บทที่ 549 ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งแล้วจริงๆ
เขามองแผ่นหลังของโจวอีซิงด้วยความรู้สึกเหมือนได้เจอคนคุ้นเคย ต้องรู้ว่าตลอดทางมานี้ เขาไม่เห็นเงาใครแม้แต่คนเดียว ตอนนี้กลับได้มาเจอโจวอีซิง ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าเขาและโจวอีซิงช่างมีชะตาต้องกันยิ่งนัก พอนึกได้ว่าทุกครั้งที่เจอกับโจวอีซิง ตนจะต้องได้ผลเก็บเกี่ยวทุกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันควัน
“โจวอีซิง เจ้าอย่าหนีสิ คราวนี้ข้าไม่เอาธนูของเจ้าแล้ว เจ้าแค่ช่วยข้าล่อคนกระดาษสองพันกว่าตัวนี้ออกไปก็พอ เจ้าสมกับเป็นดาวนำโชคของข้าจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนก้องด้วยความตื่นเต้น เสียงตะโกนนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดีปรีดาไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อดังมาเข้าหูโจวอีซิง โจวอีซิงก็แทบบ้า เขาแหงนหน้าแผดเสียงคำรามยาว รู้สึกว่าตัวเองช่างซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยซ่อนเงื่อนอะไรอย่างนี้…
“เจ้าน่ะสิดาวนำโชค คนทั้งตระกูลเจ้านั่นแหละที่เป็นดาวนำโชค!!!” โจวอีซิงคำรามเดือดดาล เขาเจ็บแค้นสลดใจอย่างถึงขีดสุด เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นช่างตาดียิ่งนัก เมื่อครู่นี้เขาตั้งตัวได้เร็วมาก หมุนตัวกลับได้ก็เผ่นหนีแทบทันทีทันใด ทว่าอีกฝ่ายก็ยังดันจำได้ โดยเฉพาะได้ยินว่าอีกฝ่ายถึงขนาดเรียกขานตัวเองว่าเป็นดาวนำโชคของเขา ในใจของโจวอีซิงก็ราวกับถูกบีบเค้นอย่างแรง ความรู้สึกปวดร้าวถึงขั้วหัวใจเช่นนั้น ทำให้เขาแทบแตกสลายเต็มที ก่อนหน้านี้เขาเฝ้าภาวนามาตลอดทางว่าขออย่าให้ได้เจอกับป๋ายเสี่ยวฉุนอีกเลย คาดไม่ถึงว่าสุดท้าย…กลับยังคงหนีไม่พ้น!
“สวรรค์ เขาวงกตใหญ่ขนาดนี้ แม้ว่าคนที่มีชีวิตรอดจะมีไม่มาก แต่ก็น่าจะยังเหลืออีกไม่น้อย…ทำไม ทำไมต้องให้ข้ามาเจอกับเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายผู้นี้ด้วย!” โจวอีซิงอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว เขารู้สึกว่าโชคชะตาของตัวเองรันทดเสียจนน่าสลดใจ
ครั้งแรกที่เจอกับป๋ายเสี่ยวฉุน ไฟเก้าสีของเขาถูกแย่งไป
ครั้งที่สอง ลูกธนูวิญญาณไฟที่หลอมพลังจิตสิบเอ็ดครั้งของเขาถูกแย่งไป
ตอนนี้มาเจอกันเป็นครั้งที่สาม เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนไร้ยางอายผู้นี้ กลับพาคนกระดาษมาด้วยสองพันกว่าตัว…
หลายวันมานี้โจวอีซิงเองก็เคยได้เห็นความพิลึกพิลั่นและน่าหวาดกลัวของคนกระดาษพวกนี้
ตอนนี้พอนึกถึงว่าด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนมีคนกระดาษตามมามากถึงสองพันกว่าตัว เขาก็ขวัญหนีกระเจิดกระเจิงไปหมด
“ชาติที่แล้ว ข้าติดค้างเขาไว้หรืออย่างไร!!” โจวอีซิงร้องคร่ำาครวญด้วยความระทมทุกข์ เส้นเลือดฝอยขึ้นเต็มดวงตาทั้งคู่ สีหน้าบิดเบี้ยว เมื่อโกรธแค้นถึงขีดสุด ความกล้าบ้าบิ่นจึงทะยานสูงตามมาด้วย เขาเลยหันขวับกลับมาจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตามมาด้านหลังเขม็ง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าให้ข้าช่วยล่อพวกคนกระดาษไปอย่างนั้นรึ? ได้ เจ้ารนหาที่ตายเองนะ การเจอกันของพวกเราครั้งนี้ก็เพราะชะตาลิขิตให้เจ้าต้องตายด้วยน้ำมือข้า!!” โจวอีซิงกัดฟันกรอด เขาพลันตระหนักได้ว่าบางทีนี่อาจเป็นโอกาสให้ตนได้สังหารป๋ายเสี่ยวฉุน และคนกระดาษที่ตามติดมาด้านหลังของอีกฝ่ายก็คือตัวช่วยที่ดีที่สุดของเขา!
