บทที่ 576 มองเจ้าแล้วจะทำไม
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่รัว พลันยกมือขวาขึ้นคว้าสถูปสั่งสมวิญญาณหลังนั้น ทันใดนั้นสถูปสั่งสมวิญญาณนี้ก็หลุดจากมือของผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนผู้นั้นตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
หลังจากถูกป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าเอาไว้ได้แล้ว พลังจิตของเขาก็ไหลตามมือขวาเข้าไปผสานรวมอยู่ในสถูปสั่งสมวิญญาณแล้วว่ายวนอยู่ด้านในหนึ่งรอบ นั่นทำให้เขาสัมผัสได้ทันทีว่าข้างในนั้นมีพลังห้วงมิติที่เข้มข้นแฝงเร้นอยู่ อีกทั้งความพิเศษของพลังห้วงมิตินี้ก็มีประโยชน์ในการช่วยบำรุงวิญญาณด้วย!
ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมั่นใจในการคาดเดาก่อนหน้านี้ของตัวเองทันที นัยน์ตาของเขาจึงโชนแสงลุกเรือง
“เป็นอย่างที่ข้าเดาเอาไว้จริงๆ ด้วย ประโยชน์ของสถูปสั่งสมวิญญาณเหมือนกับถุงเก็บของ!”
“เพียงแต่ว่าเอามาใช้เก็บวิญญาณพยาบาทโดยเฉพาะเท่านั้น เมื่อวิญญาณพยาบาทอยู่ในถุงเก็บของจะสูญเสียความมีชีวิตชีวา อีกทั้งเวลานานเข้าก็จะสลายหายไป แต่เมื่ออยู่ในสถูปสั่งสมวิญญาณนี้กลับยังคงรักษาสภาพดั้งเดิมให้สดใหม่อยู่ตลอดเวลา!”
“และที่การหลอมไฟสิบเอ็ดสีของข้าล้มเหลวก็ไม่ได้เป็นเพราะข้าไม่เชี่ยวชาญมากพอ ไม่ใช่เพราะเกิดปัญหาระหว่างขั้นตอนการหลอม แต่เป็นเพราะ…วิญญาณที่ใช้หลอมไฟสิบเอ็ดสีขาดความมีชีวิตชีวาไป!!”
“แม้ว่าความมีชีวิตชีวาที่ว่านี้จะขาดไปไม่มาก แต่อย่างไรซะก่อนหน้านี้เมื่อเก็บไว้ในถุงเก็บของ มองดูเหมือนขาดไปแค่เสี้ยวเดียว
แต่พอวิญญาณพยาบาททุกดวงขาดกันไปคนละเสี้ยว รวมๆ กันแล้วจึงกลายมาเป็นระดับที่ทำให้เกิดความไม่มั่นคง!”
“พอความไม่มั่นคงนี้ขยายใหญ่ไปเรื่อยๆ ในขณะที่ทำการหลอม สุดท้ายจึงกลายมาเป็น…การระเบิดตัวเอง!!”
“เมื่อเป็นเช่นนี้หากเอาวิญญาณพยาบาทพวกนั้นใส่ไว้ในสถูปสั่งสมวิญญาณ แบบนี้ตอนที่ข้าหลอมไฟก็สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้และมีความมั่นใจว่าจะหลอมไฟสิบเอ็ดสีออกมาได้…สำเร็จ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ในใจก็ตื่นเต้นฮึกเหิมอย่างไร้คำบรรยาย ปรารถนาที่จะลองทำมันซะเดี๋ยวนี้เลย
บัดนี้โจวอีซิงและผู้ฝึกวิญญาณสองคนที่มองเห็นท่าทางเหมือนตื่นเต้นอย่างมากของป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็มีความคิดแตกต่างกันออกไป โจวอีซิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ทว่าผู้ฝึกวิญญาณสองคนนั้นกลับดีใจอย่างยิ่งยวด รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนที่ปรมาจารย์ท่านนี้จะยอมทำตามคำขอร้องของพวกเขา
“ปรมาจารย์ วิญญาณพยาบาทที่อยู่ในสถูปสั่งสมวิญญาณ นอกจากใช้หลอมยาวิญญาณแล้ว ส่วนที่เหลือถือเป็นคำขอโทษกับเรื่องคราวก่อนจากพวกข้า ขอปรมาจารย์โปรดรับไว้” พอผู้ฝึกวิญญาณสองคนหันมามองหน้ากันแล้วจึงถือโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อนโดยการประสานมือคารวะด้วยความนอบน้อมอีกครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจโจวอีซิงและผู้ฝึกวิญญาณสองคนที่อยู่ข้างกาย หลังจากกวาดพลังจิตมองไปในสถูปสั่งสมวิญญาณ เขาก็เห็นว่าด้านในนั้นมีวิญญาณพยาบาทอยู่เป็นจำนวนมาก
วิญญาณพยาบาทเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อยทีเดียว นี่จึงทำให้มองออกถึงความร้อนใจและความจริงใจของเผ่าภูเขาดำนี้
“เอาเถอะ ข้าจะช่วยพวกเจ้าหลอม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์เบิกบาน รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ดังนั้นจึงพยักหน้ารับ ทว่าเพิ่งจะพูดมาได้ครึ่งเดียว ยังไม่ทันเอ่ยจบ หน้าเขาก็พลันกระตุก ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกล
ไม่นานบนท้องฟ้าห่างไปไกลก็มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา ความเร็วของสายรุ้งเส้นยาวนี้มีมากถึงขีดสุดคล้ายแหวกอากาศด้วยเสียงกึกก้องมาตลอดทาง กำลังตรงดิ่งเข้าหาชนเผ่าภูเขาดำแห่งนี้
ยังไม่ทันเข้ามาใกล้ก็มีปราณรวมโอสถสมบูรณ์แบบระลอกหนึ่งระเบิดออกมาจากบนสายรุ้งเส้นยาว ทำให้สายรุ้งเปล่งแสงพริบพราวเจิดจ้า เมื่ออยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอัสดงในเวลานี้จึงเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
สายรุ้งนี้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลอดทั้งเผ่าภูเขาดำทันที ชนพื้นเมืองจำนวนไม่น้อยอ้าปากหอบหายใจ พากันเงยหน้ามองท้องฟ้า แม้แต่ผู้ฝึกวิญญาณสองคนที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังหน้าเปลี่ยนสี เงยหน้าขึ้นมองอย่างพร้อมเพรียงกัน
โจวอีซิงเองก็อึ้งตะลึง ตอนที่มองไปม่านตาทั้งคู่ของเขาหดตัวเข้าหากัน เห็นได้ชัดว่ามองออกว่าตบะของคนที่มาเยือนนั้นไม่ธรรมดา เพราะแทบจะไม่ต่างไปจากตอนที่เขาอยู่ในสภาวะพรั่งพร้อมสูงสุด
และชั่วขณะที่ทุกคนมองไป รุ้งยาวเส้นนั้นก็แหวกอากาศมาปรากฏอยู่เหนือเผ่าภูเขาดำ ก่อนที่รุ้งยาวจะหายไปและเผยให้เห็นเงาร่างหนึ่ง
นั่นคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ผมยาวประบ่า หน้าตาธรรมดา แต่กลับมีปราณดุร้ายเด่นชัดเป็นพิเศษ ตลอดทั้งร่างของเขามีควันสีดำล้อมวน และบางครั้งควันเหล่านั้นก็รวมตัวกันเป็นใบหน้ามากมายคล้ายวิญญาณพยาบาทหลายดวงที่กำลังร้องคำรามไร้เสียงไปทั่วทิศ
อานุภาพสยบก็ยิ่งแผ่ออกมาจากร่างของคนผู้นี้ นั่นไม่ใช่คลื่นพลังจิตวิญญาณของผู้ฝึกวิญญาณแล้ว แต่เป็นของ…อาจารย์หลอมวิญญาณ!!
ขณะที่พลังอำนาจของเขาสยบไปแปดทิศ ชายวัยกลางคนทำตัวสูงส่งอยู่เหนือผู้ใด เขาเหยียดดวงตาทั้งคู่มองต่ำลงมาเบื้องล่าง กวาดผ่านร่างของโจวอีซิงมาหยุดอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
เมื่อมองเห็นสถูปสั่งสมวิญญาณในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาเขาก็ฉายแสงเย็นเยียบ ก่อนจะหันมามองผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนของเผ่าภูเขาดำสองคนนั้น
“หัวหน้าเผ่าภูเขาดำ จงออกมาพบข้า!” เสียงของเขาเย็นชาประหนึ่งเป็นนายของทุกคน ราวกับว่าการที่เขามาเยือนเผ่าภูเขาดำถือว่าเป็นบุญของสถานที่แห่งนี้มากแล้ว
แทบจะเวลาเดียวกับที่เขาเอ่ยขึ้นมา ผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนสองคนที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายใจถี่ขึ้นด้วยความตื่นตระหนก รีบเดินขึ้นหน้าออกมาแล้วก้มตัวคารวะต่ำๆ
“คารวะปรมาจารย์หลอมวิญญาณ”
“ข้าคือหลี่เฟิง ยารวมวิญญาณระดับล่างห้าร้อยส่วนของเผ่าภูเขาดำพวกเจ้า ข้าผู้แซ่หลี่รับไว้แล้ว ยังไม่รีบส่งสถูปวิญญาณมาอีก!” น้ำเสียงของอาจารย์หลอมวิญญาณคนนี้เรียบเฉย แต่ความหมายในคำพูดกลับหนักแน่นไม่เว้นที่ว่างให้ปฏิเสธ หากพูดออกมาแล้วคนอื่นๆ ต้องทำตามอย่างเดียวเท่านั้น หาไม่แล้วจะเป็นการจุดไฟโทสะของเขาให้ลุกโชน
ในความเป็นจริงที่เขามาที่นี่ก็เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่ผ่านทางมาได้ยินข่าวคราวที่เผ่าภูเขาดำปล่อยออกไปข้างนอกว่าจะใช้สถูปสั่งสมวิญญาณแลกมาด้วยยารวมวิญญาณระดับล่าง
สำหรับสถูปสั่งสมวิญญาณนั้น หลี่เฟิงผู้นี้หมายมาดว่าจะต้องได้มาครอบครอง เพราะอย่างไรแล้ววัตถุชิ้นนี้อาจไม่ถือว่าสำคัญเท่าไหร่นักสำหรับตระกูลผู้หลอมวิญญาณ แต่หลี่เฟิงไม่ใช่คนของตระกูลผู้หลอมวิญญาณ เขาคือคนที่ฝึกตนด้วยตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้หากนำยารวมวิญญาณระดับล่างห้าร้อยส่วนมาแลกกับสถูปวิญญาณจึงถือว่าคุ้มค่ามากสำหรับเขา
นั่นถึงทำให้เขารีบมาที่นี่ทันทีที่ได้รับข่าว แต่นาทีที่มาถึงกลับมองเห็นสถูปสั่งสมวิญญาณในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่จำเป็นต้องให้เขาคาดเดาอะไรมากก็รู้ได้ว่าตัวเองมาช้าไปก้าวหนึ่ง…
กระนั้นสำหรับเขาแล้วนี่ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เขามีความมั่นใจว่าในเมื่อตนมาแล้ว สถูปสั่งสมวิญญาณนี้ก็ต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนกะพริบตาปริบๆ อยู่ตรงนั้น ไม่ได้พูดอะไร
ผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนสองคนของเผ่าภูเขาดำยืนเซ่อไปทันที
หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยู่ที่นี่ การมาถึงของหลี่เฟิงย่อมทำให้พวกเขาปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งแน่นอน ทว่าตอนนี้มีอาจารย์หลอมวิญญาณปรากฏตัวพร้อมกันสองคน นี่จึงทำให้พวกเขาคิดไม่ตก เพราะไม่ว่าคนไหนพวกเขาก็ไม่อยากล่วงเกิน
“เรื่องนี้…ไต้เท้า ปรมาจารย์ท่านนี้รับปากคำขอร้องของพวกเราแล้ว คือว่า…” คนทั้งสองลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง
แทบจะขณะเดียวกับที่พวกเขาเอ่ยจบ
ดวงตาที่มองตรงมายังป๋ายเสี่ยวฉุนของหลี่เฟิงที่อยู่กลางอากาศก็ฉายความดุดันราวกับกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่ง
“เรื่องของที่นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าแล้ว สถูปวิญญาณนี้ เป็นของข้าแล้ว เอามา” เขาถลึงตา มองดูแล้วน่ากลัวมาก น้ำเสียงฟังเหมือนราบเรียบ
แต่ความโอหังในคำพูดกลับเด่นชัด โดยเฉพาะประกายแสงเย็นเยียบในดวงตาที่ราวกับว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนกล้าปฏิเสธ สิ่งที่รอเขาอยู่ย่อมเป็นความเกรี้ยวกราดประหนึ่งอสนีพิโรธแน่นอน
