บทที่ 55 นายน้อยเฉินเหิง!
“ลมปราณม่วงแปลงกระถาง!” โหวอวิ๋นเฟยและตู้หลิงเฟยเปล่งเสียงร้องตกตะลึงพร้อมกัน สีหน้าของทั้งสองก็ยิ่งฉายความตะลึงพรึงเพริด
โดยเฉพาะตู้หลิงเฟย นางสามารถใช้พลังยกหนักเสมือนเบาเป็นแล้ว รู้ดีถึงความยากของพลังม่วงแปลงกระถางนี้ นั่นเป็นวิชาอภินิหารที่ตลอดทั้งชายฝั่งทิศใต้ หรือแม้แต่เขาจื่อติ่งเองก็ยังมีคนทำได้แค่ไม่กี่คน
ระหว่างเสียงดังเลื่อนลั่น กระถางขนาดมหึมานี้ก็พุ่งเข้าไปกระแทกกับผีร้ายโดยตรง พื้นดินสั่นสะเทือนอยู่ชั่วครู่ ผีร้ายตนนั้นเปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ร่างกายแหลกสลายโดยพลัน กลายเป็นควันสีดำจำนวนไม่ถ้วนกระจายออกไปแปดทิศ เผยให้เห็นเฉินเยว่ที่หายใจรวยรินอยู่ภายใน
เฉินเยว่กระอักเลือดสดๆ ร่างกายร่วงหล่นลงพื้นดังตึง เขามองกระถางใบใหญ่ที่สลายตัวไปแล้วใบนั้นด้วยความขมขื่น พึมพำเสียงเบา
“ลมปราณม่วง…แปลงกระถาง…” พูดจบ เขาดิ้นรนมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้งร่างกายก็ไม่ขยับอีก สิ้นลมขาดใจตายไป วิชาลับก่อนหน้าที่เขาใช้ เดิมก็ทำร้ายร่างกายเขาไปถึงเจ็ดส่วน ในเวลานี้ถูกพลังลมปราณม่วงแปลงกระถางทำลายวิชาลับ แม้แต่ผีร้ายที่เลี้ยงเอาไว้ก็ยังถูกทำลายย่อยยับ แล้วเขาจะยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร
แม้จะตายไปแล้ว ตาดวงตาของเขาก็ยังเบิกกว้างมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นว่าเฉินเยว่ตายแล้ว ร่างกายก็คลายลงทันที พลังวิญญาณในร่างกายถูกดึงออกมาใช้มากเกินไป ทำให้ศีรษะมึนเวียนไปหมด ราวกับลูกกลมที่ถูกเจาะลมออก ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ตรงนั้น ร่างโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่ สีหน้าเขาซีดเผือด เหมือนไม่อยากเชื่อว่าที่ไล่ฆ่าคนทั้งหมดนี้คือฝีมือตัวเอง
เมื่อย้อนคิดถึงแต่ละภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้แค่ว่าในปากมีรสหวาน เลือดสดไหลทะลักออกมาอีกครั้ง
‘ข้าเลือดไหล…ข้า…อีกนิดเดียวข้าก็จะถูกกำจัดสิ้นแล้ว!!’ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกถึงความเจ็บปวดทั่วร่าง โดยเฉพาะที่บ่า แค่ยกมือขึ้นก็เจ็บปวดรุนแรงเกินรับไหว ผิวหนังมีหลายจุดไหม้เกรียม ความเจ็บปวดเป็นระลอกที่เกิดขึ้น ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอนึกถึงการสู้รบก่อนหน้านี้ก็ยังคงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
‘ข้า…ข้ากลับมาทำไมกัน…เมื่อครู่หากไม่ระวัง ไม่แน่ว่าอาจจะเอาชีวิตน้อยๆ นี่ไปทิ้งแล้วก็เป็นได้…ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่เป็นสุขมาตลอดครึ่งชีวิตแรก ทำไมคราวนี้ถึงบุ่มบ่ามได้นะ…’ ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนึกเสียใจในการกระทำของตัวเองอยู่นั้น พลันก็มีแรงกระแทกอันน่าตะลึงจากร่างกายที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน ทั้งยังนุ่มนวลกรุ่นกลิ่นหอมอย่างสาวบริสุทธิ์โจนทะยานเข้ามาในอ้อมอกของเขา ซึ่งก็คือตู้หลิงเฟย
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน รีบทำสีหน้าเคร่งขรึมทันที กอดตอบตู้หลิงเฟยแล้วเอ่ยปากเนิบช้า
“ศิษย์พี่หญิงตู้ไม่ต้องกลัว มีข้าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ด้วย ใครก็อย่าได้คิดทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ!” ระหว่างที่พูด มือของเขาก็ลูบคลำไปยังสะโพกโค้งงอนโดยไม่รู้ตัว…
