บทที่ 560 นี่มันคือสัตว์อะไร
ยังไม่หยุดชะงัก หลังจากหยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ออกมาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยิบเอายันต์จำนวนนับไม่ถ้วนออกมาแปะไปทั่วร่าง ยามนี้ในสมองของเขาขาวโพลน สิ่งเดียวที่คิดได้คือต้องใช้วิธีการทั้งหมดถ่วงเวลาออกไป
และขณะที่ร่มราตรีนิรันดร์ถูกกางออก เสียงกัมปนาทก็ดังสะท้านฟ้า ตราประทับฝ่ามือของหงเฉินหนวี่พลันฟาดลงมาบนร่มราตรีนิรันดร์ ท่ามกลางเสียงดังอึกทึก ร่มราตรีนิรันดร์เกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ราวกับมิอาจทนรับได้ไหว ตัวร่มเกิดรอยปริแตก แม้แต่ใบหน้าผีก็ยังร้องโหยหวน คันจับร่มก็ยิ่งแตกร้าวราวกับว่าร่มทั้งคันกำลังจะหักท่อนเพราะถูกตบ!
ร่มถูกม้วนตลบจนกระเด็นออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือด ไม่มีเวลามามัวเสียดาย ได้แต่รีบเก็บร่มเข้าไปทันที เมื่อร่างถอยกรูดออกห่าง ยันต์เหล่านั้นก็ถูกเขากระตุ้นจนกลายมาเป็นม่านแสงที่น่าตกตะลึง ความหนาของแสงนี้มีมากเกินไปจนราวกับว่าตำหนักใต้ดินแห่งนี้ก็ยังมิอาจบรรจุได้ มันแผ่กระจายไปรอบด้านก่อนจะปะทะเข้ากับตราประทับฝ่ามือของหงเฉินหนวี่
ตูมๆๆ!
ยันต์แต่ละแผ่นแตกทลายอย่างรวดเร็ว ม่านแสงเองก็ดับสลายไปทีละชั้น ทว่าตราประทับฝ่ามือของหงเฉินหนวี่ก็มืดสลัวอย่างรวดเร็วเหมือนกัน และเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ เมื่อยันต์แผ่นสุดท้ายระเบิดออก ตราประทับรูปฝ่ามือของหงเฉินหนวี่ก็หดเล็กลงจนมืดมนอย่างถึงที่สุด พอกระแทกลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระอักเลือดสดพร้อมถอยกรูดออกห่าง พอคลื่นความร้อนของยาเทพสถิตที่อยู่ในร่างกายกวาดผ่าน บาดแผลทั้งหมดก็พลันฟื้นตัวกลับมา
ทั้งหมดนี้มองดูเหมือนเรียบง่าย ทว่าในความเป็นจริงแล้วมูลค่าของยันต์เหล่านั้นหากเปลี่ยนมาเป็นป๋ายหลินก็ยังต้องปวดใจด้วยความเสียดาย เพราะนี่คือการต้านทานที่ต้องใช้เงินกองโตมาแลก!
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดขาวราวกระดาษ ร่างของเขาถอยร่น ร่ายความเร็วสุดกำลังเพื่ออ้อมวนไปมาหมายถ่วงเวลา ปากก็คำรามเดือดดาลไม่หยุด
“หงเฉินหญิงต่ำช้า นายท่านป๋ายฆ่าได้ไม่ง่ายใช่ไหมล่ะ เจ้ารอนายท่านป๋ายก่อนเถอะ รอวันใดที่ข้าได้เป็นครึ่งเทพ ข้าจะกลับมาแก้แค้นเจ้า!”
“บัดซบ!!” คราวนี้หงเฉินหนวี่โกรธจริงๆ แล้ว นางลงมืออยู่หลายครั้งแต่กลับไม่สามารถสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนได้ เมื่อเห็นว่าการนำส่งรอบด้านมีการโคจรเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของหงเฉินหนวี่ก็เต็มไปด้วยไอสังหาร ควันสีแดงในร่างระเบิดออกมาอีกครั้งกลายมาเป็นลมพายุสีแดงลูกใหญ่ที่หมุนคว้างไปรอบด้าน ก่อนจะแทรกซอนเข้าไปในรูเล็กๆ บนผนังและไปอุดตันรูพวกนั้นโดยตรง!!
