บทที่ 493 อานุภาพน่าตะลึงของยารวมวิญญาณ!
เมื่อเทียบกับกองทัพใหญ่ทั้งห้าแล้ว ชนเผ่านับร้อยของแดนทุรกันดารนี้มองดูเหมือนกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด แต่กลับกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบจนไม่สามารถเขย่าคลอนกองทัพใหญ่ทั้งห้าได้เลย
เดิมทีกองทัพใหญ่ทั้งห้าไม่ได้ราบรื่นเช่นนี้ หากดูตามการประมือกันระหว่างสองฝ่ายในอดีต สงครามที่มีขนาดใหญ่เท่านี้ การดำรงอยู่ของพวกวิญญาณพยาบาทคือปัญหาที่ทำให้กำแพงเมืองปวดหัวมากที่สุด และก็เป็นการคุ้มกันที่มีพละกำลังมากที่สุดของแดนทุรกันดาร
ภายใต้การโจมตีของวิญญาณพยาบาทที่มากมายไร้ที่สิ้นสุดมักจะสกัดกั้นการเคลื่อนที่ของม่านแสงได้เสมอ อีกทั้งยังสามารถโจมตีกลับได้อีกด้วย ทำให้ม่านแสงเกิดลางที่จะแตกสลาย
เพราะอย่างไรซะวิญญาณพยาบาทก็มีเยอะเกินไป เมื่อพวกมันพุ่งโจมตีอย่างมิรู้จักจบสิ้น ต่อให้วิญญาณพยาบาทแต่ละตัวจะไม่สามารถทำลายค่ายกลได้มากเท่าไหร่นัก ทว่าเมื่อจำนวนเพิ่มมากขึ้นแล้วก็ถือว่าน่ากลัวอย่างถึงขีดสุด
แต่ตอนนี้พวกวิญญาณพยาบาทเหล่านั้นเพิ่งจะเข้ามาใกล้ก็ถูกนักพรตของห้ากองทัพใหญ่โยนยารวมวิญญาณออกไปหลายเม็ด ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ไม่เพียงแต่กวาดล้างพื้นที่หนึ่งให้สะอาดเอี่ยม ดูดดึงเอาวิญญาณพยาบาทจนก่อเกิดมาเป็นพลังโจมตี ทั้งยังสร้างผลกระทบและการทำลายล้างที่ไม่น้อยให้แก่ชนพื้นเมือง
ทำให้กองทัพใหญ่ของตลอดทั้งแดนทุรกันดารคล้ายถูกเค้นคอ ได้แต่ถอยร่นต่อเนื่อง
“บัดซบ ทำไมถึงได้มีมากขนาดนี้!!!”
“เป็นไปไม่ได้ ในกำแพงเมืองมีเพียงแค่เตาหลอมยาไม่ใช่หรือ!!”
“นี่มันคือยาอะไร ก่อนหน้านี้ข้าจำได้ว่าเหมือนจะเคยปรากฏขึ้นมาก่อน แต่ตอนนั้นมีแค่เม็ดเดียว ทว่าตอนนี้ สมควรตายเอ๊ย พวกเขาโยนออกมาอย่างน้อยก็นับหมื่นเม็ดแล้วนะ!!”
“แบบนี้จะรบกันอีกได้อย่างไร!!”
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ไฟโทสะของพวกหัวหน้าชนเผ่านับร้อยลุกโชน ต่อให้เป็นพวกผู้ฝึกวิญญาณเองก็ยังพากันขมวดคิ้ว
ส่วนอาจารย์หลอมวิญญาณที่สูงศักดิ์ที่สุดนั้น พวกเขามีเพียงแค่ร้อยคน เวลานี้ก็ยังต้องพยายามควบคุมวิญญาณพยาบาทอย่างไม่อาจละไปสนใจสิ่งใด พยายามบิดเบือนฟ้าดิน แต่กลับทำได้อย่างยากลำบาก
“เป็นฝีมือของเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นทั้งสิ้น!!”
