บทที่ 559 ฆ่าไม่ตาย
ทว่าขณะที่ป้ายศิลาถูกหงเฉินหนวี่ตบจนแตกกระจายนั้นก็คล้ายว่าได้ไปแตะต้องโดนผนึกบางอย่างเข้า มังกรแสงสีทองด้านบนที่กำลังสลายไปอย่างช้าๆ กลับเบิกตาทั้งคู่ขึ้น วินาทีที่มันลืมตา แสงที่ถูกสาดส่องออกมาจากรูเล็กๆ มากมายบนผนังก็เปลี่ยนแปลงทิศทางสาดส่องไปทั่วสุสานใต้ดินที่กำลังพังทลายอย่างรวดเร็ว
และเนื่องจากการเปลี่ยนทิศทางการสาดส่องของแสงในรูเล็กๆ มังกรแสงสีทองตัวนั้นจึงหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย พริบตาเดียวตลอดทั้งสุสานใต้ดินก็มีห้าแสงสิบสี แสงที่สาดส่องออกมาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ซึ่งในบรรดานั้นมีแสงไม่น้อยที่สาดเข้าหาหงเฉินหนวี่ ทำให้นางหน้าเปลี่ยนสีทันใด
ดูเหมือนว่าแสงนั้นจะมีฤทธิ์ในการกัดกร่อน อาภรณ์ของหงเฉินหนวี่จึงหลอมละลายอย่างรวดเร็วจนเผยให้เห็นว่าผิวที่ขาวนวลของนางเกิดเป็นจุดสีแดง จุดแดงนั้นกัดกร่อนผิวนางอย่างว่องไว จำเป็นต้องใช้ตบะมาแก้ไขเท่านั้นถึงจะได้ และอาวุธวิเศษทุกอย่างก็ล้วนมิอาจยับยั้งมัน อีกทั้งเมื่อหงเฉินหนวี่สะบัดปลายแขนเสื้อพยายามจะทำลายรูแสงเล็กๆ เหล่านั้น นางไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำได้ กลับยังดึงดูดให้แสงมากกว่าเดิมสาดส่องเข้ามาหา ทั้งหมดนี้ทำให้หงเฉินหนวี่ร้องอึกอักอยู่ในลำคอ ก่อนที่จะต้องหลบฉากอย่างรวดเร็ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน ไม่มีอารมณ์มามองเรือนกายอรชรของหงเฉินหนวี่ เขาสังเกตเห็นว่ามีแสงไม่น้อยสาดมาโดนตน แต่กลับแทบจะไม่สร้างบาดแผลใดๆ ให้กับตน…
“คำสาป นี่ก็คือคำสาป…แม้ว่าข้าจะลบทิ้งไปหนึ่งประโยค แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับหงเฉินหนวี่ นางต่างหากที่เป็นตัวการ จักรพรรดิขุยทรงพระปรีชา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าฮึกเหิม ในใจร้องสรรเสริญด้วยความลำพองใจ
แต่ยังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ดีใจนานเกินไปนัก หงเฉินหนวี่กลับแผ่ควันแดงออกมาทั่วร่างแล้วกระโจนเข้าหาเขา
ควันแดงกลุ่มนั้นเมื่อโดนแสงสาดส่องก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ทว่ายังคงช่วยค้ำประคองให้หงเฉินหนวี่พุ่งเข้ามาสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนได้!
ภาพนี้ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัว กรีดร้องเสียงแหลม
“จักรพรรดิขุยรุ่นที่สอง คำสาปแช่งนี้ของท่านยังไม่แรงพอนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยตำหนิเสียงสั่นอยู่ในใจ ระเบิดความเร็วออกอีกครั้ง คราวนี้เขาร่ายใช้ความเร็วเหนือกว่าปกติราวกับต้องการเผ่นหนีสุดชีวิต เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างของเขากลายมาเป็นภาพติดตา ขณะที่หงเฉินหนวี่เข้ามาใกล้ เขาก็เบี่ยงพ้นไปได้อย่างหวุดหวิด
มองดูเหมือนว่าหลบพ้น ทว่าในฐานะที่หงเฉินหนวี่เป็นคนฟ้า การลงมือของนางต่อให้เป็นเพียงแค่พลังที่แสดงออกมาก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งมีตบะยาอายุวัฒนะขั้นสมบูรณ์แบบจะต้านทานได้
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง นัยน์ตาเผยความสิ้นหวัง หากเขาหาทางออกไปจากที่นี่ไม่เจอ เขาต้องตายอยู่ในนี้แน่นอน!
