Skip to content

A Will Eternal 545

บทที่ 545 นายท่านนามว่าโจวอีซิง

ในช่องทาง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กําลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกลางลานกว้างหลังจากที่ตนจากมา เขาเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกมาให้ห่างไกลอย่างเดียว จนกระทั่งหลังจากที่กลิ่นหอมหวานนั้นหายไปหมดแล้ว เขาถึงได้มองประเมินไปรอบด้านด้วยอาการขวัญกระเจิง

เมื่อแน่ใจแล้วว่าตําแหน่งที่ตัวเองอยู่ตอนนี้น่าจะห่างจากลานกว้างแห่งนั้นมาไกลมากแล้ว เขาก็โยนจ้าวหลงและเสินซ่วนจื่อไว้บนพื้น เวลานี้คนทั้งสองต่างก็หมดสติ เสินซ่วนจื่อยังถือว่าดีหน่อย ทว่าจ้าวหลงกลับมีชิ้นเนื้อและเลือดเปรอะอยู่เต็มปาก

ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบหยิบเอายาออกมาป้อนให้คนทั้งสองทันที ก่อนจะตบลงไปบนศีรษะของพวกเขาคนละครั้ง ทั้งสองคนร่างสั่นสะท้าน หลังจากลืมตาขึ้นช้าๆ ก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่สวมหน้ากากด้วยสีหน้างงงันเล็กน้อย ก่อนจะมองไปรอบด้าน ยังตั้งสติไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่พวกเขากลับนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนลานกว้างได้ทันที

เมื่อภาพทั้งหมดนั้นลอยขึ้นมาในสมองของพวกเขา คนทั้งสองก็หน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะโก่งตัวอาเจียนหมดไส้หมดพุง โดยเฉพาะจ้าวหลงที่ถึงกับนอนพังพาบสํารอกจนตัวงอ

“ขอบคุณสหายนักพรตที่ช่วยชีวิต!!” เสินซ่วนจื่อมีสีหน้าซาบซึ้งใจ คํานับตํ่าๆ ให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อเขานึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็ยังหวาดผวาไม่คลาย เรื่องพวกนั้นน่ากลัวเกินไป หากไม่ได้คนที่อยู่เบื้องหน้าเขาผู้นี้ให้การช่วยเหลือ เกรงว่าหากตนไม่กินตัวเองก็คงถูกคนอื่นกินไปแล้ว

พอคิดเช่นนี้ร่างของเขาจึงสั่นเทิ้มไม่หยุด ยิ่งหวาดกลัวหนักเข้าไปใหญ่ จ้าวหลงเองก็ฝืนระงับอาการคลื่นเหียน ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็ประสานมือคารวะเช่นกัน แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในสายตาเขาจะเป็นผู้ฝึกวิญญาณ แต่บัดนี้เขาก็ยังรู้สึกซาบซึ้งด้วยความสัตย์จริง

“ที่นี่อันตราย พวกเจ้า…ระวังตัวด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย นับตั้งแต่ที่เหยียบเข้ามาในเขาวงกตแห่งนี้เขาไม่เพียงแต่ต้องต่อสู้กับคนอื่น นี่ยังต้องช่วงชิงเอาชีวิตรอดมาจากนํ้ามือของบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดกลัวอีกด้วย นั่นจึงทําให้เขาเหนื่อยล้าไปทั้งกายและใจ ไม่ว่าจะเป็นหมวกสีแดงหรือว่าหมั่นโถวเลือด ทั้งหมดนี้ล้วนทําให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตนเองได้รับการคุกคามที่ร้ายแรงต่อชีวิต ยามนี้พอถอนหายใจหนึ่งครั้งและมอบยากับยันต์บางส่วนให้แก่เสินซ่วนจื่อและจ้าวหลงแล้ว เขาก็จากไปเพียงลําพัง

เขาไม่สามารถพาคนทั้งสองไปด้วยกันได้ เพราะหากตัวตนของเขาถูกเปิดเผยขึ้นมา คนทั้งสองจะยิ่งเสี่ยงอันตรายมากกว่าเดิม อีกอย่างในสถานที่บ้าบอแห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าหากตนเดินทางอยู่เพียงลําพัง อัตรารอดชีวิตน่าจะมีสูงกว่า

หลังจากเขารีบร้อนจากไป จ้าวหลงและเสินซ่วนจื่อมองหน้ากันด้วยอาการเงียบงัน คนทั้งสองมองยาและยันต์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบให้ด้วยอาการครุ่นคิด ผ่านไปพักใหญ่ก็มองหน้ากันอีกครั้ง เริ่มสนทนากันท่ามกลางความขมขื่น ก่อนจะเลือกจับคู่จากไปพร้อมกัน

