Skip to content

A Will Eternal 550

บทที่ 550 ด้านหลังข้า…มีคน

ลูกกระดาษของป๋ายเสี่ยวฉุนใหญ่เกินไปจนบดบังเส้นสายตา ขณะเดียวกันโจวอีซิงก็ยังต้องแบ่งสมาธิในการเผ่นหนีไปด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ยามนี้ในใจเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มองประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง รอคอยที่จะได้เห็นลูกกระดาษของป๋ายเสี่ยวฉุนหดเล็กลงไปเรื่อยๆ

และในความเป็นจริงแล้ว ก็เป็นอย่างที่เขาวาดหวังเอาไว้ ม่านแสงลูกกระดาษที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ด้านในเหมือนว่าจะชดเชยไม่ทันจึงยิ่งหดเล็กเป็นระยะจนลดมาเหลือครึ่งหนึ่งของสิบจั้งก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกันความเร็วของเขาก็ค่อยๆ ลดน้อยตามไปราวกับว่าเข้าตาจนแล้วจริงๆ โจวอีซิงยังได้ยินเสียงคำรามเดือดดาลอย่างสิ้นหวังและการพยายามดิ้นรนดังมาจากป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในลูกกระดาษด้วย

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าก็มีวันนี้ด้วยรึ!” โจวอีซิงสบายอารมณ์อย่างถึงขีดสุด เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งไปตลอดทาง พอนึกว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะแผนการที่ตัวเองคิดขึ้นมา เขาก็ฮึกเหิมจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว

“ข้าอยากให้เจ้าตาย เจ้าจะกล้าไม่ตายได้รึ!”

ขณะที่โจวอีซิงหัวเราะคลุ้มคลั่งก็เห็นว่าความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนช้าลงยิ่งกว่าเดิม ลูกกระดาษก็เปลี่ยนมามีขนาดแค่สามจั้งเท่านั้น เขาจึงยิ่งมั่นใจมากขึ้นเลยลดความเร็วของตัวเองให้ช้าลงไปด้วย เพราะอยากเห็นภาพที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกดูดพลังจนกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวกับตาตัวเอง

“โจวอีซิง!” ในลูกกระดาษ ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธเกรี้ยวคำรามฉุนเฉียวไม่หยุดปาก ความเร็วก็เริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ มาถึงท้ายที่สุดก็แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เดินหน้าต่อจนต้องดิ้นรนอยู่ตรงนั้น ยิ่งเป็นเช่นนี้โจวอีซิงก็ยิ่งดีใจจนหยุดวิ่ง เอาแตหั่นมาจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็งด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยการรอคอย

“ตะโกนไปเถอะ ต่อให้เจ้าตะโกนจนคอแตกอยู่ที่่นี่ก็ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้!” โจวอีซิงกล่าวอย่างลำพองใจ เขารู้สึกแค่ว่าตลอดทั้งร่างเหมือนมีพละกำลังที่ใช้เท่าไหร่ก็ใช้ไม่หมด เมื่อเห็นม่านแสงนอกร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหดเล็กลงมาเหลือหนึ่งจั้ง เขาก็เริ่มมองไม่เห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว สิ่งที่เห็นเป็นเพียงกระดาษก้อนหนึ่งเท่านั้น!

มาถึงช่วงเวลาสำคัญ ลมหายใจของโจวอีซิงเริ่มเปลี่ยนมาเป็นชะงักค้างเพราะความตื่นเต้น ในสมองของเขาถึงขั้นมีภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองต้องการเห็นลอยขึ้นมา ในภาพเหล่านั้น วินาทีที่ลูกกระดาษระเบิดพังทลาย พวกคนกระดาษก็จะกระโจนกันเข้าไปดูดพลังป๋ายเสี่ยวฉุนที่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งอีกฝ่ายดับสลายทั้งกายและจิต

ส่วนตนก็สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้ หากมีโอกาสก็จะเข้าไปกวาดเอาทรัพยสินของป๋ายเสี่ยวฉุนมาครอง แต่หากไม่มีโอกาสก็จะกระตุ้นใช้รอยดาวนำส่งเป็นครั้งสุดท้าย แค่มีบันทึกนี้เขาก็สามารถแลกวิญญาณคนฟ้าครบถ้วนทั้งห้าธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน มาได้แล้ว!