“ความเร็วใช้ได้เลยนี่นา” หงเฉินหนวี่มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินพรวดออกมาหนึ่งก้าว ก้าวนี้คล้ายหดเล็กลงเหลือเพียงหนึ่งชุ่น ราวกับมาปรากฏอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนตรงๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนขนลุกขนชันไปทั้งร่าง ร้องโหยหวนพร้อมถอยกรูดออกห่างอีกครั้ง ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นสุสานใต้ดินก็โยกคลอนรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว ท่ามกลางการสั่นคลอนนี้รูปปั้นทุกชิ้นที่อยู่รอบด้านล้วนพังทลายลงมาหมด
และทันใดนั้นพลังนำส่งไร้รูปลักษณ์ระลอกหนึ่งก็แผ่ออกมาทั่วสุสานใต้ดิน ราวกับว่า…มีค่ายกลนำส่งค่ายหนึ่งกำลังถูกเปิดใช้!
ไม่เพียงแต่ในสุสานใต้ดินเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ บัดนี้สถานที่ประลองในเขาวงกตล้วนมีพลังนำส่งอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ราวกับว่ามันกำลังก่อตัว เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะถูกเปิดใช้จริงๆ
และหากถูกเปิดใช้เมื่อใดก็จะนำส่งทุกสิ่งที่อยู่ในนี้ให้ออกไปข้างนอก…
เห็นได้ชัดว่านี่…ก็คือทางออก!
สำหรับคนอื่นๆ ทางออกนี้คือหนทางที่จะได้รอดชีวิต ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วทางออกเช่นนี้เป็นราวกับหนทางนำไปสู่ความตาย เพราะเมื่อต้องเผชิญกับการลงมือประหัตประหารของหงเฉินหนวี่ เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถยืนหยัดไปจนกว่าค่ายกลนำส่งจะเปิดออก!
เมื่อพลังนำส่งนี้ปรากฏขึ้นก็ได้ไปรบกวนความว่างเปล่ารอบด้าน ทำให้การย่อระยะทางเหลือเพียงชุ่นของหงเฉินหนวี่ถูกรบกวน นางเองก็สัมผัสได้ว่ามีการเปิดใช้ค่ายกลนำส่งในสุสานใต้ดินแห่งนี้ นัยน์ตาจึงเผยการตัดสินใจเด็ดเดี่ยว แล้วจึงเดินเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุนอีกหนึ่งก้าว
เพียงแต่ว่าแสงที่สาดส่องมาสร้างผลกระทบให้กับนางไม่น้อย โดยเฉพาะจุดสีแดงที่อยู่บนร่างก็ยิ่งสร้างความปวดแปลบให้นางเป็นระยะจนจำต้องใช้ตบะส่วนหนึ่งไประงับมัน มิฉะนั้นหากปล่อยให้ลุกลามจะยิ่งสร้างผลกระทบที่ย่ำแย่อย่างถึงที่สุดให้กับนาง ยามนี้นางจึงจำต้องชะงักการแผ่ควันสีแดงเพื่อพุ่งเข้ามาเอาชีวิตอีกฝ่าย
ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ราวกับสัตว์ที่ติดกับ อาศัยโอกาสนี้เขารีบหยิบยาเทพสถิตออกมาอีกหลายเม็ดแล้วเอามาวางไว้ในปาก ก่อนจะถอยหนีไปอีกครั้ง ทว่าต่อให้ความเร็วของเขาจะมีมากแค่ไหนแต่เมื่อหงเฉินหนวี่ก้าวเข้ามาใกล้ก็ยังถือว่าช้าเกินไปอยู่ดี พริบตาเดียวหงเฉินหนวี่ก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ยกมือขวาขึ้นแล้วชี้มาที่เขา
การชี้ครั้งนี้มองดูเหมือนไม่มีอะไรมา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแฝงเร้นไว้ด้วยเจตจำนงแห่งการดับทำลาย นี่คือวิกฤตความเป็นความตายอย่างแท้จริง ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงก่ำราวกับจะปริแตก ช่วงเวลาคับขันเช่นนี้เขาพลันแผดเสียงร้องคำรามอย่างคนที่พร้อมทุ่มสุดตัว เขารู้ว่าตนมิอาจถอยหนีได้อีกแล้ว ยามนี้มีเพียงสู้ตายเท่านั้น!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจดี ความเป็นไปได้เดียวที่จะทำให้ตนรอดชีวิตได้ก็คือการถ่วงเวลา มีเพียงถ่วงเวลาไปจนถึงค่ายกลนำส่งถูกเปิดใช้เท่านั้น ชีวิตน้อยๆ ของป๋ายเสี่ยวฉุนเขาถึงอาจจะพอรักษาเอาไว้ได้
“ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องคำรามเดือดดาล
วิชาอมตะมิวางวายถูกร่ายใช้ทั้งหมดอย่างไม่มีกั๊ก หนังทองคงกระพัน เนื้อทองคงกระพัน เอ็นคงกระพันล้วนถูกร่ายใช้อย่างพร้อมเพรียงกัน มือขวาของเขายกขึ้น ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าหงเฉินหนวี่แล้วยื่นนิ้วทั้งคู่ออกไปข้างหน้าทันทีทันใด!