ต่อให้ควันสีแดงที่เข้าไปอยู่ในรูเล็กๆ จะสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าสำหรับหงเฉินหนวี่แล้ว นางต้องการเวลาแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจเท่านั้น ขอแค่อุดไม่ให้แสงที่ทำให้นางพรั่นพรึงพวกนี้สาดส่องออกมาได้ นางถึงจะสามารถเอาตบะมากกว่าเดิมมาปลิดชีพเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนที่เหมือนฆ่าไม่ตายผู้นี้!
อีกอย่างนางเองก็มองออกตั้งนานแล้วว่าลำแสงพวกนี้ส่งผลกระทบต่อป๋ายเสี่ยวฉุนน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่กลับมีพลังทำลายล้างสูงต่อตน นั่นจึงทำให้นางเข้าใจทันทีว่าตัวเองติดกับแผนชั่วร้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าให้แล้ว ตัวอักษรเล็กๆ ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลบทิ้งไปต้องเป็นคำเตือนที่สำคัญอย่างแน่นอน
ยามนี้เมื่อปิดรูเล็กๆ ที่ส่องแสงออกมาได้ ดวงตาทั้งคู่ของหงเฉินหนวี่ก็เปล่งวาบแล้วก้าวพรวดเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งก้าว
ตอนที่ก้าวนี้ของนางเหยียบลงพื้น ความว่างเปล่ารอบกายนางก็ยุบยวบคล้ายกลายเป็นปากขนาดใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งหมายจะเขมือบกลืนฟ้าดิน แรงดึงดูดระลอกหนึ่งถูกส่งออกมาทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลอยดิ่งเข้าหาปากใหญ่อย่างมิอาจควบคุมตัวเองได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนขวัญหนีกระเจิดกระเจิง ขณะที่ปากหวีดร้องมือทั้งคู่ก็ทำมุทราชี้ไปยังปากใหญ่น่าขนลุกนั้นด้วย
“เขตแดน!”
คำพูดเพิ่งดังออกมา พื้นดินตลอดทั้งตำหนักใต้ดินก็บิดเบือนอย่างรุนแรง ไอน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนระเหยขึ้นแล้วรวมตัวกันเป็นหนองน้ำแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว!
และในหนองน้ำแห่งนี้ก็แผ่ปราณที่น่าตะลึงออกมา ปราณนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความโบราณกาลที่ห่างไกล เมื่อมันกระจายออกไปก็คล้ายจะส่งผลกระทบต่อห้วงเวลา ทำให้พื้นที่ที่มีหนองน้ำราวกับกลายมาเป็นพื้นดินกว้างใหญ่ของยุคบรรพกาล!
ดวงตาหงเฉินหนวี่หดตัวเข้าหากันอย่างรุนแรง
และเวลานี้เอง เสียงบ้าคลั่งของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังออกมาอีกครั้ง
“ธารา!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนทุ่มสุดกำลังแล้ว เมื่อเสียงของเขาดังสะท้อน หนามแหลมที่ขึ้นเรียงกันเป็นตับราวเทือกเขาก็ผุดออกมาจากพื้นดินที่เป็นหนองน้ำ พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ตรงดิ่งเข้าหาหงเฉินหนวี่
เวลาเดียวกันนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันแล้วกระโดดผลุงขึ้นกลางอากาศพร้อมคำรามดังลั่น
“คาถาคนขุนเขา!”