“ขอบคุณเจ้ามาก ขอบคุณ…” ตู้หลิงเฟยซาบซึ้งใจน้ำตาไหลพราก รอจนมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาแล้วจึงพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของป๋ายเสี่ยวฉุน และรู้สึกได้ว่าด้านหลังมีมือข้างหนึ่งลูบคลำสะเปะสะปะไปทั่ว ใบแดงจึงพลันแดงก่ำ รีบถอยหลังกรูดออกไปหลายก้าว มองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างโกรธเคือง
ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที ในใจรำลึกขึ้นมาได้ ครุ่นคิดกับตัวเองเงียบๆ ว่าตู้หลิงเฟยผู้นี้ไม่เสียแรงที่เป็นหนึ่งในห้าสาวงามของชายฝั่งทิศใต้ แค่รูปร่างอย่างเดียวก็กินขาดแล้ว
เวลานี้โหวอวิ๋นเฟยเองก็มีสีหน้าประหลาด กระแอมหนึ่งที มองป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มๆ
“ศิษย์น้องป๋าย ต่อไปเดี๋ยวก็มีเวลาให้รำลึกถึง ตระกูลลั่วเฉินยังต้องส่งคนมาตามฆ่าอีกแน่นอน ครั้งนี้คาดว่าคงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดนอกเหนือจากผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานรากคนนั้น พวกเราต้องรีบหนีกันแล้วล่ะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพอได้ยินคำพูดประโยคนี้ใจก็สั่นขึ้นมาทันควัน คนกลุ่มเมื่อครู่นี้ เขาสู้ตายสุดชีวิตถึงชนะมาได้ พอนึกถึงว่าอีกฝ่ายยังมีผู้แข็งแกร่งที่เหนือกว่าเฉินเยว่อีกมากมาย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นไปทั่วร่าง สีหน้าซีดขาว หลังจากมองสะเปะสะปะไปรอบด้านแล้วก็หดคอกลับมา พยักหน้าติดต่อกัน
“ใช่ๆๆ รีบไปเถอะ พวกเราต้องรีบหนี!” ระหว่างที่พูดเขาก็วิ่งนำหน้าไปทันที ภาพกลัวตายนี้กับชายหาญกล้าคนเมื่อครู่ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบอย่างเด่นชัด แต่ตู้หลิงเฟยไม่รู้สึกรังเกียจ กลับรู้สึกว่าน่ารัก ดังนั้นจึงตามไปด้วย ตอนที่มองป๋ายเสี่ยวฉุน นึกถึงที่อีกฝ่ายช่วยตนเองและภาพการต่อสู้อันดุเดือดแต่ละภาพ ความปลื้มปิติชื่นชมในดวงตาก็เพิ่มขึ้นอีกมาก
โหวอวิ๋นเฟยส่ายหน้า หยิบฉวยเอาถุงเก็บของที่อยู่บนร่างของคนในตระกูลลั่วเฉินพวกนั้นไป ไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนทันก็ส่งให้เขา
“ศิษย์น้องป๋าย ของพวกนี้คือรางวัลที่เจ้าสู้ชนะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ดูอย่างละเอียด รับมาก็โยนเข้าในอก เวลานี้เขาควบคุมตัวเองไม่ให้สั่นไม่ได้ ในสมองมีความคิดแค่อย่างเดียวก็คือหนีเอาชีวิตรอด
เทือกเขาลั่วซิง ในวังใต้ดินของตระกูลลั่วเฉิน ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข่นฆ่าคนตระกูลลั่วเฉินคนแรก บนจุดรอยต่อของค่ายกลรอบทะเลสาบเลือด รอยต่อจุดหนึ่งส่งเสียงดังตูมหนึ่งทีก็ปริแตกออก เลือดที่อยู่ข้างในก็แห้งขอดไปด้วย
ภาพนี้ทำให้คนตระกูลลั่วเฉินที่อยู่รอบด้านพากันอึ้งตะลึง หันพรวดไปมอง พวกเขายังไม่ทันตั้งตัวก็ตามมาติดๆ ด้วยรอยต่อจุดที่สอง สาม สี่ ห้า…
ท่ามกลางเสียงที่ดังสนั่นไม่หยุด จุดรอยต่อก็ปริแตกออกจากกันอย่างต่อเนื่อง
ภาพนี้ทำให้คนตระกูลลั่วเฉินล้วนตกตะลึงกันไปหมด ขณะเดียวกันกับที่แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี ผู้อาวุโสตระกูลลั่วเฉินที่อยู่ในทะเลสาบเลือดก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
และวินาทีที่เขาลืมตาขึ้น เสียงครั่นครืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งดังลอยมาจากจุดรอยต่อที่เป็นของเฉินเยว่ก่อนหน้านี้
“เฉินเยว่…ก็ยังถูกฆ่าตายไปด้วย!”
