บทที่ 53 กล้าหาญ!
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าซีดเผือด สะท้านสะเทือนไปยันก้นบึ้งของหัวใจ ความรู้สึกอันตรายที่ส่งผ่านไปตลอดทั้งร่างทำให้เขาอกสั่นขวัญหาย ความรู้สึกที่ว่าอาจตายได้ทุกเมื่อก็ยิ่งทำให้ตัวเขาสั่นไม่หยุด
เขาไม่เคยกลัวมากขนาดนี้มาก่อน ต่อให้เป็นตอนจุดธูปอยู่ในหมู่บ้านแล้วได้ยินเสียงฟ้าผ่า หรือตอนที่ถูกหลี่ชิงโหวพาเข้าไปในหุบเขาหมื่นอสรพิษ หรือจะเป็นตอนที่พบเจอสิ่งมีชีวิตแกร่งกร้าวแต่ละประเภทตลอดทางที่ผ่านมานี้ก็ตาม
ช่วงเวลาเหล่านี้ แม้ว่าเขาจะตื่นเต้น แต่กลับรู้ว่าตนเอง…ไม่ถึงขั้นตาย!
แต่ตอนนี้ เขารู้แน่ชัดอยู่แก่ใจว่าตัวเอง…จะตายเอาจริงๆ !
เวลานี้ขณะที่กำลังห้อตะบึง พลันเขาก็รู้สึกว่าข้างกายไม่มีคนแล้ว หลังจากอึ้งไปเล็กน้อยก็รีบหันกลับไปมอง มองปราดเดียวก็เห็นว่าห่างออกไปหลายร้อยจั้ง ตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยกำลังถูกคนเจ็ดคนของตระกูลลั่วเฉินโอบล้อมเข้าโจมตี
และก็มองเห็นเลือดสดที่ตู้หลิงเฟยกระอักออกมา ไม่ว่าใครก็ล้วนมองออกว่าตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยคงจะยืนหยัดอยู่ได้อีกไม่นาน สามารถถูกฆ่าตาย กายและจิตสูญสลายกลายเป็นเถ้าถ่านได้ทุกเมื่อ
ร่างป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักกึก ยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อมองเห็นภาพนี้ ร่างของเขาก็ยิ่งสั่นไหวรุนแรง ดวงตาทั้งคู่ของเขาค่อยๆ เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขาสัมผัสได้อย่างเด่นชัดว่าร่างกายของตนเอง จิตวิญญาณของตนเอง ต่างล้วนกำลังตะโกนก้องบอกให้ตนเองใช้พลังทั้งหมดที่มีหนีไปให้ได้
อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนก็มั่นใจอย่างยิ่งว่า ด้วยความเร็วของตนเอง และมีตู้หลิงเฟยกับโหวอวิ๋นเฟยช่วยสกัดกั้นให้แบบนี้ เป็นไปได้มากที่เขาจะ…หนีรอดออกไปได้!
เมื่อหนีออกไปได้ ก็จะมีชีวิต สามารถบำเพ็ญเพียรต่อไป สามารถเสาะแสวงหาสิ่งที่เขาต้องการ เป็นอมตะไม่มีวันตาย อีกทั้งสำนักก็ไม่เพียงแต่จะไม่ลงโทษเขา กลับกันยังจะให้รางวัลแก่เขาด้วย
แต่…หากเขาหนีไปทั้งแบบนี้ หากต้องมองตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยตายไปกับตาของตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เขารู้สึกเหมือนว่าตอนนี้ร่างกายแบ่งจิตสำนึกออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกให้เขารีบหนีไป มิเช่นนั้นต้องตายแน่ๆ อีกฝ่ายหนึ่งกลับบอกเขาว่า หากทิ้งสหายร่วมสำนักหนีเอาตัวรอด ชีวิตนี้ของเขาป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่มีทางสงบจิตสงบใจอยู่อย่างเป็นสุขได้อีก!
ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจถี่กระชั้น เปล่งเสียงคำรามต่ำไร้ความหมายออกมา เส้นเอ็นสีเขียวบนหน้าผากของเขาปูดโปน ร่างกายเขาสั่นเหมือนตะแกงร่อน เวลานี้เขาไม่คิดอะไรมากมาย และก็ไม่อาจพิจารณาถึงผลลัพธ์อะไรได้อีก เขากำหมัดแน่น รู้เพียงอย่างเดียวว่า…
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแม้จะกลัวตาย แต่ข้า…จะหนีไปแบบนี้ไม่ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนทุบอกแรงๆ หนึ่งที ดวงตาแดงฉานไปด้วยเส้นเลือดฝอย เงยหน้าเปล่งเสียงคำรามดุจเสียงฟ้าผ่า ทั้งร่างถลาพุ่งออกไป ทะยานเข้าหา…จุดที่ตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยยืนอยู่!
ความเร็วของเขาเร็วเกินไป ก่อให้เกิดเสียงลมคำรามหวีดหวิวดังไปทั่วสี่ทิศ โหวอวิ๋นเฟยตัวสั่น เขามองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว สีหน้าแยกไม่ออกว่าเป็นแบบใด ทั้งตกตะลึง ทั้งดีใจ พลันเขาก็หัวเราะขึ้นมา นัยน์ตาเผยแววเด็ดเดี่ยว ไม่ตั้งรับอีกต่อไป แต่ใช้พลังทั้งหมดที่มีพุ่งเข้าหาคนของตระกูลลั่วเฉิน
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ตู้หลิงเฟยที่เกือบโดนดาบหนึ่งแทงทะลุร่าง ถูกคมมีดฟาดฟันจนบาดแผลมีเลือดสดไหลทะลักก็ได้ยินเสียงนี้เช่นกัน ขณะที่เงยหน้าขึ้นมอง นางมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่พุ่งทะยานกลับมาอย่างบ้าคลั่งด้วยดวงตาแดงก่ำ
ร่างทั้งร่างของตู้หลิงเฟยประหนึ่งโดนฟ้าผ่า นางยืนบื้ออยู่ตรงนั้น หยาดน้ำตาไหลรินลงมาอย่างหยุดไม่อยู่ นางไม่รู้ว่ายามนี้อารมณ์ตนเองเป็นเช่นไร มีทั้งซาบซึ้งใจ มีทั้งตื่นเต้น และมีทั้งตกตะลึง
นางรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวตาย แต่ในเวลานี้เมื่อนางเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนบุกเข้ามา มองดวงตาทั้งคู่ที่แดงฉานและร่างกายที่สั่นสะท้านของเขา นางคิดไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายต้องใช้ความกล้าหาญมากเพียงใด ถึงสามารถ…ไม่หนีเอาตัวเองรอด และเลือกที่จะย้อนกลับมา
“รีบหนีไปสิ ไอ้เจ้าโง่ หนีไป อย่ากลับมาตาย!” ตู้หลิงเฟยน้ำตาไหล ตะโกนเสียงดังใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ทันระวังฝ่ามือของลูกศิษย์รวมลมปราณขั้นหกคนหนึ่งของตระกูลลั่วเฉินที่ตกกระทบลงมา
เสียงพลั่กดังหนึ่งที ตู้หลิงเฟยกระอักเลือด เบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว ร่างกระเด็นขึ้น กระบี่บินเล่มหนึ่งที่ห่างออกไปไม่ไกล เวลานี้กำลังอยู่ภายใต้การควบคุมของคนตระกูลลั่วเฉินอีกคน มันคำรามดิ่งเข้าหาส่วนหัวของตู้หลิงเฟย