ท่ามกลางเสียงกึกก้อง ทันใดนั้นร่างของเขาก็กลายมาเป็นมนุษย์หินที่สูงสิบจั้งตามหลังหนามแหลมของเขตแดนธาราที่แทงทะลุเข้าหาหงเฉินหนวี่
เมื่อเขตแดนธาราปรากฏตัว ดวงตาของหงเฉินหนวี่ก็เผยความแปลกใจ ทว่าไม่นานก็หัวเราะเสียงเย็น
“เป็นเวทคาถาที่ลึกลับน่าดู ไม่รู้ว่านี่คือสัตว์เทพพิทักษ์สำนักแห่งไหน น่าเสียดาย…เจ้ายังไม่สามารถเรียกให้มันออกมาได้ แต่ว่าเจ้าเองก็ไม่มีโอกาสแล้ว ข้าจะดับทำลายสัตว์ตัวนี้ก่อนแล้วค่อยสังหารเจ้า!” ระหว่างที่พูดมือขวาของหงเฉินหนวี่ก็ยกขึ้นทำมุทรา ทันใดนั้นหมอกควันสีเลือดก็ระเบิดออกมาจากกลางมือของนาง พริบตาเดียวหมอกควันนี้ก็กลายมาเป็นทวนยาวสีแดงที่ถูกนางคว้ามาไว้ในมือ ทว่านางไม่ได้แทงไปยังหนามใหญ่ยักษ์เหมือนยอดเขาที่ผุดขึ้นมา แต่ว่าแทงลงไปบนพื้นดิน…แทงลงไปในหนองน้ำที่อยู่ด้านล่างอย่างแรง
เสียงกัมปนาทดังสะเทือนฟ้า ทวนยาวสีแดงที่แทงทะลุพื้นดินลงไปยังหนองน้ำได้ลอดทะลุความว่างเปล่าและห้วงเวลาจนมาปรากฏอยู่ในโลกเบื้องใต้หนองน้ำ กลายมาเป็นทวนลำหนึ่งที่สะท้านสะเทือนฟ้าดินซึ่งโจมตีเข้าใส่สัตว์ร้ายในเขตแดนธาราที่แม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังมองไม่ออกถึงรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของมัน
เสียงร้องคำรามแหบโหยเกรี้ยวกราดพลันดังออกมาจากในหนองน้ำ ก่อนที่ทวนยาวสีแดงของหงเฉินหนวี่จะพังทลายลงไปทีละชุ่น แม้แต่ปากใหญ่น่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากเวทคาถาของนางก็ยังคล้ายถูกฉีกกระชากจนกลายมาเป็นเศษเล็กเศษน้อย ขณะเดียวกันในหนองน้ำบนพื้นดินก็มียอดเขาขนาดใหญ่ยักษ์อีกห้าลูกที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าภูเขาหนามแหลมลูกแรกผุดออกมา!!
ภูเขามหึมาทั้งห้าลูกนั้นไม่ได้ตั้งตระหง่าน แต่คดเคี้ยว เมื่อมองอย่างละเอียดจึงเห็นว่านั่นไม่ใช่ยอดเขา
แต่เป็นกรงเล็บของสัตว์ยักษ์ เพียงแต่ว่ามันใหญ่เกินไป ลำพังเพียงแค่เล็บมือก็เทียบเคียงได้กับภูเขาลูกหนึ่ง และเป็นเพราะเดือดดาลกับการกระทำของหงเฉินหนวี่จึงถึงขึ้นยื่นกรงเล็บนั้นออกมาจากในหนองน้ำ…
ทว่าตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนมีไม่มากพอให้ค้ำประคองมัน นาทีที่กรงเล็บจะยื่นออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระอักเลือดสด ร้องโหยหวนหนึ่งครั้ง ตบะและพลังชีวิตในร่างกายเกือบจะถูกดึงไปจนหมด เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าต่อให้ตัวเองถูกดูดพลังชีวิตจนกลายมาเป็นเพียงซากแห้งก็ยังไม่มากพอให้กรงเล็บที่ยื่นออกมานำมาใช้ได้…เขาตกใจจนจำต้องหยุดเวทลับของตัวเอง ทำให้เขตแดนธาราหายวับไปทันที…
หงเฉินหนวี่หน้าเปลี่ยนสี ร่างของนางส่ายไหวโซเซถอยหลังไปหลายก้าว ในสีหน้านั้นเผยให้เห็นถึงความตะลึงพรึงเพริดและตกใจ
“นี่คือสัตว์อะไร!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดขาวไม่ต่างกัน เขารู้ว่าเขตแดนธาราของตัวเองร้ายกาจอย่างมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงได้ถึงเพียงนี้ แค่คิดว่ากรงเล็บเดียวของสัตว์ยักษ์ก็แทบจะดูดเอาพลังชีวิตของตนไปหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัวสั่นเทิ้ม เขากังวลมากว่าหากวันใดใช้วิชานี้โดยไม่ระวัง ชีวิตน้อยๆ ของตนจะถูกสูบไปจนเกลี้ยง…