“โอกาสดี!” โจวอีซิงคำรามดังลั่น ครั้งนี้เขาพร้อมทุ่มสุดตัวแล้ว จึงหยิบเอาธนูสีดำคันใหญ่ที่ผ่านการหลอมพลังจิตเก้าครั้งออกมาแล้วพลันขึ้นสาย
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเขาก็ใช้พละกำลังทั้งหมดถอยกลับมาอย่างรวดเร็วพลางยิงธนูออกไป
ทั้งหมดสามสิบหกครั้ง!
สามสิบหกครั้งถือว่าอยู่เหนือขีดจำกัดของเขาไปแล้ว ทำให้หลังจากที่โจวอีซิงยิงลูกธนูออกไป ตัวเองจึงกระอักเลือดออกมาด้วย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้
เขาก็ยังคงดึงดันที่จะทำต่อไป เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดแค้นป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ากระดูกจนถึงขั้นมิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีกแล้ว
ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง ลูกธนูวิญญาณสามสิบหกดอกพุ่งแหวกอากาศเสียงแหลมตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี
ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าดาวนำโชคของตัวเองปรากฏตัวจึงดีใจมากเกินไปหน่อย ยามนี้ถึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าสำหรับโจวอีซิงแล้วนี่ก็คือโอกาสอันดี
เยี่ยมที่จะสังหารตน
“ต้าซิงซิง เจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเกรี้ยวกราด ลูกธนูทั้งสามสิบหกดอกก็เข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน ลูกธนูทั้งสิบสามดอกนี้ล้วนเล็งมาที่เขาทั้งหมด มิอาจหลบเลี่ยงได้แม้แต่น้อย แถมด้านหลังยังมีคนกระดาษไล่ตามมาโจมตี วิกฤตคับขัน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ร่มราตรีนิรันดร์พลันกางออก
เสียงกัมปนาทดังสะท้อนไปแปดทิศ ลูกธนูทั้งสามสิบหกดอกระเบิดกระจายออกพร้อมกัน
ขณะเดียวกันโจวอีซิงก็ฮึกเหิมเหมือนถูกฉีดเลือดไก่(ทางการแพทย์จีนเชื่อกันว่าเลือดไก่เป็นยารักษาสารพัดโรค ทำให้คนคึกคักกระปรี้กระเปร่า) แผดเสียงดังลั่น “ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันรึ!!”
เขาไม่สนใจว่าอาการบาดเจ็บของร่างกายตัวเองจะทรุดหนัก ขึ้นสายธนูอีกครั้งแล้ว ยิงออกไปรวดเดียวอีกสิบสามดอก
สวบๆๆ…!
ลูกธนูทั้งสิบสามดอกนี้แล่นฉิวออกมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงสะเทือนเลือนลั่นดังขึ้นอีกครั้ง ภายใต้คลื่นของแรงโจมตีหลายระลอกต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ยังต้องหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แถมเมื่อเจอกับแรงโจมตีนั้นร่างของเขาก็ยังถอยร่นออกไปเล็กน้อยด้วย และวินาทีที่เขาถอยกลับมานั้นเอง คนกระดาษสองพันกว่าตัวด้านหลังเขาก็พลันเพิ่มความเร็วพรวดพราด ห้อ ทะยานลอดผ่านระยะห่างระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุน เวลาแค่ชั่วพริบตาก็มาปรากฏตัวอยู่รอบด้านของเขา
บนใบหน้าของคนกระดาษเหล่านั้นเผยให้เห็นรอยยิ้มแปลกประหลาด ปากของพวกมันกรีดร้องเสียงแหลม เป็นเสียงร้องที่แฝงไว้ด้วยความละโมบ
และบ้าคลั่ง ก่อนจะกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลาแค่เสี้ยวลมหายใจ
โจวอีซิงที่ห่างออกไปไมไกลเห็นภาพนี้กับตาตัวเอง ร่างของเขาก็สั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้น ดีใจอย่างยิ่งยวด แหงนหน้าหัวเราะร่า
“ป๋ายเสี่ยวฉุน นี่ไม่ใช่ว่าข้าผู้แซ่โจวอยากสังหารเจ้าหรอกนะ แต่นี่คือบัญชาจากสวรรค์!!” โจวอีซิงรู้สึกว่าความอึดอัดคับแค้นที่อยู่ในใจบัดนี้ถูกกวาดหายไปจนเกลี้ยง ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ความรู้สึกที่เหมือนว่าตลอดทั้งร่างล้วนผ่อนลมหายใจออกมาทำให้เขาฮึกเหิมอย่างหาที่เปรียบไมได้
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้า…” โจวอีซิงมองไปยังตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกคนกระดาษจำนวนมากกลบทับจนมองไม่เห็นแม้แต่เงาก็หัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง ทว่ายังไม่ทันเอ่ยจบ เขาก็พลันเบิกตากว้าง เสียงขาดหายไปกลางคัน!