ทว่าขณะที่โจวอีซิงจมจ่อมอยู่กับภาพเหตุการณ์เหลานั้นดวยความห้าวเหิม ทันใดนั้นลูกกระดาษที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ด้านในก็พลันระเบิดกระจาย

วินาทีที่แตกออก วินาทีที่โจวอีซิงหันไปมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง…

ทันใดนั้นนาทีที่ลูกกระดาษแตกกระจายก็มียันต์ปึกใหญ่ที่่น่าจะมากนับพันแผ่นถูกขว้างออกมา

การกระทำนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป โจวอีซิงคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย พริบตาเดียวยันต์นับพันนั้นก็มาตกอยู่เบื้องหน้าของโจวอีซิง

โจวอีซิงอึ้งงัน ขณะที่กำลังจะหยุดยั้งมัน เสียงตูมกลับดังหนึ่งครั้ง ยันต์พวกนั้นระเบิดตัวเองกลายมาเป็นม่านแสงจำนวนมากที่ปกคลุมโจวอีซิงไว้ภายใน

ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนช้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว นับตั้งแต่ที่ม่านแสงของป๋ายเสี่ยวฉุนแตกทลายไปถึงยันต์ปกคลุมทั่วร่างของโจวอีซิง จนกระทั่งคนกระดาษพวกนั้นกระโจนเข้าใส่ก็ใช้เวลาสั้นๆ แค่สองชั่วลมหายใจเท่านั้น

โจวอีซิงหน้าเผือดสี ในสมองมีเสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ทั้งหมดนี้แตกต่างไปจากสิ่งที่เขาคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ยามนี้จึงกรีดร้องและกำลังจะก้าวถอยหลัง แต่กลับสายไปเสียแล้ว ความเร็วของคนกระดาษเหล่านั้นมีมากเกินไป พวกมันเฮโลกันเข้ามาห้อมล้อมเขาเอาไว้ ทำให้โจวอีซิงกลายเป็นลูกกระดาษตามป๋ายเสี่ยวฉุนมาติดๆ!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ในลูกกระดาษ เสียงของโจวอีซิงรวดร้าวถึงขีดสุด เขาเจ็บแค้นอย่างยิ่งยวด ใจของเขาสั่นระรัวใกล้จะเสียสติมากเข้าไปทุกที

“ไร้ยางอาย หน้าด้าน!!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!!”

แทบจะชั่วเวลาเดียวกันกับที่โจวจีซิงกลายมาเปนลูกกระดาษ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอยกรูดออกไปข้างหลังด้วยสีหน้าซีดขาว เมื่อครู่นี้ช่างเสี่ยงอันตรายยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าโจวอีซิงเข้ามาแทนที่ตัวเองแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกินที่รอดมาได้ แม้ใจจะละโมบอยากได้ธนูของโจวอีซิง แต่กลับเลือกถอยห่างไปไกลอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล

“เมื่อเทียบกับธนูคันนั้นแล้วชีวิตน้อยๆ ของข้ายังสำคัญมากกว่า โจวอีซิงผู้นี้…สมกับเป็นดาวนำโชคของข้าจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับไปมองลูกกระดาษที่หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลัวว่าคนกระดาษพวกนั้นจะตามมาอีกจึงหมุนกายขวับแล้วโกยแนบห่างไปไกลทันที

หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป โจวอีซิงที่อยู่ในลูกกระดาษมีสีหน้าคับแค้นใจ ทั้งยังมากด้วยความคลุ้มคลั่ง เมื่อเห็นว่าแสงที่อยู่รอบด้านยิ่งหดเล็กลงไปเรื่อยๆ น้ำตาของเขาก็ไหลพรากลงมาจริงๆ

เขารู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนช่างเป็นดาวแห่งเคราะห์ร้ายของตน เป็นดาวแห่งความอัปมงคลอย่างแท้จริง…ยามนี้ไม่มีเวลาให้คิดมาก เขาร้องไห้โฮ น้ำตาไหลรินเป็นสาย ได้แต่ยกมือขวาขึ้นตบลงไปกลางหว่างคิ้วของตัวเองอย่างแรง

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง รอบกายเขาก็มีแสงดาวแผ่ออกมา การนำส่งเริ่มขึ้น วินาทีที่แสงดาวนั้นหายไป ร่างเขาก็หายวับไปด้วย หลังจากที่เขาถูกนำส่งไปได้ไม่นาน ม่านแสงนี้ก็ถูกคนกระดาษพวกนั้นเขมือบกลืนจนเกลี้ยงแล้วพังถล่มลงมา คนกระดาษพวกนั้นได้แต่กระโจนใส่ความว่างเปล่า แต่ละตัวจึงลอยล่องไปมารอบด้าน หลังจากหาเงาร่างของคนไม่พบถึงได้เกาะกลุ่มกันลอยออกไปช้าๆ

ช่องทางอีกแห่ง หนึ่งในเขาวงกต แสงดาวเปล่งวาบ เมื่อร่างของโจวอีซิงเดินออกมาเขาก็กระอักเลือดคำใหญ่อีกครั้่ง ยังไม่สิ้นสุด เขายังคงกระอักเลือดติดต่อกันอีกหลายครั้ง เอามือพยุงผนังด้วยสีหน้าขาวเผือด ก่อนจะหัวเราะสมเพชตัวเอง

กลางหว่างคิ้วของเขายามนี้มีแสงดาวสลัวรางแผ่วาบๆ เป็นระลอก หลังจากที่ค่อยๆ มอดดับลง รอยบากรูปดวงดาวก็แตกสลายกลายมาเป็นเถ้าธุลี…

“รอยดาวไม่มีแล้ว…” โจวอีซิงทั้งเศร้าใจทั้งขุ่นแค้น เขาย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างตนกับป๋ายเสี่ยวฉุน ความรู้สึกที่ว่าอีกฝ่ายคือดาวแห่งหายนะลอยขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้น้ำตาของเขาไหลแหมะไม่ขาดสาย

“ข้าฆ่าเขาไม่ได้ ข้า…ข้าขอแค่ว่าชีวิตนี้อย่าได้เจอะได้เจอเขาอีกเลย!!!” โจวอีซิงกัดฟันคำรามด้วยความเจ็บแค้น เวลาแค่ช่วงสั้นๆ เขากลับเหมือนคนที่แก่ขึ้นอีกหลายปี การถูกโจมตีทางร่างกาย อาการบาดเจ็บทางจิตใจทำให้โจวอีซิงเริ่มรู้สึกสงสัยในชะตาชีวิตของตัวเองเสียแล้ว…

มีคนเสียใจ มีคนดีใจ ยามนี้เมื่อเปรียบเทียบกับโจวอีซิงแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือฝ่ายที่ดีใจ ความรู้สึกที่รอดพ้นมาได้หลังเคราะห์ภัยครั้งใหญ่ทำให้เขารู้สึกว่าในที่สุดตัวเองก็รักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้แล้ว พอนึกถึงแผนการชั่วร้ายของโจวอีซิงก่อนหน้านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เลิกโกรธแล้ว เขารู้สึกจริงๆ ว่าโจวอีซิงดีกับตนจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เพื่อช่วยเหลือตน ถึงขนาดยอมเอาตัวเข้าแลก

“ช่างเถอะๆ พี่โจว พวกเราช่างมีชะตาต้องกันยิ่งนัก คาดว่าเจ้าเองก็คงไม่ตายหรอก หวังว่าคราวหน้าพวกเราน่าจะยังได้เจอกันอีก” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะได้เจอกันครั้งหน้า ก่อนจะห้อทะยานต่อไปอีกครั้งด้วยความเบิกบานใจ

แต่เดินไปเดินมาป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกเหมือนมีบางอยางผิดปกติ เขาจึงหันขวับกลับไปมองด้านหลัง แต่ด้านหลังของเขากลับไม่มีอะไรสักอย่าง เขา

จึงรีบยกมือทั้งคู่ขึ้นป่ายปะไปทั่วแผ่นหลัง แต่ก็ยังไม่สัมผัสโดนอะไร

ทว่าเขาไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ เพราะเขายังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะตอนที่เขาเดินไปข้างหน้าแล้วเจอกับนักพรตคนหนึ่งของฝ่ายกำแพงเมือง นักพรตผู้นี้มีใบหน้าตื่นตระหนกคล้ายเพิ่งรอดพ้นภัยมาได้ ขณะที่กำลังวิ่งเต็มเหยียดด้วยความระมัดระวังก็เจอเข้ากับป๋ายเสี่ยวฉุน

คนทั้งสองประสานสายตากัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นความหวาดกลัวในสายตาของคนผู้นี้…

ก่อนที่นักพรตคนนั้นจะรีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วแล้วเป็นฝ่ายหลีกทางให้กับเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนสงสัย ใจอยากจะเอ่ยถามแต่ก็ล้มเลิกความคิดนี้ทันที เพราะเห็นว่าด้านหลังของนักพรตคนนี้มีคนกระดาษอยู่ตัวหนึ่ง

หลังจากมองเห็นคนกระดาษตัวนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบเพิ่มความเร็วหนีห่าง ทว่าขณะที่บินผ่านร่างของนักพรตคนนี้ไป ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหันขวับกลับไปด้านหลัง การหันมามองครั้งนี้เขาจึงได้เห็นว่านักพรตกำแพงเมืองคนนั้นกำลังพยักหน้าให้กับตัวเองด้วยท่าทางตกตะลึงระคนหวาดกลัว…

หลังจากสังเกตเห็นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน นักพรตคนนี้ก็กรีดร้องเสียงแหลมก่อนจะหมุนตัวแล้ววิ่งหนีไปทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน ไม่นานเหงื่อเย็นๆ ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าผาก เขานึกออกแล้ว ตอนนั้นครั้งแรกที่ตนเห็นคนกระดาษด้านหลังคนอื่น คนกระดาษตัวนั้นทำท่าชู่ว์ให้ตน และตนก็พยักหน้ารับเหมือนกัน…

คิดมาถึงตรงนี้ในสมองของเขาก็มีท่าทางพยักหน้ารวมไปถึงสายตาของนักพรตคนเมื่อครู่ลอยขึ้นมา เมื่อคิดถึงภาพเหตุการณ์นี้อย่างละเอียดเขาก็หวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด…

“ด้านหลังข้า…คงไม่ได้…มีคนกระดาษอยู่หรอกนะ…” ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเสียงดังอึงอล สีหน้าพลันเปลี่ยนมาเป็นซีดขาว ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง หันซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นจนคอเริ่มเคล็ด แต่ก็ไม่เห็นอะไรสักอย่าง แถมที่นี่ยังระงับพลังจิต เขาไม่สามารถแผ่มันออกไปตรวจสอบได้

จึงใช้มือควานหาแต่ก็จับไม่เจออะไร…

สุดท้ายเขาจึงถือโอกาสหยิบเอากระจกออกมาส่องดู แตไม่ว่าจะส่องอย่างไรเขาก็ไม่เห็นอะไรอยู่ด้านหลังของตัวเอง

ภายใต้ความคลางแคลงใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แต่พกพาเอาความตกใจระคนสงสัยเคลื่อนหน้าต่อ ทว่าไม่นานสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามอง เขาสัมผัสได้ว่าเหมือนด้านหลังตนจะมีคนคนหนึ่งแนบติดอยู่!

ความรู้สึกเช่นนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนขวัญกระเจิง ขนลุกขนพองไปทั้งร่างได้ทันที

“ข้า…ด้านหลังของข้า…มีคน!!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version