Skip to content

A Will Eternal 494

บทที่ 494 ตายไปก็ไม่เสียดาย

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังกลัดกลุ้ม สถานการณ์ในการรบที่เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ทำให้สตรีชุดแดงขอบเขตคนฟ้าที่ประมือกับเฉินเห้อเทียนอยู่บนท้องฟ้าขมวดคิ้วเช่นกัน

ทว่าศึกของคนฟ้ามิอาจทำให้นางแบ่งสมาธิออกไปได้มากนัก ลงมือเมื่อใดเสียงกัมปนาทก็สะท้านฟ้า ทำให้เมฆโลหิตทั่วนภากาศยิ่งซัดกลิ้งตลบอบอวล การต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองยิ่งดุเดือด พอจะมองเห็นได้รำไรว่ากลางอากาศมีรอยปริแตกเกิดขึ้นหลายเส้น เสียงเปรี๊ยะๆ ดังไม่ขาดระยะ รอบด้านที่มีเมฆโลหิตเป็นจุดศูนย์กลางก็เริ่มทยอยกันแตกกระจายอย่างต่อเนื่อง

หากเงยหน้ามองจากพื้นดินก็ราวกับว่าท้องฟ้าจะเกิดรอยแตกขนาดใหญ่ยักษ์ ทั้งยังมีรอยแตกบางส่วนที่แผ่ขยายมาถึงพื้นดิน ทุกที่ที่ผ่านก็ราวกับมีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาจนแปดทิศระเบิดกระจัดกระจาย

ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่หนังหัวชาดิกอีกครั้ง เขาเห็นกับตาตัวเองว่าเมื่อรอยแตกรอยหนึ่งวาบผ่าน ร่างของผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่งที่มีตบะเทียบเคียงกับก่อกำเนิดก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ กายและจิตดับสลาย

“คนฟ้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นอานุภาพของคนฟ้า แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นจิตวิญญาณของเขาก็ยังสั่นไหวอย่างรุนแรงทุกครั้ง นั่นคือขีดจำกัดที่เกินกว่าร่างกายของคนคนหนึ่งจะแบกรับได้ราวกับว่ามีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากนักพรตทั่วไป

“ใช้ร่างกายผสานรวมกับฟ้าดิน อาศัยพลังสูงสุดของฟ้าดิน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ มองสองคนที่อยู่บนท้องฟ้า รอบกายของเฉินเห้อเทียนและสตรีชุดแดงไม่ว่าจะเป็นลมหรือเมฆ ต่อให้เป็นภาพมายาก็คล้ายสามารถกลายมาเป็นอาวุธวิเศษของพวกเขาได้ ถูกพวกเขาต่างคนต่างใช้วิธีการที่พิเศษของตัวเองรวบรวมขึ้นกลายมาเป็นวิขาอภินิหารที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน!

แถมเขายังเห็นด้วยว่าข้างกายคนทั้งสองมีเงามายาจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น เงาเหล่านั้นเหมือนมาจากยุคบรรพกาลที่ห่างไกลซึ่งกำลังประมือกันอย่างต่อเนื่อง…

ยังดีที่หากมองจากภาพรวม สงครามในตอนนี้ถือว่าฝ่ายกำแพงเมืองได้เปรียบอย่างถึงที่สุด เมื่อม่านแสงขยายออกไป นักพรตของห้ากองทัพใหญ่ก็รุดหน้าไปเรื่อยๆ อีกทั้งเนื่องจากกระแสวิญญาณพยาบาทสลายหายไป ยักษ์ชนพื้นเมืองเจ็ดแสนคนไม่มีวิญญาณพยาบาทคอยปกป้องจึงได้แต่เผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ทั้งห้าด้วยตัวเอง และเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันจากม่านแสงของกำแพงเมืองก็จำต้องถอยร่นไม่เป็นท่า

ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่อนลมหายใจ เขาเองก็เคยเห็นสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน แถมยังเข้าร่วมมาแล้วหลายครั้ง แต่ขนาดของสงครามอย่างในตอนนี้กลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

ทว่าวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะคลายใจได้ ทันใดนั้นอาจารย์หลอมวิญญาณนับร้อยคนของแดนทุรกันดารกลับพากันเงยหน้าขึ้น การสลายตัวของวิญญาณพยาบาททำให้แดนทุรกันดารสูญเสียฉากกำบังที่มีพลังไป แต่ก็ทำให้อาจารย์หลอมวิญญาณนับร้อยไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงไปควบคุมพวกมันอีก หลังจากที่พวกเขาเงยหน้าขึ้น อาจารย์หลอมวิญญาณเหล่านี้ก็พากันนั่งขัดสมาธิ ต่างคนต่างหยิบเอาธูปสีดำที่ถูกจุดออกมาหนึ่งก้านแล้วสูดเฮือกอย่างแรง ทันใดนั้นพวกเขาก็สั่นเทาไปทั้งร่าง ก่อนจะหลับตาคล้ายหลับสนิท