เวลาผ่านไปอีกหลายวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในเขาวงกตยิ่งระมัดระวังมากกว่าเดิม หลังจากที่เขาออกมาจากลานกว้างแห่งนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตระหนักได้ว่า ตน…หลงทางอีกแล้ว

เขาได้แต่กัดฟันกรอดแล้วเลือกใช้วิธีการดังก่อนหน้านี้โดยการคลําทางไปใหม่ แต่ไม่นานความหวาดกลัวของเขาก็เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน เพราะเขาพบว่าในเขาวงกตแห่งนี้ เขาไม่ได้เจอใครแม้แต่คนเดียว…มาสองวันแล้ว

ตลอดทั้งเขาวงกตเงียบสงัด…ต่อให้เป็นซากศพเขาก็ยังไม่เจอแม้แต่ศพเดียว นี่จึงทําให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนที่หดเกร็งเป็นทุนเดิมรัดตัวเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเก่า

“ผิดปกติ หรือว่าคนแสนกว่าคนจะตายกันหมดแล้ว?” คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สําลักลมหายใจ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงจุดไหนของเขาวงกต หาทางออกไม่เจอ เขายังถึงขั้นรู้สึกด้วยว่าเหมือนตัวเองจะเดินวนอ้อมไปอ้อมมา…อีกทั้งเขายังไม่สามารถทิ้งสัญลักษณ์ใดๆ เอาไว้หรือหาวัตถุบอกพิกัดมาวิเคราะห์ตําแหน่งของตัวเองได้แม้แต่น้อย ในใจร้อนรน แถมดันไม่เจอคนอื่นๆ อีก

ความรู้สึกที่เหมือนว่าในเขาวงกตนี้เหลือเพียงตนแค่คนเดียวทําให้หัวใจเขาเต้นกระหนํ่ารัวเร็ว ส่วนเรื่องจะใช้หน้ากากมาเปลี่ยนลักษณะหน้าตาของตัวเอง ยามนี้เขาก็ไม่มีอารมณ์จะมาสนใจอีกแล้ว

ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้นเพิ่มความเร็วของตัวเองทําให้เดินออกไปได้ไกลมากขึ้น แต่เขาก็ยังไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว นี่จึงทําให้เขายิ่งหวาดกลัว

“เจ้าเฉินเห้อเทียนสมควรตาย ข้าสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ให้แก่กําแพงเมือง แต่เจ้ากลับเล่นงานข้า!!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงตัวการที่ทําให้ตนต้องมาอยู่ที่นี่ เขาก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

และขณะที่ในใจของเขากําลังคับแค้น ทันใดนั้นเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเสียงห้อทะยานเป็นระลอกดังลอยมาราวกับว่ากําลังมีคนพุ่งมาข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว เสียงนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ยินมาหลายวันแล้ว พออยู่ๆ มาได้ยินเช่นนี้ นอกจากจะตกใจแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยังรู้สึกดีใจด้วย

แต่ไม่นานเขาก็เริ่มระแวดระวัง รีบถอยหลังออกไป นัยน์ตาจ้องเขม็งไปยังหัวเลี้ยวของปลายทางที่อยู่เบื้องหน้า เวลาเดียวกันนั้น เสียงห้อทะยานเบื้องหน้าก็พลันเงียบหายไปราวกับว่าอีกฝ่ายเองก็สัมผัสได้ว่าตรงนี้มีคนอยู่

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าที่อยู่ตรงหัวมุมนั้นเป็นคนหรือว่าผี ส่วนอีกฝ่ายก็คล้ายจะไม่รู้เหมือนกันว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือสิ่งใดกันแน่…ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเงียบกันไป ความรู้สึกกดดันและตึงเครียดจึงค่อยๆ อบอวลขึ้นมา

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงน้อยๆ สูดลมหายใจเข้าเบาๆ เมื่อยกมือขวาขึ้นกระบี่บินเล่มหนึ่งก็ปรากฏอยู่กลางฝ่ามือของเขา ก่อนจะถูกเขาขว้างออกไปอย่างแรง ใช้พลังแห่งการควบคุมบังคับทิศทางให้มันบินไปยังหัวมุม ทว่าวินาทีที่กระบี่บินนี้ปรากฏออกมา ทันใดนั้นตรงหัวเลี้ยวก็มีแสงสีดําเส้นหนึ่งแหวกอากาศออกมาเหมือนกัน

ในแสงสีดํานั้นคือลูกธนูวิญญาณดอกหนึ่ง ลูกธนูนี้ชนเข้ากับกระบี่บินของป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงเพล้งดังสนั่นหวั่นไหว กระบี่บินของป๋ายเสี่ยวฉุนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มิอาจสกัดกั้นลูกธนูวิญญาณดอกนั้นไว้ได้ มันจึงบินพรวดมาอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา ขณะที่กําลังจะเข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โบกมือขวาหนึ่งครั้ง กระถางมายาใบใหญ่จําแลงขึ้นกลางอากาศแล้วสกัดกั้นเอาไว้ได้ เสียงกัมปนาทดังก้อง ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยิ้มออก

“ที่แท้ก็เจ้านี้เอง! ต้าซิงซิง!!” (大猩猩 ต้าซิงซิงแปลว่าลิงกอริลา) วินาทีที่มองเห็นลูกธนูวิญญาณดอกนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จํามันได้ทันที ไพล่นึกไปถึงธนูคันนั้น นึกถึงโจวอีซิง! เขาไม่รู้ชื่อของโจวอีซิง แต่จําได้แม่นว่าคนผู้นี้มีรอยแผลเป็นรูปดวงดาวอยู่เหนือหว่างคิ้ว ดังนั้นเขาเลยถือโอกาสตั้งชื่อใหม่ให้อีกฝ่ายเสียเลย

พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคน ไม่ใช่เจ้าพวกตัวประหลาดเหล่านั้น อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระปรี้กระเปร่า พุ่งถลาออกไปยังหัวเลี้ยว แทบจะเวลาเดียวกันกับที่เขาพุ่งตัวออกมา โจวอีซิงเองก็เดินออกมาจากตรงหัวโค้ง พอหันมาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน หนังหน้าของเขาก็กระตุกยิกๆ

หลายวันมานี้เขาเจอกับเรื่องพิลึกพิสดารจนอกสั่นขวัญหายอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะพูดว่าเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็ไม่เกินไปนัก หากไม่เป็นเพราะรอยดวงดาวกลางหว่างคิ้ว เกรงว่าเขาก็คงตายอยู่ในนี้ไปนานแล้ว

ตอนนี้แม้จะหนีออกมาได้ แต่สภาพกลับกระเซอะกระเซิงถึงขีดสุด ไม่พูดถึงผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ของที่อยู่ในถุงเก็บของก็ถูกใช้ไปแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน รอยบากรูปดวงดาวกลางหว่างคิ้วมืดสลัวจนแทบไม่มีแสง เกรงว่าหากใช้อีกแค่ไม่ก็ครั้งก็คงจะแตกดับ และหากมันแตกดับเมื่อใด คิดจะนาบประทับลงไปใหม่ก็จําเป็นต้องกลับไปที่ตระกูลแลนั่งคุกเข่าอยู่หน้าศาลบรรพชนนานถึงเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าปีถึงจะก่อตัวขึ้นมาใหม่ได้สําเร็จ

ในสายตาของเขา สาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุน…ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้เจอป๋ายเสี่ยวฉุน เขาใช้ชีวิตได้เป็นปกติดี แต่พอเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มดวงซวย แถมตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าตนที่ไม่ได้เห็นผู้เห็นคนมาหลายวัน กว่าจะได้มาเจอสักคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าคนที่เจอดันเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนเสียได้!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน! เจ้าน่ะสิที่เป็นลิง ทั้งตระกูลเจ้านั่นแหละเป็นลิง!” โจวอีซิงคํารามเดือดดาล เขาไม่สนแล้วว่าอีกฝ่ายจะใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนหรือไม่ แต่สรุปคือเขารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มากถึงแปดเก้าส่วนที่คนผู้นี้จะเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกระโจนเข้ามาหา โจวอีซิงก็รีบขึ้นสายธนูแล้วยิงสวบๆๆ …ลูกธนูวิญญาณเก้าดอกพุ่งออกจากสายตรงเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนติดต่อกัน

ทว่าวินาทีที่ลูกธนูวิญญาณเหล่านี้พุ่งเข้าหา ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับโบกมือพร้อมหัวเราะร่วน กางร่มราตรีนิรันดร์ออกทันใด ท่ามกลางเสียงดังอึกทึกก็สกัดกั้นลูกธนูวิญญาณทั้งเก้าดอกไว้ได้ และยังคงบินทะยานเข้าหาโจวอีซิงโดยไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นว่าบนร่มราตรีนิรันดร์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถืออยู่มือมีลายเส้นสีเงินเก้าเส้นที่เจิดจ้าบาดตา โจวอีซิงก็คลุ้มคลั่งไปทันที ดวงตาทั้งคู่แดงฉาน ร้องคํารามอย่างเกรี้ยวกราด เพราะเขาจําได้ว่าก่อนหน้านั้นร่มคันนี้แค่หลอมพลังจิตแปดครั้งเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับเป็นเก้าครั้งแล้ว…ไม่ต้องคิดให้ละเอียดเขาก็เดาได้ว่าที่เป็นเช่นนี้ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับไฟเก้าสีของตนอย่างแน่นอน