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นภาพนี้ เขาตะเบ็งเสียงดุเดือดยิ่งกว่าเดิมออกมา ความเร็วของร่างกายที่เดิมทีก็เร็วอย่างสุดๆ อยู่แล้ว เวลานี้ระเบิดความเร็วขึ้นมาอีกครั้ง เสียงตู้มดังขึ้นหนึ่งที ร่างทั้งร่างราวกับถูกกระชากให้กระโดดตัดผ่านกลางอากาศ ด้วยแรงจู่โจมมหาศาล พาให้ร่างกายผอมบางกลายเป็นรุ้งยาวหนึ่งเส้น เคลื่อนเข้าใกล้ในพริบตา ชั่วขณะที่กระบินเล่มนั้นเข้าใกล้ตู้หลิงเฟย เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายตู้หลิงเฟย โอบกอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมอก หลังจากหมุนตัวตวัดหลบไปหนึ่งรอบ มือขวาก็ยกขึ้นกำหมัด ต่อยกระแทกกระบี่บินเล่มนั้นกลับไป
เสียงตู้มดังหนึ่งครั้ง กระบี่บินสั่นไหว บินกระเด็นไปด้วยหมัดนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน
ภาพนี้ทำให้ทุกคนของตระกูลลั่วเฉินอึ้งค้าง ดวงตาเฉินเยว่เปล่งแสงวาบ เผยความตื่นตะลึง แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความเย็นเยียบของไอสังหารอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหมอนี่ช่างซ่อนฝีมือไว้ได้ลึกล้ำนักนะ ตอนอยู่ในค่ายกลนรกภูมิ ข้าควรจะสังเกตเห็นเจ้าแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องสนใจสองคนนั้น ฆ่าเขาซะ!” คำพูดนี้ของเขาพอเปล่งออกไป คนของตระกูลลั่วเฉินที่อยู่รอบด้าน แต่ละคนแววตาเผยไอสังหารตลบอบอวล พุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนในพริบตาเดียว
ตู้หลิงเฟยที่อยู่ในอ้อมกอดของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้ยืนเหม่ออึ้งงัน ยังไม่ทันที่นางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนวางไว้ด้านข้างแล้ว เขาสะบัดร่างหนึ่งที ตรงดิ่งเข้าหาคนของตระกูลลั่วเฉินที่ใกล้เข้ามา
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นสีแดงราวกับสีเลือด ในเวลานี้เขาลืมเลือนความตายไปนานแล้ว ลืมสิ้นทุกสิ่ง ในสมองของเขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ช่วยโหวอวิ๋นเฟย ช่วยตู้หลิงเฟย ฆ่าทุกคนที่อยู่ข้างหน้าให้หมด!
ด้วยความรวดเร็วของเขา พริบตาเดียวก็เคลื่อนเข้าใกล้คนตระกูลลั่วเฉินคนหนึ่งที่มีตบะการรวมลมปราณขั้นหก ขณะที่คนผู้นี้ทำมุทรา เหล็กหมาดเล็กอันหนึ่งเปล่งแสงสว่างโชติช่วง พุ่งดิ่งเข้ากระแทกป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรุนแรง
“ไสหัวไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนดังลั่น มือขวาพลันยกขึ้นโบกกวาดไปด้านหน้าอย่างรุนแรง เสียงอู้ดังขึ้น เหล็กหมาดเล็กชิ้นนั้นพลันสั่นไหว ขณะที่กระทบกับฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุน แสงสว่างโชติช่วงก็แตกสลายออกเป็นจุณทันทีด้วยฝ่ามือเดียว
คนของตระกูลที่มีพลังรวมลมปราณขั้นหกผู้นั้นมองเห็นภาพนี้เข้าก็สูดลมหายใจเฮือก สีหน้าหวาดผวา ขณะที่กำลังจะถอยหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันยกมือขวาขึ้นทำมุทรา ทันใดนั้นกระบี่ไม้ของเขาก็บินฉิวออกมา รวดเร็วประดุจสายฟ้า ปรากฏพรวดอยู่ด้านหน้าผู้มีพลังรวมลมปราณขั้นหก ชั่วลมหายใจที่เขาไม่อาจหลบเลี่ยงได้ หรือถึงขั้นไม่ทันได้ตั้งตัวนั้น มันก็ปักแทงเข้าไปตรงกลางหว่างคิ้วของเขา
เสียงโหยหวนดังลอยมา กระบี่ไม้แทงทะลุผ่านพร้อมเลือดสดสาดกระจาย ขณะที่เลี้ยวกลับกลางอากาศหนึ่งครั้ง ก็พุ่งเข้าหาอีกคนหนึ่งทันควัน
เวลาเดียวกันนั้นเอง เงาร่างของผู้ที่มีลมปราณขั้นเจ็ดคนหนึ่งสะบัดวูบ เมื่อทำมุทรารอบด้านก็ปรากฏไอหมอกจำนวนมาก หลังจากกลายร่างเป็นหมอกคนขนาดมหึมาโอบล้อมร่างกายของคนผู้นี้เอาไว้แล้ว ก็พุ่งตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะที่กำลังจะลอบโจมตี ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหว แต่มือซ้ายกลับยื่นพรวดออกมา นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเขามีแสงสีดำกะพริบวาบ เขาไม่สนใจไอหมอกที่ให้การคุ้มกัน ยื่นมือแหวกทะลุเข้าไปในไอหมอกตรงๆ
ตรวนสลายลำคอ!
เสียงเปรี๊ยะดังลั่นหนึ่งครั้ง ไอหมอกที่โอบล้อมนอกกายผู้มีลมปราณขั้นเจ็ดผู้นี้สลายหายไป เขาเบิกตากว้าง มองมือที่คว้าจับลำคอตัวเองเอาไว้ พริบตานั้นลำคอของเขาก็แตกหักทันที
ทั้งหมดนี้รวดเร็วเกินไป นับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบุกเข้ามาจนถึงตอนนี้ ก็แค่เวลาไม่กี่ชั่วลมหายใจเท่านั้น คนสองคนของตระกูลลั่วเฉินกลับถูกเขาฆ่าตายไปแล้ว!
ตู้หลิงเฟยตะลึงงันอย่างถึงที่สุดแล้ว นางมองป๋ายเสี่ยวฉุนคนข้างหน้าที่แตกต่างไปจากคนในความทรงจำโดยสิ้นเชิง ลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นมา ยากที่จะเชื่อว่านี่คือป๋ายเสี่ยวฉุนผู้กลัวตายคนนั้น
และในเวลานี้เอง คนอื่นๆ ของตระกูลลั่วเฉินในที่สุดก็พุ่งเข้ามาจู่โจมพร้อมกัน ในใจของคนพวกนี้ล้วนตกตะลึง เวลานี้จึงงัดเอาท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาใช้ พริบตาเดียวเสียงคำรามของกระบี่บินหนึ่งเล่ม ไข่มุกหนึ่งเม็ด และกระถางเล็กอีกหนึ่งใบก็พร้อมใจกันบินเข้ากระแทกป๋ายเสี่ยวฉุน
ร่วมมือพร้อมกันถึงสามคน!