“เป็นไปไม่ได้!” โจวอีซิงร้องอุทานเสียงหลง
เห็นเพียงว่าตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ยามนี้มีเสียงตูมตามดังออกมา ก่อนที่ม่านแสงหลายต่อหลายชั้นจะแผ่ขยายเป็นวงกว้างในชั่วพริบตาเดียว ความมากของชั้นแสงนั่นเกรงว่าคงมากนับพัน ระดับความหนาก็มากเป็นสิบจั้ง!
เมื่อเสียงกัมปนาทดังสะท้อน เมื่อม่านแสงนอกร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่หนาสิบจั้งแผ่ขยาย คนกระดาษเหลานั้นกลับถูกผลักให้กระเด็นออกมาด้านนอก สุดท้ายล้วนแนบติดอยู่บนม่านแสงของเขาทั้งหมด เพราะว่าคนกระดาษมีมากเกินไป ทำให้มองดูแล้วเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างลูกกระดาษขนาดสิบจั้งลูกหนึ่งขึ้นมา!
ในลูกกระดาษ ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนเหงื่อไหลไปตามกระดูกสันหลัง เมื่อครู่นี้เสี่ยงเกินไปแล้ว
หลังจากที่เขาถูกสกัดขวาง พวกคนกระดาษก็กระโจนกันเข้าใส่ ยังดีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วฉับไว แม้ว่าเขาจะร่ายเวทใช้เขตแดนธาราไม่ทัน แต่กลับมียันต์ติดตัว พอหยิบออกมาปึกใหญ่แล้วแปะไปทั่วร่าง วินาทีที่พวกคนกระดาษกระโจนเข้ามา ม่านแสงขยายออกจึงสกัดพวกมันเอาไว้ได้
ยามนี้เมื่อเห็นว่าแสงจากยันต์ใช้กับพวกคนกระดาษได้ผล ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเงยหน้าขึ้นมองลอดไปตามรอยแยกระหว่างคนกระดาษ เห็นโจวอีซิงที่มองตาค้างอ้าปากกว้างห่างไปไกล
“โจวอีซิง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธเสียแล้ว เขาจึงพุ่งทะยานออกมาข้างหน้า โผนเข้าหาโจวอีซิง!