นั่นก็คือตรวนสลายลำคอของเขา
ท่ามกลางเสียงอึกทึก เสียงร้องหวีดโหยของป๋ายเสี่ยวฉุนดังไปรอบด้าน มือขวาของเขาถูกหงเฉินหนวี่คว้าเอาไว้ มุมปากของนางยกยิ้มดูแคลน ก่อนที่นางจะหักมือของเขาอย่างแรง!
เสียงกร๊อบดังลั่น นิ้วทั้งคู่บนมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกหักจนแตกทันที เมื่อนางสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พลังมหาศาลระลอกหนึ่งก็กระแทกลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ว่าวิชาอมตะมิวางวายของป๋ายเสี่ยวฉุนจะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าเมื่อถูกระงับตบะเช่นนี้ ทั่วร่างของเขาก็ยังเกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะปร๊ะที่เป็นเสียงกระดูกแตกหัก เสียงเนื้อหนังปริแตกดังไม่หยุด และวิชาอมตะมิวางวายของเขาก็ถูกโจมตีจนระเบิดกระจาย!
ป๋ายเสี่ยวฉุนบาดเจ็บสาหัสในชั่วพริบตา ร่างกระเด็นกระดอนออกไปราวว่าวที่สายป่านขาด
“เนื้อหนังหนาจริงๆ นี่ยังมีลมหายใจอยู่อีกรึ?” หงเฉินหนวี่หัวเราะเสียงเย็น ขยับร่างหนึ่งครั้งหมายจะดับพลังชีวิตส่วนสุดท้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องหวนไห้ รู้สึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองบาดเจ็บหนักมาก ไฟแห่งพลังชีวิตก็ใกล้จะมอดดับลงไปทุกที เมื่อร่างถูกกระแทกจนปลิวออกไป เขาก็กัดยาเทพสถิตทุกเม็ดที่อยู่ในปากจนแหลกละเอียดพร้อมกันทีเดียว
คลื่นพลังงานความร้อนระเบิดออกในร่างกายทันที หลังจากที่มันไหลวนไปทั่วร่าง บาดแผลของเขาก็ฟื้นตัวด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ วินาทีที่บาดแผลฟื้นตัวหงเฉินหนวี่ก็มาหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนเรียบร้อยแล้ว และนิ้วที่ชี้ขึ้นก็กำลังจะร่วงลงมา
ตบะตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันระเบิดออก ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำอีกทั้งหางตายังเป็นรอยปริแตกที่มีเลือดสดไหลซึม เขาคำรามกร้าวหนึ่งครั้ง ไอความเย็นในร่างปะทุออกมาหมดอย่างไม่มีเหลือ แม้แต่พลังวิญญาณของตัวเองเขาก็ยังถูกปลดปล่อยออกมาหมดอย่างไม่มีออม พริบตาเดียวไอความเย็นก็พวยพุ่งขึ้นรอบด้าน ภายใต้เสียงเปรี๊ยะๆ ตลอดทั้งสุสานใต้ดินก็กลายมเป็นโลกแห่งความเย็นไปทันที
ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่มีเวลาให้คิดมาก หมุนตัวได้ก็หมายจะเผ่นหนีไป
ทุกอย่างนี้พูดแล้วเหมือนยาว แต่ในความเป็นจริงแล้วเกิดขึ้นรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ไอความเย็นออกมา ดวงตานางหงส์ของหงเฉินหนวี่ก็เผยความเหยียดหยาม นางมองออกถึงความคิดที่หวังจะถ่วงเวลาของป่ายเสี่ยวฉุน แต่นางก็มีความมั่นใจมากพอว่าด้วยพลังคนฟ้าของตัวเอง หากยังปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถ่วงเวลาสำเร็จ ถ้าเช่นนั้นนางก็พร้อมจะเอาหัวโหม่งเสาให้ตายไปเลย