ในสามคนนี้ สองคนมีพลังรวมลมปราณขั้นหก หนึ่งคนมีพลังรวมลมปราณขั้นเจ็ด ลงมือครานี้โหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุด ทุ่มหมดหน้าตัก ถือโอกาสที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจหลบเลี่ยง พุ่งพรวดเข้าเข่นฆ่า
นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายสีเลือด ชั่วพริบตาที่สามคนนี้เข้ามาใกล้ ชั่วขณะที่อาวุธของพวกเขาพุ่งเข้าหา เขาพลันหดตัวเข้าหากันเป็นก้อนกลมหนึ่งลูก หม้อสีดำใบใหญ่ที่แบกไว้ข้างหลังซึ่งตู้หลิงเฟยหัวเราะเยาะมาตลอดทาง เวลานี้ช่วยปกคลุมร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนให้อยู่ภายใน
เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังลอยมา กระถางเล็กที่เป็นอาวุธของผู้มีพลังรวมลมปราณขั้นเจ็ดตรงเข้ากระแทกบนหม้อสีดำใบใหญ่ หม้อสีดำใบใหญ่นี้สั่นไหว ปรากฏรอยแตกร้าวจำนวนไม่ถ้วน แต่กลับไม่พังทลาย สกัดกั้นกระถางเล็กเอาไว้ได้
ที่ตามมาติดๆ คือไข่มุกเม็ดนั้นซึ่งพุ่งเข้าใกล้ มันกระแทกลงไปอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงดังสนั่น หม้อดำใบใหญ่ไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้อีก มันระเบิดออกทันที กลายเป็นเศษสีดำชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน ขณะที่มันกระเด็นไปทั่วทิศ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านในก็พุ่งออกมา ตรงเข้ากระแทกคนที่มีพลังรวมลมปราณขั้นเจ็ดผู้นั้น
คนในตระกูลที่มีพลังรวมลมปราณขั้นเจ็ดผู้นั้นคือชายวัยกลางคน เวลานี้หน้าของเขาเปลี่ยนสี คิดจะถอยหลังแต่กลับช้าไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนรวดเร็วเกินไป ร่างทั้งร่างคำรามเข้าหา กระแทกเข้าที่ตัวของชายวัยกลางคนเต็มๆ
แม้แต่พลังคุ้มกันตลอดร่างของชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ยังมิอาจสกัดกั้นได้ พลังทั้งหมดแหลกสลาย เสียงกระดูกแตกลั่นเปรี๊ยะๆ ออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าจับเข้าที่ร่างของชายวัยกลางคน ใช้หัวของตัวเองกระแทกเข้าไปแรงๆ อีก
ตู้ม ตู้ม ตู้ม
“ไม่!!” ชายวัยกลางคนกระอักเลือด นัยน์ตาสิ้นหวัง มิอาจสลัดหลุด
ยามนี้คนของตระกูลผู้มีพลังรวมลมปราณขั้นหกสองคนซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นภาพนี้ก็พากันผวาเฮือก คนหนึ่งพยายามควบคุมกระบี่บินให้คำรามพุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งๆ ที่ตัวสั่นสะท้าน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเลือดเข้าตา ไม่สนใจกระบี่บินนั่นสักนิด พุ่งชนอีกครั้ง
จนกระทั่งกระบี่บินนั้นเข้ามาใกล้ แทงสวบลงบนร่างของเขา แต่ภาพที่สร้างความตกตะลึงก็ปรากฏขึ้น กระบี่เล่มนี้มิอาจแทงทะลุเข้าไปได้ แม้แต่ผิวก็ยังไม่ระคายเคือง กลับกันยังถูกดีดออกมาด้วย
ในเวลาเดียวกันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามลั่นหนึ่งครั้ง ท่ามกลางการกระแทกที่รุนแรง ชายวัยกลางคนที่ถูกเขาจับไว้นั้นเปล่งเสียงร้องโหยหวน ขาดใจตายทันที
คนของตระกูลซึ่งมีพลังรวมลมปราณขั้นหกสองคนที่อยู่ใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน ในเวลานี้มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดวงตาแดงก่ำดุจสัตว์ร้าย ผมเผ้าหยุงเหยิง ก็พากันขนหัวลุก เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมองมายังพวกเขาสองคน ทั้งสองคนนี้จึงถอยหลังกรูดโดยไม่ลังเล
เฉินเยว่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเห็นภาพนี้ก็ยิ่งสะท้านสะเทือน ในสมองมีคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ แทบไม่อยากเชื่อสายตา
———