โจวอีซิงอึ้งงัน ในสมองมีเสียงตูมดังหนึ่งครั้ง
ที่เขาเห็นอยู่เบื้องหน้าตอนนี้คือลูกกระดาษขนาดใหญ่ยักษ์ที่กำลังคำรามอู้เข้ามาหาตน ลักษณะพลังเช่นนั้น ความเร็วเช่นนั้น และยังมีคนกระดาษจำนวนมากที่ติดอยู่บนพื้นผิวชั้นนอกของลูกกระดาษต่างก็ล้วนทำให้โจวอีซิงรู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิด
“ขนาดนี้ยังไม่ตายอีกรึ!!” โจวอีซิงเจ็บแค้นสิ้นหวัง หมุนตัวกลับได้ก็เผ่นหนีทันที แม้ว่าความเร็วของเขาจะไม่ช้า แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเร็วกว่า คนทั้งสองไล่กวดกันคนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง
“ทำยังไงดี ทำยังไงดี!! หรือว่าจะต้องใช้การนำส่งครั้งสุดท้ายของรอยดาวจริงๆ!!” โจวอีซิงใกล้จะเป็นบ้าแล้ว ท่ามกลางอาการคิดไม่ตกเขาก็กัดฟันกรอด ขณะที่กำลังจะใช้แสงดาวแต่กลับค้นพบว่าคนกระดาษสองพันกว่าตัวที่แนบติดแน่นขนัดอยู่บนลูกระดาษซึ่งไล่ตามมาด้านหลังไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่พวกมันกำลังดูดซับ และยิ่งพวกมันออกแรงสูด ลูกกระดาษก็หดเล็กลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“หืม?” โจวอีซิงทั้งตะลึงระคนดีใจ เขาล้มเลิกความคิดที่จะส่งตัวเองออกไปทันที แถมหัวใจของเขายังเต้นกระหน่ำรัวเร็วกกว่าเดิม เพราะเขามองอ
อกว่าวิธีการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ในตอนนี้คือการดื่มยาพิษเพื่อดับกระหาย หากม่านแสงนั่นหายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องตายแน่ๆ
คิดมาถึงตรงนี้โจวอีซิงก็ตื่นเต้นอีกครั้ง เขารีบเพิ่มความเร็วห้อทะยานไปด้านหน้า คอยหันมาสังเกตด้านหลังเป็นระยะ ทั้งยังเริ่มหัวเราะร่าเสียงดังด้วย
ขณะที่เขากำลังหัวเราะ ลูกกระดาษด้านหลังก็มีเสียงตูมดังออกมาหนึ่งครั้ง ก่อนที่มันจะฟื้นคืนกลับมามีขนาดสิบจั้งเท่าเดิม โจวอีซิงตกใจสะดุ้งโหยง หลังจากหันไปมองก็พบความความเร็วในการหดตัวของลูกกระดาษยังคงไม่ลดน้อยลง นั่นจึงทำให้เขาวางใจได้อย่างแท้จริง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะยืนหยัดได้นานแค่ไหนกัน!”
ขณะที่โจวอีซิงกำลังลำพองใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในลูกกระดาษกลับหัวเราะเสียงเย็น เขาอยากบอกกับโจวอีซิงเหลือเกินว่าในถุงเก็บของของตน อะไรก็มีไม่มาก ทว่ายันต์…อาจเอาออกมาได้ไม่ถึงล้านแผ่น แต่ถ้าเป็นหมื่นเป็นแสนแผ่นถือว่าสบายมากสำหรับเขา
“หึ หากข้าเอาออกมาหมด เจ้าต้องตกใจตายแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขบฟัน แต่เขาเองก็กลัดกลุ้มไม่น้อย ต่อให้ยันต์เขาจะมีมากแค่ไหน แต่อย่างไรซะก็ใช่ว่าจะไร้ขีดจำกัด สุดท้ายยังต้องมีช่วงเวลาที่ใช้หมด ยามนี้ในใจร้อนรน ขณะที่บินทะยานก็มองม่านแสงรอบกายไปด้วย แล้วเขาก็พบว่าเมื่อถูกคนกระดาษพวกนั้นดูดซับ ยันต์ของตัวเองถูกเผาผลาญไปเยอะมาก แถมเขายังแอบรู้สึกว่าเวลาที่คนกระดาษพวกนี้ดูดซับม่านแสงของยันต์ พวกมันต่างก็เผยสีหน้าเอร็ดอร่อยออกมาด้วย
ดังนั้นในใจจึงพลันกระตุก พอคิดไปคิดมาเขาก็หยิบเอายันต์แผ่นหนึ่งออกมาโยนไปด้านข้าง
วินาทีที่ยันต์แผ่นนี้ร่วงลงพื้นก็กลายมาเป็นม่านแสงหนึ่งชั้นทันที
พริบตาเดียวก็มีคนกระดาษบางส่วนบินเข้าไปหายันต์แผ่นนั้น แถมยังมีอีกหลายตัวที่ถูกดึงดูดความสนใจ เห็นได้ชัดว่าสำหรับคนกระดาษเหล่านี้แล้ว ม่านแสงของยันต์เป็นสิ่งที่พวกมันชื่นชอบมากกว่า
หลังจากมองเห็นทุกอย่างนี้ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นประกายระยับทันที เมื่อมองไปยังโจวอีซิงที่เผ่นหนีไปได้ไม่ไกลทั้งยังคอยหันมาจ้องตนเป็นระยะ เขาก็แอบกัดฟันกับตัวเองและตัดสินใจว่าจะลองเดิมพันดูสักตั้ง