อีกทั้งท่ามกลางแสงเย็นเยียบนั้นยังมีความดูหมิ่นแฝงอยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่าความดูหมิ่นนี้มาจากความมั่นใจตัวเอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พอใจขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าแค่ตัวเองไม่รังแกคนอื่นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่นี่อยู่ๆ กลับมีคนแล่นเข้ามารังแกตัวเองถึงที่ ยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าสถูปสั่งสมวิญญาณนี้จะมีประโยชน์ต่อตัวเองอย่างมากในภายภาคหน้าด้วยแล้ว มีหรือที่เขาจะยอมสละทิ้งง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงถลึงตาใส่หลี่เฟิงกลับคืนไป
“เจ้ามองใครห๊ะ!” ดวงตาหลี่เฟิงมีแสงเย็นเยียบวาบผ่าน
“มองเจ้าแล้วจะทำไม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะเบ็งกลับคอเป็นเอ็น พูดกับตัวเองในใจว่าเรื่องแข่งขันทางสายตาเช่นนี้ ชีวิตนี้ตนไม่เคยกลัวใครมาก่อน! คิดมาถึงตรงนี้เขาก็พลันบังเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ดวงตาจึงวาววับ ถลึงตามองกลับไปอย่างดุดัน
ผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนสองคนของเผ่าภูเขาดำยิ่งคิดไม่ตกเข้าไปใหญ่ พวกเขามองหลี่เฟิง แล้วก็หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน คนทั้งสองถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่พูดอะไรอีก เรื่องในวันนี้การตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่พวกเขาอีกแล้ว สรุปคือไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะได้ทำการแลกเปลี่ยนกับใคร ขอแค่ทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขาได้ จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น
และเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ หลี่เฟิงก็พลันยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความเย็นชา ความเหยียดหยามในดวงตาก็ยิ่งชัดเจน เขาคร้านที่จะพูดกับป๋ายเสี่ยวฉุนให้มากความ มือขวาจึงพลันยกมือ แล้วทันใดนั้นกลางฝ่ามือของเขาก็ปรากฏ…ไฟสิบสีหนึ่งกลุ่ม!!
เมื่อไฟสิบสีนี้ปรากฏขึ้นมา ท้องฟ้ายามสนธยาก็พลันเปลี่ยนสี วินาทีที่พวกชนพื้นเมืองในเผ่าภูเขาดำมองเห็นไฟสิบสีกลุ่มนี้ ทุกคนต่างก็ใจสะท้าน เสียงร้องอุทานด้วยความตะลึงดังเอ็ดอึงขึ้นมาทันที
“ไฟสิบสี!!”
“สวรรค์ เขาคือ…เขาคืออาจารย์หลอมวิญญาณระดับสามขั้นสูงสุด!!” พวกชนพื้นเมืองพากันตัวสั่น ก่อนจะนั่งคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน
ไม่เพียงแต่ชนพื้นเมืองเท่านั้นที่ตะลึงพรึงเพริด แม้แต่ผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนของเผ่าภูเขาดำสองคนนั้นก็ยังหน้าเปลี่ยนสี ในสมองเกิดเสียงดังอื้ออึง ขณะเดียวกันก็ยิ่งรีบเดินออกมาทำความเคารพอย่างนอบน้อมด้วยใจที่สั่นสะท้านถึงขีดสุด
“ระดับสามขั้นสูงสุดหรือ อาจารย์หลอมวิญญาณเช่นนี้มีให้เห็นไม่มาก ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็สามารถเป็นขั้นสีเหลืองได้แล้ว!!”
“อาจารย์หลอมวิญญาณเช่นนี้ยอมมาหลอมยาให้พวกเรา นี่ถือเป็นวาสนาของเผ่าภูเขาดำเราแท้ๆ!!”
“หลี่เฟิงผู้นี้ก็เป็นระดับสามขั้นสูงสุดเหมือนกันหรือ!!! ดีๆๆ หากเป็นแบบนี้ก็มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว!” โจวอีซิงที่อยู่ด้านข้างฮึกเหิมอยู่ในใจ รอช่วงเวลาที่ตัวเองจะได้ซ้ำเติมคนอื่น เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลี่เฟิงที่อยู่กลางอากาศผู้นั้นจะเล่นงานเจ้าคนแซ่ป๋ายผู้นี้ให้ตายไปเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่แน่ว่าตนอาจจะหลุดพ้นก็เป็นได้
“รีบตีกันเร็ว ตีให้ตายไปคนหนึ่งจะได้น้อยไปคนหนึ่ง!”
เมื่อเห็นว่าทุกคนมีท่าทีเช่นนี้ ในใจหลี่เฟิงก็ฮึกเหิม อันที่จริงเขาเองก็เพิ่งจะหลอมไฟสิบสีออกมาได้เมื่อไม่นานมานี้ มันทำให้เขาผยองลำพองตนมากเหมือนกัน ความรู้สึกที่ถือไฟสิบสีแล้วคนแปดทิศพุ่งเข้ามากราบกรานเช่นนี้ทำให้เขาดื่มด่ำอย่างมาก ความดูหมิ่นในดวงตาจึงยิ่งเพิ่มพูน ขณะที่กวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนก็แค่นเสียงเย็นไปด้วย
“ไสหัวไปซะ!”