“ตายหมดแล้ว ออกไปเจ็ดคน ล้วนตายกันหมด!”
“นี่เป็นไปได้อย่างไร พวกเขาเจ็ดคนแค่ตามไปฆ่าลูกศิษย์ฝ่ายนอกไม่กี่คนเท่านั้น หรือว่าสำนักธาราเทพรู้เรื่องของพวกเรา ส่งผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานรากมา!” ทุกคนในตระกูลลั่วเฉินทั่วบริเวณล้วนข่มกลั้นเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป จึงพากันส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา และคนไม่น้อยยังถึงขั้นเผยความหวาดกลัวออกมาด้วย
“เอะอะมะเทิ่ง!” ขณะที่พวกเขากำลังส่งเสียงร้องอย่างตกตะลึงอยู่นั้น น้ำเสียงเย็นชามีพลังก็ดังลอยออกมาจากปากของผู้เฒ่าในทะเลสาบเลือด ดังราวกับฟ้าผ่า สะท้อนก้องอยู่ในใจของคนในตระกูลทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ทำให้ร่างของทุกคนสั่นสะท้าน แต่ละคนเงียบกริบ มองไปที่ผู้อาวุโสของตนอย่างกระวนกระวายใจ
“สยบฟ้าเปลี่ยนชะตา การขับไล่รอยประทับในสายเลือด เดิมทีก็คือโอกาสครั้งเดียวที่มีในรอบพันปีของตระกูลเรา ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็อย่าคิดเหลวไหล หากมีผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานรากเหยียบเข้ามาในค่ายกลของข้า ข้าย่อมรู้ได้ในทันที ตอนนี้…ยังไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานรากมาถึง และยิ่งไม่มีการส่งข้อมูลใดออกไป พวกเจ้าลนลานอะไร” ผู้เฒ่าเอ่ยปากเนิบนาบ สีหน้าของเขาก็ไม่น่ามองเช่นกัน หากไม่เป็นเพราะตอนนี้เขาจำต้องควบคุมค่ายกลที่สำคัญนี้ ไม่อาจออกไปได้ด้วยตัวเอง ก็คงออกไปบดขยี้พวกป๋ายเสี่ยวฉุนนานแล้ว
และหากเขาออกไป ละทิ้งค่ายกลโลหิตผันของตระกูลที่ถูกควบคุมด้วยสำนักธาราเทพ ทุกอย่างที่ทำมาก็จะสูญเปล่า อีกทั้งภายใต้การถูกพลังตีกลับ บางทีเขาอาจจะยังฝืนมีชีวิตต่อไปได้ แต่ทุกคนในตระกูลจะต้องสิ้นชีพเพราะเลือดในกายไหลย้อนกลับ
“สามารถฆ่าพวกเฉินเยว่ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานราก ในตัวของลูกศิษย์ฝ่ายนอกพวกนั้น หากไม่ใช่เพราะมีคนที่ซุกซ่อนตบะแท้จริงเอาไว้ ก็จะต้องมีอาวุธชั้นเลิศ!”
“ต่อให้ซุกซ่อนตบะได้ล้ำลึก อย่างมากก็แค่รวมลมปราณขั้นแปดเท่านั้น ส่วนอาวุธชั้นเลิศ…อานุภาพยิ่งมาก ข้อจำกัดในการใช้ตบะรวมลมปราณก็ยิ่งมีเยอะ”
“เหิงเอ๋อร์!” นัยน์ตาของผู้เฒ่ามีประกายวาบผ่าน มือขวายกขึ้นตบลงไปบนทะเลสาบเลือดข้างกาย ทะเลสาบพลันซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง และในทะเลสาบก็ค่อยๆ มีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สวมชุดคลุมยาวสีเลือดลอยขึ้นมา
ชายหนุ่มผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดา โครงหน้าเป็นเหลี่ยมมุมชัดเจน เวลานี้เปิดดวงตาขึ้นพรึ่บ เผยประกายสีเลือด ทำให้พลังอำนาจตลอดทั้งร่างเพิ่มพรวดพราดขึ้นในพริบตา อีกทั้งรอบกายเขายังมีผีร้ายสีเลือดเลือนรางปรากฏขึ้นมาอีกเก้าร่าง เปล่งเสียงแหบแห้งฟังดูดุร้ายไปทั่วสี่ทิศ
คนตระกูลลั่วเฉินรอบด้าน ยามมองชายหนุ่มผู้นี้ แต่ละคนล้วนมีสีหน้าฮึกเหิม ก้มหน้าลงคารวะอย่างพร้อมเพรียง
“เหิงเอ๋อร์ ตัวเจ้าเป็นนายน้อยของตระกูลลั่วเฉิน และนอกจากข้าแล้ว เจ้าก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด มีพลังรวมลมปราณขั้นเก้า…มากพอที่จะชนะภารกิจครั้งนี้ เจ้าพาคนออกไป จำต้อง…ฆ่าลูกศิษย์ฝ่ายนอกสามคนของสำนักธาราเทพให้หมด!” ขณะที่ผู้เฒ่ามองชายหนุ่ม นัยน์ตาเผยความชื่นชมและเมตตาอย่างที่เห็นได้น้อยครั้ง น้ำเสียงก็นุ่มนวลลงมาก
“หากพวกมันไม่ตาย ข้าจะไม่กลับมาเด็ดขาด” สายตาชายหนุ่มเย็นเยียบ ได้ยินคำสั่งก็พยักหน้ารับ กระโดดตัวบินขึ้นไป ภาพมายาสีเลือดเก้าร่างที่อยู่รอบกายเขาก็กลายมาเป็นหมอกสีเลือดอยู่ใต้เท้า ทำให้เขาบินทะยานออกไปจากทะเลสาบเลือด ลอยตัวอยู่กลางอากาศ หลังจากเลือกคนในตระกูลได้สิบคน คนทั้งสิบเอ็ดคนก็พุ่งจากไป
ไม่นาน ในที่พักของตระกูลลั่วเฉิน เงาทั้งสิบเอ็ดร่างก็คำรามออกมา เมื่อชายหนุ่มนามว่าเฉินเหิงผู้นั้นโบกมือ ใต้เท้าของทุกคนล้วนปรากฏหมอกสีเลือดพาทุกคนบินลอยไป
สิบเอ็ดคนนี้ นอกจากเฉินเหิงที่มีพลังรวมลมปราณขั้นเก้าแล้ว คนอื่นๆ ที่อ่อนแอที่สุดก็คือรวมลมปราณขั้นเจ็ด และมีห้าคนที่เหมือนเฉินเยว่ ต่างมีพลังรวมลมปราณขั้นแปด
กระบวนรบเช่นนี้คือพละกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลลั่วเฉินซึ่งสามารถเคลื่อนพลได้ยามนี้
และเวลาประมานหนึ่งก้านธูป พวกเฉินเหิงสิบเอ็ดคนก็ทะยานออกจากป่าของเทือกเขาลั่วซิง เมื่อปรากฏตัวก็มาถึงสถานที่ที่พวกเฉินเยว่สิ้นชีพ
มองเห็นศพสยดสยองขวัญ ทุกคนนอกจากเฉินเหิงล้วนหน้าเปลี่ยนสี
เฉินเหิงสีหน้าเย็นชา มองไปบนศพแต่ละร่างที่อยู่บนพื้น โดยเฉพาะมองเห็นคนในตระกูลหลายคนที่ถูกหักคอ นัยน์ตาก็เผยแสงอึมครึม
“พลังจากการฝึกฝนร่างกาย!”
เขาสะบัดร่างหนึ่งครั้งก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างศพของเฉินเยว่ ก้มหน้าลงมองอยู่ไม่กี่ชั่วลมหายใจก็คิดออก พลันยกมือขวาขึ้นกดลงไปบนพื้นดิน ดวงตาทั้งคู่ปิดลง ไม่นานดวงตาของเขาก็เบิกขึ้นอีกครั้ง
“น่าสนใจ มันคือคลื่นพลังที่เหลืออยู่ของลมปราณม่วงแปลงกระถาง…”
“นี่คือผู้ที่ฝึกอาคมและร่างกายพร้อมกัน มีพลังกายที่แข็งแกร่ง มีเวทคาถาที่อานุภาพน่าตกตะลึง มิน่าละถึงสามารถฆ่าพวกเฉินเยว่ได้”
“คนผู้นี้น่าจะเป็นหนึ่งในศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธาราเทพ ซ่างกวานเทียนโย่ว? หรือว่าลวี่เทียนเหล่ย?” นัยน์ตาเฉินเหิงปรากฏแววดุร้าย ในส่วนลึกของประกายตานั้นคือปณิธานในการรบที่เข้มข้น
“พวกเจ้าเลือกทิศทางในการตามหาคนละหนึ่งทิศ เมื่อเจอตัวพวกมันให้รีบส่งสัญญาณทันที!” เฉินเหิงลุกขึ้นยืน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา สิบคนที่อยู่รอบกายพากันก้มหน้ารับคำ แล้วจึงแยกย้ายกันไป ตามหาสุดกำลัง
“ขอบเขตของค่ายกลกว้างใหญ่ ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนย่อมออกไปไม่ได้ และพวกเจ้า…ก็หนีไม่รอด!” เฉินเหิงทำเสียงหึเย็นชา และเลือกทิศทางหนึ่งเหินทะยานออกไป
———