ่ยขึ้นมาว่า “เสี่ยวฉุน ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก!”