แล้วพอนึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนชิงเอาไฟเก้าสีของตนไปหลอมพลังจิตอย่างหน้าด้านๆ แถมยังหลอมสําเร็จในครั้งเดียว โชคดีแบบนี้ ความขับข้องใจเช่นนี้ จุดชนวนให้ไฟโทสะของโจวอีซิงท่วมท้นจุกอก

“ต้าซิงซิงเจ้าอย่าเพิ่งโกรธสิ งั้นเจ้าบอกข้ามาซิว่าเจ้าชื่ออะไร” หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกางร่มราตรีนิรันดร์เข้ามาใกล้ก็พลันหุบร่ม ทํามุทราโบกไปข้างหน้าหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นปราณความเย็นก็ระเบิดออกอย่างรวดเร็วแล้วก่อตัวกันขึ้นเป็นหนามนํ้าแข็งจํานวนนับไม่ถ้วนที่ตรงเข้าหาโจวอีซิง

หลังจากที่เจอโจวอีซิงเขาก็ดีใจมากจริงๆ เขาไม่ได้เจอใครมาหลายวันแล้ว ยามนี้ได้มาเจอคนคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่คิดจะเอาชีวิตอีกฝ่าย เขายังถึงขั้นเริ่มเสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่พาเสินซ่วนจื่อและจ้าวหลงมาด้วยกัน

“นายท่านของเจ้าชื่อโจวอีซิง!” โจวอีซิงคํารามเดือดดาล เมื่อเห็นว่าหนามนํ้าแข็งเข้ามาใกล้เขาก็ถอยหลังกรูด มือทั้งคู่ทํามุทรา ทันใดนั้นในร่างของเขาก็พลันมีวิญญาณพยาบาทเป็นกลุ่มๆ บินออกมา วิญญาณพยาบาทเหล่านี้รวมตัวกันเป็นตราอักขระอยู่กลางอากาศ ก่อนที่มันจะกลายมาเป็นเพลิงวิญญาณที่ตรงเข้าปะทะกับหนามนํ้าแข็งเหล่านั้น

เสียงกัมปนาทดังสะท้อน เสียงหนามนํ้าแข็งแตกลั่นเปรี๊ยะๆๆ ไฟกับนํ้าแข็งที่ปะทะกันกลายมาเป็นแรงโจมตี โจวอีซิงก้าวถอยออกไปอีกครั้ง เมื่อปล่อยสายธนู คราวนี้ก็มีลูกธนูพุ่งออกมารวดเดียวสิบแปดดอก!

“ตายซะเถอะ!!” ลูกธนูทั้งสิบแปดดอกนี้หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีร่มราตรีนิรันดร์ คิดจะรับมือด้วยนับเป็นเรื่องยากลําบากอย่างมาก เพราะอย่างไรซะธนูที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาเก้าครั้งก็เหมือนได้รับการปลุกเสกเพิ่มพลัง

“โจวอีซิง? (ซิงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดถึงคือซิง猩ที่แปลว่าลิงกอริลล่า แต่ซิง星ที่เป็นชื่อของโจวอีซิงนั้นแปลว่าดวงดาว) ฮ่าๆ เป็นต้าซิงซิงลิงตัวใหญ่จริงๆ ด้วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นว่าลูกธนูทั้งสิบแปดดอกเข้ามาใกล้ ร่มราตรีนิรันดร์ของเขาก็พลันกางพรึ่บ สกัดกั้นไว้ได้อีกครั้ง แล้วจึงกระตุ้นพลังไอความเย็นทั้งหมดออกมา เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง หนามนํ้าแข็งเหล่านั้นก็แผ่ขยายออกไปหาโจวอีซิงอย่างบ้าคลั่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะจับเป็นอีกฝ่าย แบบนี้ไม่เพียงแต่สามารถถามความลับบางอย่างเกี่ยวกับอาจารย์หลอมวิญญาณได้ ทั้งยังช่วยคลายความอึดอัดกลัดกลุ้ม แถมเมื่อถึงช่วงเวลาคับขัน ยังโยนอีกฝ่ายออกไปเป็นเหยื่อล่อได้อีกด้วย…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version