ที่เขายิ่งกลัดกลุ้มก็คือหงเฉินหนวี่ผู้นี้ประสาทกลับหรืออย่างไรถึงได้โจมตีสัตว์ยักษ์ตัวนั้น นางเป็นบ้าไปแล้วหรือ หากนางโจมตียอดเขาหนามแหลมนั่นตนก็ไม่เพียงแต่ไม่เป็นอะไร แถมหนามแหลมยังช่วยขัดขวางหงเฉินหนวี่ให้ตนได้ด้วย และจะยิ่งช่วยประสานงานกับคาถาคนขุนเขาได้ดียิ่งขึ้น
ทว่าตอนนี้เขตแดนธาราหายไปแล้ว มนุษย์หินสิบจั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลงออกมาจะถอยก็ไม่ได้จะบุกโจมตีก็ยากเย็น และเวลานี้เองควันแดงที่อุดรูแสงบนผนังรอบด้านเอาไว้ก็ได้สลายหายไป เส้นแสงมากมายจึงสาดส่องออกมาอย่างรวดเร็ว และมีจำนวนไม่น้อยที่ตรงเข้ามาหาหงเฉินหนวี่
เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันคำรามกร้าว รู้ว่าเวลาของคาถาคนขุนเขามีจำกัด เขาเลยทิ้งตัวลงดิ่งราวหินอุกกาบาตหมายจะกระแทกเข้าใส่หงเฉินหนวี่!
หงเฉินหนวี่เองก็คืนสติจากความตกตะลึงในตัวของสัตว์ยักษ์ เมื่อเห็นว่าลำแสงรอบด้านสาดส่องเข้ามาใกล้ ในใจนางเจ็บแค้นเกรี้ยวกราด หากไม่เป็นเพราะแสงเหล่านี้สาดมาโดน การสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนมีหรือจะยากลำบากเช่นนี้!
แสงพวกนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก จุดแดงบนร่างยิ่งทำให้นางเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จำเป็นต้องคอยยับยั้งอยู่ตลอดเวลา หากนางผ่อนตบะให้คลายออกเมื่อใด เกรงว่าคงจะทิ้งภัยร้ายที่มิอาจแก้ไขได้ไว้ในร่าง
อีกอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็หนังหนาหนังทน บนร่างมีของแปลกประหลาดผสมปนเปกันอยู่ไม่น้อย ถึงกับยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ หงเฉินหนวี่หัวเราะเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ไอสังหารในดวงตาก็เพิ่มพูนขึ้นมาอีกครั้ง
“เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว!” หงเฉินหนวี่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นนางก็หยุดยับยั้งจุดแดงที่อยู่ในร่าง ทั้งยังเลิกแผ่ควันแดงออกมา หลังจากยกมือขวาขึ้นทำมุทรา ควันแดงกลางมือของนางก็มารวมตัวกันกลายมาเป็นทวนยาวสีแดงอีกครั้ง ก่อนที่จะถูกนางขว้างใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแรง
ทวนนี้ต่างหากถึงจะเป็นอานุภาพคนฟ้าที่แท้จริงของนาง!
และวินาทีที่นางร่ายใช้ทวนยาวสีแดง ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่กลางอากาศพลันมีลูกธนูดอกหนึ่งปรากฏขึ้นมา นั่นคือ…ลูกธนูวิญญาณไฟที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบเอ็ดครั้ง ชั่วขณะที่ลูกธนูเผยกาย เขาก็ใช้ร่างกายตัวเองเป็นคันธนู ใช้แขนเป็นสาย เหนี่ยวเต็มแรงเกิดแล้วดีดให้ลูกธนูแล่นฉิวเข้าหาหงเฉินหนวี่
ลูกธนูวิญญาณไฟแล่นฉิวพร้อมเสียงแหวกอากาศ ลายเส้นสีทองบนนั้นมองดูน่าครั่นคร้าม และพริบตาเดียวก็ชนปะทะเข้ากับทวนยาวสีแดง ตามมาด้วยเสียงสะเทือนเลือนลั่นปฐพีที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้อีกหลายเท่า
ทวนยาวสีแดงบุกตะลุยทุกสิ่งกีดขวางให้พังราบเป็นหน้ากลอง เดิมทีลูกธนูวิญญาณไฟมิอาจสกัดกั้นเอาไว้ได้ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับแผดเสียงคำรามอย่างไม่มีลังเล
“ระเบิด!”