“ระยำ หากไม่กำจัดคนผู้นี้ แดนทุรกันดารของเราจะต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง!!” สายตาที่แฝงเร้นไว้ด้วยความเคียดแค้นจากพวกหัวหน้าเผ่าและผู้ฝึกลมปราณหันขวับมามองกำแพงเมืองทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เห็นภาพเหตุการณ์เหล่านี้ใจของเขาถึงได้พอจะสงบลงมาได้บ้าง แต่ก็ยังรีบถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว กลัวว่าจะเกิดเรื่องลอบฆ่าแบบคราวก่อน ทอดสายตามองไปไกลเขาเองก็สังเกตเห็นพวกจ้าวหลงเช่นกัน
เมื่อเทียบกับนักพรตคนอื่นๆ ของห้ากองทัพแล้ว แม้ว่าพวกจ้าวหลงที่อยู่บนสนามรบแห่งนี้จะดูเล็กกระจ้อยร่อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่ก็สะดุดตามากเป็นพิเศษ เพราะว่าเกราะที่พวกเขาสวมนั้นหนาเกินไป แต่ละคนเวลาลงมือก็ทำลายทุกอย่างให้ย่อยยับเป็นหน้ากลอง อีกทั้งหากมีอันตรายก็จะรีบขว้างยารวมวิญญาณออกไปทันที ปริมาณมากของยานั้นทำเอานักพรตรอบด้านล้วนอิจฉาอย่างถึงที่สุด
นี่ยังไม่เท่าไหร่ หากพบกับความเสี่ยงภัยที่มากกว่านั้น คนเหล่านี้ก็จะให้อาวุธวิเศษระเบิดตัวเองอย่างไม่ลังเลทันที ท่าทางที่ใช้ของวิเศษอย่างไม่เสียดายทำให้พวกผู้บังคับกองพันหลายคนต่างก็หันมาจับตามอง
“นี่คือลูกน้องของใคร!!”
“สวรรค์ พวกเขามียารวมวิญญาณเท่าไหร่ ทำไมถึงได้มากขนาดนี้!!”
“ยังมีอาวุธวิเศษพวกนั้นอีก ข้าเห็นพวกเขาระเบิดใช้ไปแล้วตั้งห้าหกชิ้น แถมแต่ละชิ้นก็มีราคาไม่ธรรมดาทั้งนั้น!”
“นั่นยังไม่เท่าไหร่ ทุกคนดูบนร่างของพวกเขาสิ คนเหล่านี้ล้วนสวมเสื้อเกราะป้องกันกายกันอย่างน้อยห้าหกตัว ขนาดยักษ์ชนเผ่าระเบิดตัวเองก็ยังเขย่าคลอนพวกเขาไม่ได้เท่าไหร่นัก!!”
ภายใต้การบุกโจมตีที่แตกต่างไปจากทุกคนอย่างเห็นได้ชัดทำให้พวกจ้าวหลงร้อยคนโดดเด่นขึ้นมาทันที ความมากมายของวิญญาณพยาบาทและชนพื้นเมืองที่พวกเขาสังหารได้มีมากกว่านักพรตคนอื่นเกินครึ่ง
ทุกที่ที่ผ่าน พลังอำนาจมิอาจสกัดขวาง แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ใด
“สู้ๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีใจอย่างมากจึงหันไปตะโกนก้องให้กำลังใจเสียงดัง ทั้งยังหันไปชี้พื้นที่ที่พวกจ้าวหลงร้อยคนอยู่ให้คนข้างกายดูแล้วพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
“พวกเขาคือลูกน้องของข้า! เป็นไง ร้ายกาจไหมล่ะ”
รอบด้านมีนักพรตไม่น้อยที่พิทักษ์กำแพงเมือง แต่ละคนพูดไม่ออก
มองพวกจ้าวหลงที่สวมชุดรบติดอาวุธเต็มกำลังแล้วก็หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกที ในใจทุกคนล้วนเกิดความปลงอนิจจัง ขณะเดียวกันก็ยิ่งมากด้วยความอิจฉา
“นี่ใช่คนของกองถลกหนังเสียที่ไหน นี่มันกลายเป็นกองกำลังส่วนตัวของปรมาจารย์ป๋ายชัดๆ…”
และเวลานี้เอง ในแดนทุรกันดารที่ห่างออกไปไกลก็มีเสียงอสนีบาตระเบิดตูมขึ้นมา เมื่อเสียงนั้นดังกังวาน พวกป๋ายหลินก็พากันหน้าถอดสี ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง เมื่อมองออกไปเขาก็เห็นทันทีว่าบนนภากาศที่ห่างไกลมีแม่น้ำสายยาวเส้นหนึ่งปรากฏอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆหมอก!
แม่น้ำสายนี้กว้างใหญ่ไพศาลราวมหาสมุทร เมื่อมันเผยกายออกมาก็มองเห็นได้ว่าสีของแม่น้ำนั้นเป็นสีดำสนิทไปทั้งผืน ทั้งยังมองเห็นได้รำไรว่าในแม่น้ำมีวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนดำรงอยู่ วิญญาณพยาบาทเหล่านี้ต่างพากันร้องคำราม พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นออกมาจากในแม่น้ำ แต่กลับทำไม่ได้ ได้แต่ถูกสายน้ำม้วนตลบกลับไป
“แม่น้ำอเวจี!” มีคนร้องอุทานด้วยความตกใจทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบถอยออกไปอีก เขาเบิกตากว้าง มองแม่น้ำอเวจีที่จำแลงออกมาบนท้องฟ้า เห็นเพียงว่าแม่น้ำอเวจีที่เดิมทียังไหลรินเป็นปกติ อยู่ๆ กลับมีมือขนาดใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่งโผล่ออกมาข้างแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่แห่งนั้น
แม้ว่ามือใหญ่นี้จะเป็นภาพมายาเช่นกัน ทว่าวินาทีที่ปรากฏออกมานั้นกลับแผ่พลานุภาพสยบที่น่าตะลึงทันทีทันใด ทำให้ค่ายกลของกำแพงเมืองเริ่มสั่นไหว เฉินเห้อเทียนที่ประมือกับสตรีชุดแดงอยู่บนท้องฟ้าก็หน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน
และเวลานี้เองมือใหญ่นั้นพลันยกขึ้นกลายมาเป็นมีดรูปมือที่ฟันฉับลงบนแม่น้ำอเวจี การตวัดฟันนั้นเสียงดังเกินฟ้าผ่า ทำให้ทุกคนแก้วหูสั่นไหวจนเกือบจะเสียสติสัมปัชชัญญะ
ตูมๆๆ!
ภายใต้เสียงกัมปนาทที่สั่นสะเทือนจนหูแทบดับนั้น แม่น้ำอเวจี…กลับถูกฟันจนเกิดรูโหว่หนึ่งรูจนน้ำของแม่น้ำอเวจีไหลแยกออกมาหนึ่งสาย เปลี่ยนทิศทางการระบายออก และเป้าหมายของมัน…ก็คือกำแพงเมือง!
แม้ว่ารูโหว่ของแม่น้ำอเวจีนี้จะประสานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ทว่าภายใต้ขั้นตอนการประสานตัวนั้นความมากมายของวิญญาณพยาบาทซึ่งอยู่ในแม่น้ำสายที่ไหลแยกออกมากลับมีเกินจะนับ พวกมันพุ่งตัวมาตามแม่น้ำอเวจีสีดำ พริบตาเดียวก็มาอยู่บนสมรภูมิรบ ม้วนตลบซัดทุกสรรพสิ่งที่อยู่แปดทิศ ตรงดิ่งพุ่งเข้าไปกระแทกลงบนม่านแสงของกำแพงเมือง
ระหว่างทางมียักษ์ชนพื้นเมืองบางส่วนที่หลบไม่ทัน พอถูกน้ำของแม่น้ำอเวจีกระทบโดนพวกเขาก็กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ร่างกายละลายกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำอเวจี
ทุกอย่างนี้พูดแล้วยาว แต่ในความเป็นจริงแล้วเกิดขึ้นเพียงแค่เวลาชั่วลมหายใจเท่านั้น ไม่นานน้ำของแม่น้ำอเวจีนี้ที่พัดตลบเอาวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปะทะเข้ากับม่านแสงของกำแพงเมืองที่แผ่ขยายออกมา
เสีงกัมปนาทดังก้องกังวาน ม่านแสงเกิดคลื่นเคลื่อนไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามันเปลี่ยนมาเป็นบางลง!!!
เมื่อมันบางลง ม่านแสงจึงจำต้องหดตัวพาให้นักพรตของห้ากองทัพใหญ่ถอยร่นออกไปอย่างรวดเร็วด้วย พอเห็นว่าเป็นเช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มร้อนใจเหมือนกัน
ป๋ายหลินที่อยู่บนท้องฟ้าเห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาของตัวเองก็แผดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล
“ทุกคนโยนยารวมวิญญาณของพวกเจ้าออกไป ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะทำให้วิญญาณพยาบาทพวกนี้ตายไม่ได้!!”
เมื่อเสียงของเขาดังออกมา นักพรตทุกคนในห้ากองทัพใหญ่ต่างพากันกัดฟันกรอด ขณะที่ถอยร่นก็หยิบเอายารวมวิญญาณของใครของมันขว้างออกไปทั้งหมด
พริบตาเดียว ยารวมวิญญาณปริมานมากที่แผ่ดำมืดไปทั่วฟ้าดินก็บินออกมาจากในม่านแสงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตกลงไปกลางแม่น้ำอเวจี วินาทีที่ร่วงลงในแม่น้ำอเวจี ยาพวกนี้ก็ละลายอย่างรวดเร็ว แต่ต่อให้ยาพวกนี้จะละลายไปก็ยังสามารถแผ่พลังที่แน่นอนในการรับมือกับร่างของวิญญาณได้อยู่ดี
ที่สำคัญที่สุดก็คือ…ยารวมวิญญาณพวกนี้มีมากเกินไป พลังของมันที่ระเบิดออกมาพร้อมกันจึงทำให้แม่น้ำอเวจีก่อเกิดเป็นน้ำวนลูกแล้วลูกเล่า!
เมื่อน้ำวนปรากฏขึ้น วิญญาณพยาบาทที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างก็ถูกดูดดึงเข้าไปอย่างมิอาจควบคุมได้ และน้ำวนก็มีมากจนหลายลูกเกิดทับซ้อนกัน ขนาดจึงเปลี่ยนมาเป็นใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
มาถึงท้ายที่สุด ตลอดทั้งในแม่น้ำอเวจีก็ปรากฏเป็นน้ำวนขนาดน่าตกตะลึง ทำให้วิญญาณทั้งหมดถูกดูดสวบเข้าไปด้านใน และภายหลังเมื่อเสียงฟ้าผ่าดังกัมปนาท น้ำวนนั้นก็พังทลายลง!
พลังโจมตีมหาศาลระลอกหนึ่งแผ่ครั่นครืนออกไปรอบๆ น้ำวน ทั้งยังซัดเอาน้ำของแม่น้ำอเวจีให้แผ่กระจายออกไปรอบด้านด้วย เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังไม่ขาดระยะ ม่านแสงก็บางลงไปอีกครั้ง
แต่โดยภาพรวมแล้วถือว่าส่งผลดีต่อกำแพงเมืองอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันกับที่แม่น้ำอเวจีสาดกระจายไปทั่วด้าน รูโหว่ของแม่น้ำอเวจีบนท้องฟ้าก็ถูกซ่อมแซมไปโดยอัตโนมัติ ราวกับว่ามือใหญ่นั้นมีพลังโจมตีเพียงครั้งเดียว ก่อนที่มันจะค่อยๆ หายไปบนท้องฟ้า ทิ้งไว้เพียงเสียงทอดถอนใจด้วยความเสียดายที่ดังก้องระหว่างฟ้าดินแห่งนี้
วิญญาณพยาบาทตลอดทั้งสนามรบบาดเจ็บและล้มตายไปแทบจะหมดเกลี้ยง ส่วนที่เหลืออยู่เมื่อถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้แต่อาจารย์หลอมวิญญาณเองก็ยังมิอาจควบคุมต่อได้ พวกเขาตัวสั่นเทิ้มและเริ่มถูกพลังโจมตีกลับ จำต้องหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับห้ากองทัพใหญ่ พวกป๋ายหลินจึงรีบเปิดฉากโจมตีกลับทันทีอย่างไร้ซึ่งความลังเล ทันใดนั้นม่านแสงก็ขยับขยายออกไปอีกครั้ง นักพรตของห้ากองทัพใหญ่รีบพุ่งเข้าไปประหัตประหารอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะพวกจ้าวหลงที่ยิ่งราวกับกระบี่แหลมคม พวกเขารุดหน้าเข้าไปเข่นฆ่า ฟ้าดินเขย่าคลอน เสียงอึกทึกก็ดังต่อเนื่อง
มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดที่จะขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้ เขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเมื่อยารวมวิญญาณของตัวเองระเบิดพร้อมกันเป็นจำนวนมากจะมีอานุภาพได้ถึงขนาดนี้
“แปลกจริง ไม่ควรจะมีอานุภาพมากขนาดนี้มิใช่หรือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ แล้วก็สังเกตเห็นว่าเมื่อพวกบุคคลอันเป็นหัวหน้าที่มีฐานะสูงศักดิ์ในบรรดายักษ์ชนเผ่ามองมายังกำแพงเมือง โดยเฉพาะตอนที่มองมายังตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่ ความเคียดแค้นและความบ้าคกลั่งในดวงตานั้นก็คล้ายจะสามารถฆ่าคนได้ บัดนี้พวกเขาต้องอยากเอาป๋ายเสี่ยวฉุนมาแร่เนื้อออกเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น ก่อนจะเลาะกระดูกและหนังเอาไปแช่น้ำมันร้อนๆ แล้วแน่ๆ
“เอ่อ…” นี่เป็นครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดกลัวการแข่งขันทางสายตา เขารู้สึกว่าที่นี่อันตรายเกินไป ในใจก็ยิ่งกลัดกลุ้ม ในเมื่ออยู่คนละฝ่ายแบบนี้ เขาเองก็อับจนปัญญาจริงๆ…