ขณะเดียวกันรอบกายของพวกเขาก็มีผู้ฝึกวิญญาณจำนวนมากให้การปกป้อง ไม่นานเหนือศีรษะของอาจารย์หลอมวิญญาณนับร้อยคนนี้ก็มีดวงวิญญาณเป็นกลุ่มๆ ลอยออกมา!

ดวงวิญญาณเหล่านี้ก็คือวิญญาณแห่งชีวิตของพวกเขา วินาทีที่ปรากฏขึ้นก็กลายร่างเป็นเงาวิญญาณมากมายที่แผ่ปราณน่าตะลึงออกมาก่อนจะตรงดิ่งไปยัง…ม่านแสงของกำแพงเมือง!

ม่านแสงนี้สามารถสกัดกั้นแดนทุรกันดารได้ แต่เห็นได้ชัดว่า…สำหรับอาจารย์หลอมวิญญาณที่ใช้ธูปประหลาดเหล่านั้นแล้ว พวกเขาสามารถลอดทะลุผ่านเข้ามาได้!

จุดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมองออกตั้งแต่เรื่องลอบฆ่าเขาในคราวก่อนแล้ว!

แทบจะวินาทีเดียวกับที่มองเห็นดวงวิญญาณของพวกอาจารย์หลอมวิญญาณหลุดออกมาจากร่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหน้าเปลี่ยนสี ถอยห่างออกไปอีกครั้ง ตอนที่มองออกไปก็เห็นทันทีว่าดวงวิญญาณนับร้อยกลายร่างเป็นสายรุ้งนับร้อยเส้นที่ทะลุทะลวงผ่านม่านแสงกำแพงเมืองซึ่งกำลังขยายออกเข้ามาสังหารคนที่อยู่ด้านใน!

แทบจะขณะเดียวกันกับที่พวกเขาพุ่งเข้ามาเข่นฆ่าด้านใน ในกองทัพใหญ่ แม่ทัพทั้งห้าซึ่งรวมป๋ายหลินด้วยก็พากันบินออกไป ทั้งยังมีผู้บังคับกองหมื่นในสังกัดของพวกเขาที่บินขึ้นกลางอากาศอย่างพร้อมเพรียงกัน หมายขัดขวางการโจมตีจากดวงวิญญาณนับร้อยของอาจารย์หลอมวิญญาณ

จิตวิญญาณของอาจารย์หลอมวิญญาณนับร้อยคนนั้นเมื่อถูกสกัดขวางจึงมิอาจเข้าใกล้กำแพงเมืองได้ ยิ่งนครหลักมีลำแสงที่สาดส่องจากดวงตายักษ์มาเป็นระยะด้วยแล้ว นั่นจึงยิ่งทำให้พวกเขากริ่งเกรง พริบตาเดียวต่างฝ่ายก็ต่างเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดอยู่กลางอากาศ

เวลาเดียวกันนั้นพวกยักษ์ชนเผ่าของแดนทุรกันดารก็คล้ายจะได้รับคำสั่งจากหัวหน้าเผ่าของใครของมัน แต่ละคนจึงแผดเสียงคำรามด้วยดวงตาที่แดงก่ำแล้วกระโจนเข้าโจมตีกำแพงเมืองโดยไม่สนใจสิ่งใด!

เสียงกัมปนาทดังสะท้านฟ้าขึ้นมาอีกครั้ง ยักษ์เหล่านั้นคล้ายไม่กลัวความตาย ต่อให้การพุ่งชนของพวกเขาจะไม่สามารถเขย่าคลอนม่านแสงได้ แต่การที่พวกเขาทยอยกันระเบิดตัวเองก็กลับทำให้ม่านแสงนี้ยิ่งบิดเบือน ทั้งยังมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามันบางลงไปเรื่อยๆ!

นี่ก็คือการโจมตีกลับของแดนทุรกันดาร!

ม่านแสงมืดสลัวลงไปอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การระเบิดตัวเองของยักษ์หลายแสนคนจึงไม่สามารถแผ่ขยายออกไปได้อีก ได้แต่หดตัวกลับเข้ามา นักพรตของห้ากองทัพใหญ่มีหลายคนที่ถอยหนีไม่ทันจนร่างเผยอยู่นอกม่านแสง เมื่อเผชิญหน้ากับยักษ์ชนพื้นเมืองที่บ้าระห่ำเหล่านั้นพวกเขายืนหยัดได้ไม่นานนักก็ร้องโหยหวนแล้วสิ้นใจไป

ที่อเนจอนาถที่สุดก็คือนักพรตบางส่วนที่ถูกยักษ์ชนพื้นเมืองคว้าจับเอาไว้ก่อนจะฉีกกระชากแล้วกัดกินร่างของพวกเขาทั้งเป็น เสียงร้องโหยไห้ของพวกเขาทำให้ทุกคนในสนามรบได้ยินจิตใจสั่นคลอน

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดขาว เขาเห็นกับตาตัวเองว่านักพรตคนหนึ่งถูกยักษ์สองตนแย่งกันฉีกกระชากร่างของเขาออก และหลังจากที่เขมือบกลืนร่างของนักพรตผู้นั้นไปแล้ว บนร่างของยักษ์ทั้งสองก็มีลางว่าจะฝ่าทะลุขั้น

ชนพื้นเมืองก็ต้องฝึกบำเพ็ญตบะ เพราะไม่มีปราณวิญญาณจึงได้แต่ดูดซับพลังจากดวงวิญญาณเท่านั้น ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้วปราณวิญญาณก็เหมือนน้ำค้างหวานที่คนซึ่งอยู่ในดินแดนแห้งแล้งมานานกระหายใคร่ และเนื่องจากในร่างของนักพรตมีปราณวิญญาณอยู่ ดังนั้นสำหรับชนพื้นเมืองแดนทุรกันดารแล้วก็เหมือนได้กินอาหารเลิศรส!

“กินพวกเขาซะ!!”

“ไม่ได้กินร่างของนักพรตมานานเหลือเกินแล้ว…”

“ฮ่าๆ รสชาติเช่นนี้แหละที่รอมานาน!!” ยักษ์ชนพื้นเมืองเหล่านั้นยิ่งบ้าคลั่งมากกว่าเดิม พวกเขาพุ่งเข้ามาสังหารโดยไม่สนใจสิ่งใด จับตัวนักพรตได้ก็ฉีกกระชากร่างของพวกเขาอย่างต่อเนื่องไม่ต่างไปจากสัตว์ป่าตัวหนึ่ง

และการระเบิดตัวของพวกเขาก็ไม่เพียงแต่สามารถกัดกร่อนม่านแสงได้เท่านั้น สำหรับนักพรตแล้วยังเป็นการทำลายล้างอย่างสูงสุด ซึ่งมีคนไม่น้อยที่เมื่อพวกยักษ์ระเบิดตัวก็ถูกเลือดเนื้อของพวกเขากระเด็นมาโดนจนร่างหลอมละลายเหลือแต่ซากกระดูก!

สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงซีดขาวเหมือนเดิม แต่ดวงตากลับแดงก่ำเล็กน้อย ภาพเหตุการณ์นี้กระตุ้นเขาอย่างรุนแรง ชนพื้นเมืองกินคน เรื่องนี้เขาเคยได้ยินมาก่อน แต่เพิ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก

“ตายไปก็ไม่เสียดาย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันพูด ก่อนหน้านี้เพราะยารวมวิญญาณเขายังรู้สึกสงสารอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่โหดร้ายเหล่านี้ ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองไปยังแดนทุรกันดารก็เผยให้เห็นความเย็นเยียบ

เขาใคร่ครวญอยู่แค่ครู่เดียวก็หมุนกายขวับลงจากกำแพงเมือง กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวห้อทะยานกลางอากาศไปยังนครหลักด้วยความเร็วเต็มกำลัง พริบตาเดียวก็ห่างจากสนามรบมาถึงหอกงเจี่ยของเขา

ไม่นานก็เยื้องกรายมาถึง ในหอกงเจี่ยมีเตาหลอมยาจำนวนมากวางล้อมกันอยู่เป็นชั้นๆ ตรงกลางสุดคือเตาหลอมยาใหญ่ยักษ์ขนาดร้อยจั้งสิบใบ เวลานี้ถึงแม้ว่าจะไม่มีนักพรตก่อกำเนิดคอยควบคุม แต่กลับยังคงเป็นสีแดงฉาน ปลดปล่อยอุณหภูมิร้อนสูง บิดเบือนความว่างเปล่า

สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนมาตกอยู่บนเตาหลอมยาใหญ่ยักษ์ร้อยจั้งสิบเตาพอดี หลังจากมองไปเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วสะบัดปลายแขนเสื้ออย่างแรง ทันใดเตาทั้งสิบใบที่ส่งเสียงอึกทึกดังสนั่นก็พากันลอยขึ้นกลางอากาศมาห้อมล้อมอยู่รอบกายเขา

มือทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนทำมุทราก่อนจะซัดตราประทับออกไปหลายที อีกทั้งเขายังดึงเอาปราณวิถีฟ้าในยาอายุวัฒนะออกมาอีกหลายเส้นผสานใส่เข้าไปในเตาหลอมยา ทำให้ในเตาหลอมยามีเสียงครืนๆ ดังออกมา

แม้ว่าเตาหลอมยาขนาดใหญ่ยักษ์ร้อยจั้งยังไม่ถึงเวลาที่จะพังทลายอย่างแท้จริง แต่อย่างไรซะป๋ายเสี่ยวฉุนก็คืออาจารย์โอสถ แน่นอนว่าเขาย่อมมีวิธีการทำให้เตาหลอมยานี้ระเบิดก่อนกำหนด การที่ใช้พลังภายนอกของตราประทับมุทราก็แค่ทำให้ฤทธิ์ยาภายในไม่มั่นคงอย่างถึงที่สุดเท่านั้น

แม้ว่าพลานุภาพจะน้อยลงกว่าเดิม แต่อย่างไรซะเตาหลอมยาร้อยจั้งสิบกว่าใบนี้ก็หลอมมาหลายวันแล้ว ต่อให้ถูกลดทอนกำลังลงก็ไม่มากเท่าไหร่นัก หลังจากทำตราประทับเรียบร้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดร่างพาเตาหลอมยาใหญ่ร้อยจั้งทั้งสิบใบกลับไปยังกำแพงเมือง!

เมื่อเขากลับมา ไม่ว่าจะเป็นนักพรตของกองทัพใหญ่ทั้งห้าหรือว่าชนพื้นเมืองของแดนทุรกันดารก็มีคนไม่น้อยมองไกลๆ มาเห็น นั่นเป็นเพราะว่าเตาหลอมยาร้อยจั้งทั้งสิบใบนี้ใหญ่เกินไป ทั้งยังเป็นสีแดงสว่างโร่ คลื่นเคลื่อนไหวที่ไม่มั่นคงรวมไปถึงเสียงตูมตามที่ดังออกมาจากภายในจึงทำให้สะดุดตาอย่างถึงที่สุด

“นั่นคือ…”

“เตาหลอมยาของปรมาจารย์ป๋าย!!” นักพรตของกองทัพใหญ่ทั้งห้าต่างเผยความฮึกเหิมออกมา ดวงตาฉายความคาดหวังรุนแรงอย่างถึงที่สุด

แม่ทัพของกองทัพทั้งห้าที่กำลังประมือกับดวงวิญญาณของอาจารย์หลอมวิญญาณก็พากันหันมามอง โดยเฉพาะป๋ายหลิน เขาสูดลมหายใจเข้าลึก มองเตาหลอมยาทั้งสิบด้วยความคาดหวังที่ดุเดือดกว่าผู้ใด

ดวงวิญญาณของอาจารย์หลอมวิญญาณที่อยู่รอบด้านพากันหน้าเปลี่ยนสี ขนาดชนพื้นเมืองที่มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้จากในแดนทุรกันดารก็ยังพากันสูดลมหายใจและร้องอุทานด้วยความตะลึง

ยิ่งหัวหน้าใหญ่ของชนเผ่าเหล่านั้นที่อยู่ห่างออกไปไกลก็ยิ่งพากันเบิกตากว้าง เผยความตะลึงพรึงเพริด

“นี่…ใหญ่ขนาดนี้เชียว!!”

“สวรรค์…”

ยังไม่ทันรอให้พวกเขาคืนสติกลับมาจากความตกใจนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็บินออกจากกำแพงเมือง คำรามกร้าวเสียงดังก่อนจะขว้างเตาหลอมยาร้อยจั้งทั้งสิบใบที่เหมือนดวงอาทิตย์ร้อนแผดเผาสิบดวงออกไป ก่อเกิดเป็นเสียงแหวกอากาศแหลมดัง ตรงดิ่งเข้าโจมตีใส่พวกชนเผ่าพื้นเมืองหลายแสนคนที่อยู่บนพื้นดิน!

วินาทีนี้สนามรบคล้ายจะเงียบสงัดลงไป สายตาของคนทั้งหมดบัดนี้ล้วนมาตกอยู่บนเตาหลอมยามหึมาสิบใบราวพระอาทิตย์สิบดวงนั้น…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version