Skip to content

A Will Eternal 544

บทที่ 544 เซ่นไหว้เลือดเนื้อ

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดเผือด เรื่องแบบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตบะเท่าใดนัก ยิ่งเห็นว่าในบรรดาคนหลายร้อยคนนั้นมีนักพรตก่อกําเนิดอยู่ด้วยก็ยิ่งทําให้เขารู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิด

ทว่าขณะที่เขากําลังถอยหนีอย่างระมัดระวัง กลับต้องชะงักฝีเท้า จ้องเขม็งไปยังบรรดาเงาร่างที่อยู่ในกลุ่มคนหลายร้อยคนนั้น

“จ้าวหลง…เสินซ่วนจื่อ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ตกขึ้นมาโดยพลัน เขามองเห็นว่าในบรรดาหลายร้อยคนนั้นมีจ้าวหลงและเสินซ่วนจื่อรวมอยู่ด้วย พวกเขาสองคนก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่เวลานี้ต่างก็จ้องไปยังหมั่นโถวเลือดในถาดตาไม่กะพริบด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งและดุร้าย ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมความคิดที่เริ่มตีกันวุ่นวาย

“ไม่ว่าจะอย่างไรจ้าวหลงก็ติดตามข้ามาหลายปีแล้ว…แถมยังซื่อสัตย์ภักดีกับข้ามาก…ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ข้างนอกข้าก็เห็นว่าเขาอยากพุ่งตัวออกมาช่วยข้า…” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนหนักอึ้ง ความขัดแย้งในตัวเองทําให้ดวงตาของเขาค่อยๆ ปรากฏเส้นเลือดฝอย

“เสินซ่วนจื่อข้าก็คือคนที่เลือกให้เขามาเป็นผู้พิทักษ์ตอนเดินทางมายังสํานักอันตมรรคาฟ้าดารา…และก็ข้าอีกนั่นแหละที่รับเขาเข้ามาอยู่ในกองทัพ สามารถพูดได้ว่าที่เขาประสบเคราะห์ภัยครั้งนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับข้า…” ความลังเลตัดสินใจไม่ได้ของป๋ายเสี่ยวฉุนทําให้ลมหายใจของเขายุ่งเหยิงเล็กน้อย เส้นเลือดฝอยในดวงตายิ่งมีมาก แต่เขาก็กลัวเหมือนกันนี่นา…ระดับความหวาดกลัวที่เขามีต่อความตายนั้นเรียกได้ว่าไร้คําบรรยายเลยทีเดียว โดยเฉพาะเห็นได้ชัดว่าลานกว้างด้านหน้าเต็มไปด้วยความอันตรายอย่างน่าตกใจ หากเขาจากไปตั้งแต่ตอนนี้บางทีอาจจะยังพอหลีกเลี่ยงได้ แต่หากเขาทะเล่อทะล่าเหยียบเข้าไปในลานกว้าง เกรงว่าตัวเขาเองก็คงยากที่จะรอดพ้น

นี่จึงทําให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสองจิตสองใจไม่รู้ว่าควรทําเช่นไร ราวกับว่าตอนนี้มีคนสองคนอยู่ในร่างของเขา คนหนึ่งบอกว่าต้องไปช่วย ส่วนอีกคนกลับกรีดร้องบอกเขาว่าต้องไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด

ป๋ายเสี่ยวฉุนอดย้อนนึกไปถึงเมื่อครั้งอยู่ในเทือกเขาลั่วเฉินไม่ได้ แม้ว่าสถานการณ์จะแตกต่างกัน ทว่าสภาพการณ์ของเขากลับคล้ายคลึงกัน… และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกําลังคิดไม่ตก ทันใดนั้นเปลวเทียนของเทียนสองเล่มใหญ่ที่กําลังลุกไหม้อยู่กลางลานกว้างพลันสะบัดวูบ วินาทีที่มันส่ายไหว… คนหลายร้อยคนที่อยู่บนลานกว้างพลันร้องคํารามคลุ้มคลั่งแล้วกระโจนเข้าใส่หมั่นโถวเลือดที่อยู่บนลานราวกับคนสติแตก ประหนึ่งว่าในสายตาของพวกเขา นั่นไม่ใช่หมั่นโถวเลือด แต่เป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ที่อาจทําให้พวกเขาเป็นอมตะ ไม่ก็ตบะเพิ่มพูน หรืออะไรก็ตามที่สร้างผลประโยชน์ให้พวกเขาอย่างมหาศาล!

พริบตาเดียวคนหลายร้อยนี้ก็พุ่งตัวออกไปแย่งชิงหมั่นโถวเลือดกันราวกับเป็นบ้า พวกคนที่แย่งมาได้ พอหมั่นโถวเลือดตกอยู่ในมือก็รีบยัดมันเข้าปากตัวเองด้วยสีหน้าห้าวเหิมแล้วกัดกินไม่หยุดปาก ทั้งยังหัวเราะบ้าคลั่งไปด้วย

ส่วนพวกที่แย่งไม่ได้กลับเกิดไฟโทสะลุกโหม แถมยังถึงขั้นลงมือหมายแย่งชิงมา พริบตาเดียวบนลานกว้างนั้นก็พลันโกลาหลวุ่นวาย ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับตัวสั่นเทา นัยน์ตาเผยความตะลึงระคนหวาดผวา ขนลุกซู่ขึ้นมาทันควัน! เพราะภาพที่เขาเห็นกลับต่างไปจากพวกคนที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างสิ้นเชิง คนเหล่านั้นที่เขามองเห็นไม่ได้กําลังกินหมั่นโถวเลยแม้แต่น้อย หมั่นโถวเลือดพวกนั้น ตอนแรกเริ่มเขายังนึกว่ามันมีอยู่จริง ทว่าตอนที่คนหลายร้อยแย่งชิงกันกลับคว้าไว้ได้เพียงความว่างเปล่า

แต่พวกนักพรตที่คว้าจับอากาศกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย พวกเขานึกว่าตัวเองคว้าหมั่นโถวไว้ได้แล้วจึงกัดกินอย่างบ้าคลั่ง ทว่าในความเป็นจริงแล้วที่พวกเขากําลังกัดแทะอยู่นั้น…กลับเป็นมือของพวกเขาเอง!!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นคาตาว่ามือของพวกคนที่คิดว่าตัวเองคว้าหมั่นโถวเอาไว้ได้ถูกแทะจนแหลกละเอียด บางคนมือหายไปแล้วทั้งมือ เลือดสดๆ ท่วมทะลักเต็มปาก ทว่าสีหน้าของพวกเขากลับยังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความพึงพอใจที่แฝงเร้นไว้ด้วยความวิปลาส ยังคงกัดกินต่อไป และพวกที่กินเร็วหน่อยก็ถึงขั้นกินไปถึงข้อมือตัวเองแล้ว! ยังมีบางคนที่บ้าระหํ่ายิ่งกว่าถึงขนาดวางแขนของตัวเองไว้ในปากแล้วกัดกระชากอย่างบ้าคลั่ง…

พวกคนที่แย่งหมั่นโถวมาไม่ได้เวลานี้ก็ยิ่งเกรี้ยวกราด บางคนพยายามจะเข้าไปแย่งหมั่นโถวที่อยู่ในถาด แต่คนมากกว่านั้นกลับเลือกที่จะกระชากเอาแขนของคนอื่นมาครอง เกิดเป็นการฉีกทึ้งและเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด แถมบางคนยังถึงขั้นถูกโจมตีจนร่างแหลกลาญ เลือดเนื้อกระจายออกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่คนอื่นๆ จะกรูกันเข้าไปโอบล้อมแล้วกระโจนใส่เพื่อแย่งชิงเอาชิ้นเนื้อเหล่านั้นมากัดกิน

เวลาเดียวกันนั้น เมื่อแสงเทียนส่ายสะบัด เสียงผู้หญิงร้องเพลงที่ฟังแล้วพิลึกพิลั่นก็ดังตามมา

“กินเข้าเถอะ กินเข้าไป…อร่อยมากเลยใช่ไหมเล่า…” ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทําให้ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับมีฟ้าผ่า เขาตัวสั่นอย่างมิอาจควบคุมได้ ทุกอย่างที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าไม่ต่างอะไรไปจากโศกนาฏกรรมในโลกมนุษย์!!

จนกระทั่งเขามองเห็นว่าเสินซ่วนจื่อแย่งหมั่นโถวมาได้และชูมือขวาขึ้นพร้อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะทําท่าหมายกินมือของตัวเอง ส่วนจ้าวหลงที่แย่งหมั่นโถวไม่ได้เลยย่อตัวลงและกําลังจะแย่งกินซากศพ…

ความลังเลใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหายวับไป เขาตาแดงกํ่า ตะเบ็งเสียงคํารามสะเทือนฟ้าดินที่แฝงไว้ด้วยการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งพร้อมทุ่มสุดตัวแล้วระเบิดความเร็วสูงสุดก้าวพรวดออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว เท้านี้เหยียบลงพื้นรอบด้านก็เปลี่ยนมาเป็นเชื่องช้า ไอความเย็นก็แผ่กระจายออกไปแปดทิศและปกคลุมทั่วทั้งลานกว้างในชั่วพริบตา เวลาเดียวกันนั้น ภายใต้การระเบิดความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุน บวกกับการเคลื่อนที่ด้วยกระจกแห่งความเย็น ร่างของเขาจึงหายวับไปในเวลาเพียงชั่วเสี้ยววินาที ปรากกฎตัวอีกครั้งก็มาอยู่ข้างกายเสินซ่วนจื่อแล้ว ก่อนที่เขาจะคว้ามือขวาที่เสินซ่วนจื่อกําลังจะส่งเข้าปากเอาไว้แล้วกระชากอย่างแรง

“เสินซ่วนจื่อ เจ้ามีสติหน่อยสิ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคํารามดัง เสียงกร๊อบดังลั่น เสิน     ซ่วนจื่อกัดลงไปบนความว่างเปล่าจึงเงยหน้าขึ้นทันควัน ทั้งยังแผดเสียงคํารามใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน บัดนี้ในสายตาของเขาไม่ว่าใครก็ตามที่ขัดขวางตนก็ล้วนคือศัตรูที่บังอาจมาแย่งชิงโชควาสนาของเขา

ท่ามกลางเสียงคํารามเดือดดาล เสินซ่วนจื่อพลันทํามุทราชี้มายังป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งยังดิ้นรนดึงดันจะกินมือขวาของตัวเองที่ถูกแย่งไปราวกับหมาบ้า

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ เห็นว่าจ้าวหลงนอนควํ่าหน้าลงไปกับพื้นเรียบร้อยแล้วและกําลังแย่งชิงซากศพพร้อมหัวเราะคลุ้มคลั่ง ส่วนตัวเขาเองก็เริ่มสติพร่าเลือน ถึงขั้นมองเห็นรอบด้านเป็นภาพมายาทับซ้อน แถมในสายตาของเขาหมั่นโถวเลือดนั้นก็เริ่มกลายมาเป็นยาที่ทําให้เขาเป็นอมตะไม่มีวันตาย

ทั้งหมดนี้ทําให้จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นระทึก เขาจึงกัดลิ้นของตัวเองอย่างแรง แล้วก็สัมผัสได้ว่าไอความเย็นรอบกายกําลังละลายไปอย่างรวดเร็ว…

“บัดซบ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตวาดกร้าว มือขวายกขึ้นคว้าลําคอของเสินซ่วนจื่อ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนอย่างไรเขาก็ไม่ยอมปล่อย ขยับตัวได้ก็มาหยุดอยู่ข้างกายจ้าวหลง หลังจากคว้าตัวจ้าวหลงที่ในปากเต็มไปด้วยเลือดเนื้อแล้ว ร่างของเขาก็โซเซออกไปหลายก้าวก่อนจะฝืนบังคับให้ตัวเองมีสติและกําลังจะจากไป ทว่า

ทันใดนั้นเอง

เสียงหวีดแหลมที่โจมตีจิตวิญญาณก็พลันดังออกมาจากในไส้เทียนที่กําลังลุกไหม้ และบนเทียนยักษ์ทั้งสองเล่มก็พลันมีเงาร่างของหญิงสาวสองคนลอยขึ้นมา หญิงสาวทั้งสองนี้มีรูปร่างเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ต่างก็เป็นหญิงวัยกลางคน ผมของพวกนางยุ่งเหยิงขณะที่กรีดร้องเสียงแหลมใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงนั้นก็ก้องกังวานไปรอบด้าน

“เจ้าบังอาจสอดมาป่วนพิธีเซ่นไหว้เลือดเนื้อของข้า ถ้างั้นเจ้าก็จงอยู่ด้วยกันเลย!!” เมื่อเสียงนี้ดังออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสั่นเยือกไปทั้งร่าง บัดนี้ทุกอย่างที่อยู่รอบด้านล้วนถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เขาเหมือนมองเห็นยาจํานวนนับไม่ถ้วน ซึ่งไม่ว่าเม็ดใดก็ล้วนสามารถทําให้เขาเป็นอมตะไม่มีวันแก่

“อมตะ…อมตะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้ม ลมหายใจถี่กระชั้นคล้ายใกล้จะตกอยู่ท่ามกลางความบ้าคลั่ง ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นในยาอายุวัฒนะของเขาที่รวมกันฟักตัวขึ้นมาเป็น…พลังแห่งความคิดเสี้ยวหนึ่งพลันระเบิดตูมออกมาทันใด!

พลังแห่งความคิดนี้โจมตีเข้าสู่สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายเอานํ้าเดือดพล่านสาดลงไปบนหิมะ พริบตาเดียวภาพลวงตาทุกอย่างในสมองของเขาก็หายวับไปหมด ร่างของเขาสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัวที่ยังไม่จางหาย หน้าขาวเผือด เมื่อมองไปรอบด้านก็พบว่าไอความเย็นของเขาหายไปมากถึงแปดส่วนกว่าและใกล้จะสลายหมดไปทุกทีแล้ว และถ้ามันหมดลงเมื่อใดเขาก็จะไม่สามารถหายตัวได้อีก ต่อให้เขาจะใช้ความเร็วทั้งหมดของพลังกล้ามเนื้อก็อาจยังต้องถูกสกัดขวางให้ติดแหง็กอยู่ที่นี่…

เวลาเดียวกันนั้น นักพรตหลายร้อยคนที่อยู่รอบด้านต่างก็เริ่มสังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ดูเหมือนว่าในสายตาของพวกเขาก็ได้มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นโชควาสนาครั้งหนึ่งจึงกระโจนเข้ามาหาเขาอย่างบ้าคลั่งคล้ายต้องการแบ่งอาหารกัน

เห็นวิกฤตมาเยือน ป๋ายเสี่ยวฉุนคํารามดังลั่น ชั่วขณะที่ไอความเย็นใกล้จะสลายหมดสิ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใช้พลังทั้งหมดที่มีหายตัวไปอีกครั้ง…เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ไอความเย็นแตกทลาย และร่างของเขาก็หลุดพ้นจากลานกว้างแห่งนั้นมาปรากฏอยู่ริมขอบของลาน ใจของเขาสั่นรัว ไม่ได้เหลียวหลังกลับไปมอง แต่รีบเผ่นเข้าไปในช่องทางที่ใกล้ที่สุดทันที

แทบจะวินาทีเดียวกับที่เขาเหยียบเข้าไปในช่องทาง เงาของหญิงสาวสองคนที่ลอยอยู่เหนือเทียนใหญ่สองเล่มกลางลานกว้างด้านหลังเขาก็กรีดร้องเสียงแหลมอีกครั้ง

“คิดจะหนีรึ…” หลังจากเสียงนั้น เงาของหญิงสาวทั้งสองก็บินออกมาพร้อมกัน หมายจะไล่ตามเข้าไปในช่องทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนีหายไป

แต่เวลานี้เอง ทันใดนั้นความว่างเปล่านอกช่องทางก็พลันบิดเบือน กงซุ่นหว่าน   เอ๋อร์ปรากฏกาย ก่อนที่นางจะเดินออกมาช้าๆ ยกมือขวาขึ้นสะบัดใส่หญิงสาวสองคนที่กระโจนเข้ามาอย่างแรง

“ไสหัวกลับไปซะ คนของข้า พวกเจ้าก็บังอาจคิดทําร้ายอย่างนั้นรึ!” หญิงสาวสองคนนั้นสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง กรีดร้องโหยหวน ทั้งๆ ที่แรงสะบัดมือเมื่อครู่นี้ไม่ได้แฝงไว้ด้วยพลังเวทคาถาใดๆ แต่ร่างของหญิงสาวสองคนนี้กลับเหมือนจะแตกสลาย ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน สีหน้าของพวกนางหวาดกลัวและตะลึงพรึงเพริดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่กล้าขยับมาข้างหน้าอีก แต่คุกเข่าคารวะทั้งที่ตัวสั่นเทา

“ยังไม่ไปจัดการเรื่องพิธีเซ่นไหว้เลือดเนื้อของพวกเจ้าอีก เรื่องอื่นๆ ไม่จําเป็นต้องให้พวกเจ้ามาร่วมด้วย” กงซุนหว่านเอ๋อร์เอ่ยเนิบช้า ลูกตาดําที่สองซึ่งเล็กกว่าเผยประกายแสงรุบรู่ และก็เพราะแสงรุบรู่นี้ที่ทําให้หญิงสาวทั้งสองตัวสั่นหนักกว่าเดิม หมอบคลานอยู่ตรงนั้น รับคําว่าเจ้าค่ะๆ ติดต่อกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version