ยามนี้เมื่อเห็นว่าไอความเย็นลอยมาปะทะใบหน้า นิ้วที่ยกขึ้นของหงเฉินหนวี่ยังคงชี้ลงไปอย่างไม่มีลังเล เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง วินาทีที่ไอความเย็นรอบด้านมาปะทะกับร่างของหงเฉินหนวี่มันก็พลันแตกทลายลงไปทีละชั้น และนิ้วของนางก็คล้ายจะลอดทะลุความว่างเปล่ามาปรากฏอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
ขณะที่จะลงมือฆ่าเขาสิ้นซาก ทว่ายามนี้ควันสีแดงรอบกายนางกลับสลายหายไปอย่างรวดเร็ว แสงที่สาดส่องมาคมกริบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ บีบให้หงเฉินหนวี่จำต้องแบ่งสมาธิไปร่ายควันสีแดงอีกครั้ง และเมื่อการกัดกร่อนจากจุดสีแดงแผ่ขยายออกไป นางก็ต้องแบ่งตบะส่วนหนึ่งไปยับยั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ตบะที่สามารถดึงมาใช้สังหารป๋ายเสี่ยวฉุนได้ในยามนี้จึงเหลือเพียงแค่ประมาณสามสี่ส่วนเท่านั้น
มุมปากของป๋ายเสี่ยวฉุนเปรอะไปด้วยเลือด เนื่องจากมิอาจหลบเลี่ยงได้ เขาจึงร้องคำรามเดือดดาลแล้วกระตุ้นใช้ชนาเขย่าภูเขาอย่างเหี้ยมหาญ!
เสียงกัมปนาทดังสะเทือนเลือนลั่นปฐพี ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ร่างพุ่งกระโจนไปข้างหน้าอย่างแรงและกระแทกลงบนผนังอย่างจัง กระดูกทั่วร่างล้วนแตกร้าว ไฟแห่งพลังชีวิตส่ายไหวคล้ายจะมอดดับ ทว่าพริบตาเดียว เนื่องจากก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกินยาเทพสถิตเข้าไป คลื่นความร้อนในร่างจึงแผ่ขยายกว้างใหญ่ไพศาล ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บจึงฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งในเวลานี้
ชั่วขณะที่หงเฉินหนวี่เข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบี่ยงหลบอย่างว่องไว ท่าทางที่มีชีวิตชีวาปราดเปรียวประดุจพยัคฆ์และมังกรนั้นทำให้หงเฉินหนวี่ขมวดคิ้วเป็นครั้งแรก นางแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง เก็บเอาตบะและควันแดงที่ปล่อยไปยับยั้งจุดแดงกลับคืนมา ก่อนตะเงื้อมมือตบใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแรง!
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อตบเจ้าครั้งนี้แล้วเจ้าจะยังฟื้นตัวได้อีก!”
วินาทีที่ฝ่ามือนี้ร่วงลงมา มันได้แปลงมาเป็นตราประทับฝ่ามือขนาดใหญ่ยักษ์ที่กดทับเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกที่ที่ผ่านความว่างเปล่าบิดเบือน พลังคนฟ้าระลอกหนึ่งซึ่งดุเดือดยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัวระเบิดตูมออกมาจากในร่างของหงเฉินหนวี่
“นังเฒ่าหงเฉิน นายท่านป๋ายของเจ้าไม่ได้ตายง่ายขนาดนั้นหรอก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนดุดัน วินาทีที่ตราประทับรูปฝ่ามือเข้ามาใกล้ เขาก็พลันยกมือขวาขึ้น
ทันใดนั้นร่มราตรีนิรันดร์ก็เผยตัวพร้อมลายเส้นสีเงินที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง ร่มราตรีนิรันดร์ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกางออก และใบหน้าพิลึกพิลั่นที่อยู่บนร่มก็เกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย