บทที่ 577 รังแกคนอื่น
หลี่เฟิงมีความมั่นใจเช่นนี้จริงๆ เขาเองก็มองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีตบะไม่ธรรมดา แต่เขาไม่ยี่หระ เพราะเดิมทีพลังที่แฝงเร้นอยู่ในไฟสิบสีก็มากพอให้เขามองเมินคนมากมายที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันได้แล้ว
อีกอย่างในฐานะที่เป็นอาจารย์หลอมวิญญาณ วิธีการต่อสู้ส่วนใหญ่จึงมีความเกี่ยวข้องกับวิญญาณ เขาเชื่อว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอาจารย์หลอมวิญญาณระดับเดียวกับตน ตนก็ต้องเอาชนะได้แน่นอน
ขณะที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา หลี่เฟิงก็หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ เขาเชื่อว่าขอแค่เป็นคนมีญาณทัศนะรู้ตัวเองดี อีกฝ่ายย่อมไม่กล้ามาแหยมกับตนเป็นแน่
ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วฉับ มองหลี่เฟิงที่วางท่าโอหัง ฟังเสียงอุทานฮือฮาที่ดังมาจากรอบด้าน เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายโอ้อวดตนมากเกินไป การกระทำที่หยิบเอาไฟสิบสีขึ้นมาเช่นนี้เท่ากับแย่งความมีหน้ามีตาของตนไปชัดๆ
“หลี่เฟิงผู้นี้มีตบะรวมโอสถ แต่กลับมีนิสัยเช่นนี้ นักพรตอย่างพวกเราเน้นย้ำในเรื่องการถ่อมตัวเจียมตน จะต้องไม่วางท่าโอ้อวดให้มากเกินพอดีสิถึงจะถูก แถมต่อให้ขี้โอ่จริงก็ไม่ควรจะโอ่ได้ไร้ระดับเช่นนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัวอยู่ในใจ รู้สึกว่าเมื่อเทียบกับตนแล้ว หลี่เฟิงยังห่างชั้นกับตนอีกไกลโข
กำลังครุ่นคิดว่าตนควรจะตบสักฉาดเพื่อดับชีพคนผู้นี้ดี หรือว่าควรจะใช้การกระทำบอกกับหลี่เฟิงผู้นั้นว่าทำอย่างไรถึงจะเรียกว่ามีหน้ามีตาดี
ขณะที่เขากำลังขบคิด ผู้ฝึกวิญญาณสองคนของเผ่าภูเขาดำกลับหันมาคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน ออกปากเสนออย่างละมุนละม่อม หมายจะให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบสถูปสั่งสมวิญญาณไปให้อีกฝ่าย เพราะอย่างไรแล้วในสายตาพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นเพียงอาจารย์หลอมวิญญาณระดับสามที่หลอมไฟเจ็ดสีได้เท่านั้น
ทว่าหลี่เฟิงผู้นั้นกลับเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณระดับสามขั้นสูงสุดที่หลอมไฟสิบสีออกมาได้ เมื่อเทียบกันแล้วก็วิเคราะห์ได้ทันทีว่าใครสูงใครต่ำ
แม้ว่าจะให้คำเสนอแนะ แต่คนทั้งสองก็จำต้องใช้น้ำเสียงละมุนละไม เพราะพวกเขาเองก็ไม่ได้อยากล่วงเกินป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจคำพูดของคนทั้งสอง กลับเป็นโจวอีซิงที่ยืนอยู่ข้างกันเสียอีกที่ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะกระซิบเบาๆ อยู่ข้างหูป๋ายเสี่ยวฉุน
“คนผู้นี้ไม่ควรมีเรื่องด้วยนะ ไต้เท้า พวกเรายอมแพ้ไปเถอะ…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตากลับไปทันใด ในใจไม่สบอารมณ์ เขารู้สึกว่าตัวเองมีความจำเป็นมากที่จะต้องให้หลี่เฟิงผู้นั้นเข้าใจ แล้วก็ยิ่งต้องให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่เข้าใจว่าอะไรถึงจะเรียกว่ามีหน้ามีตาอย่างแท้จริง!
“ข้าเกลียดคนที่มาโอ้อวดตนต่อหน้าข้าที่สุดเลยล่ะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคาง นัยน์ตาเผยความหยามหยัน มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง กลางมือเขาก็มีไฟกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาทันที
ไฟนี้ ก็คือไฟเจ็ดสี!
นาทีที่ไฟเจ็ดสีถูกหยิบออกมา พวกชนพื้นเมืองที่อยู่รอบๆ มีสีหน้าเหยเก ผู้ฝึกวิญญาณสองคนของเผ่าภูเขาดำก็ไม่ต่างกัน ส่วนหลี่เฟิงที่อยู่กลางอากาศถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่เจียมตัว” หลี่เฟิงเชิดคางขึ้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงโอหัง
“หลี่เฟิง อยู่ในแดนทุรกันดารของพวกเรา ไม่ว่าเจ้าจะเจอกับอาจารย์หลอมวิญญาณคนใดก็ไม่ควรพูดคำว่าไม่เจียมตัวกับเขา” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเนิบนาบ ประโยคนี้ดังออกมา ความสูงส่งลึกลับสุดจะหยั่งก็พลันเผยออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเห็นได้ชัด
ประกอบกับที่ยามนี้ผมยาวของเขาปลิวไสว อาภรณ์โบกสะบัด ก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนดูเหมือนลอยตัวขึ้นมาจากพื้นดิน และเสียงของเขาก็คล้ายจะแฝงเร้นไว้ด้วยความมากประสบการณ์ที่มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง พอประโยคนี้ดังสะท้อนก้องอยู่ทั่วฟ้าดินก็ราวกับมีทั้งกลิ่นอายของความปลงอนิจจัง มีทั้งการย้อนรำลึกถึงอดีตวัยเยาว์ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ตอนที่ทุกคนมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็ต้องใจสั่นอย่างอดไม่ได้
“เพราะเจ้าไม่มีทางรู้เลยว่า ที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าจะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ได้ถึงระดับใดกันแน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนโคลงศีรษะ ระหว่างที่พูดมือซ้ายของเขาก็โบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นในสถูปสั่งสมวิญญาณก็มีวิญญาณพยาบาทจำนวนมากคำรามอู้ออกมา
วิญญาณพวกนี้เพิ่งจะปรากฏตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขว้างไฟเจ็ดสีที่อยู่ในมือไปด้านนอกด้วยท่าทางที่ราวกับไม่แยแสสิ่งใด เมื่อปล่อยมือ ทันใดนั้นไฟเจ็ดสีก็กลายมาเป็นทะเลเพลิงที่แผ่ขยายออกไปรอบด้าน ปกคลุมวิญญาณพยาบาทเหล่านั้นไว้จนหมด
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป พริบตาเดียว
เมื่อมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนหุบกำเข้าหากัน ทะเลเพลิงนั้นก็ส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นแล้วพุ่งกลับมาอยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง กลายมาเป็นกลุ่มไฟที่สีของมัน…เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งสี!!
กลายมาเป็นไฟแปดสี!!
ภาพนี้ทำให้ชนพื้นเมืองทุกคนที่อยู่รอบด้านเบิกตากว้าง
“ไฟแปดสี! นี่…นี่คือการหลอมไฟแปดสีหรือ!!”
“แค่โบกมือ เจ็ดสีกลายมาเป็นแปดสี นี่…นี่…”
ขณะที่ชนพื้นเมืองเหล่านี้กำลังอึ้งงัน ผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนสองคนก็ใจสั่นรัวเหมือนกัน พวกเขาเคยเห็นอาจารย์หลอมวิญญาณหลอมไฟมาก่อน
แต่กลับไม่เคยเห็นใครเป็นแบบป๋ายเสี่ยวฉุนที่หลอมไฟเจ็ดสีให้กลายมาเป็นไฟแปดสีได้อย่างง่ายดายประหนึ่งสายน้ำและก้อนเมฆที่ไหลล่องลอยเช่นนี้
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่อึ้งงัน หลี่เฟิงที่อยู่กลางอากาศก็มีสภาพไม่ต่างกัน ต่อให้เป็นเขาเอง เวลาที่หลอมไฟแปดสีก็ยากที่จะทำได้ถึงระดับนี้ ในใจเริ่มเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี แต่เขากลับไม่เปิดเผยออกมาทางสีหน้า ทั้งยังหัวเราะเสียงเย็น
“ก็แค่ชำนาญเท่านั้น เจ้าคงจมอยู่ในขั้นการหลอมไฟแปดสีมานานมากแล้วสินะ แต่แล้วจะอย่างไรเล่า เมื่อมาอยู่ต่อหน้าข้า เจ้าก็ยังไม่มีคุณสมบัติมากพออยู่ดี!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองหลี่เฟิง คางของเขาเชิดขึ้นน้อยๆ ทว่านัยน์ตากลับเรียบเฉย ทั้งยังเอ่ยเสียงเนิบนาบ
“หากไฟแปดสียังไม่พอ แล้วไฟเก้าสีล่ะ?” เมื่อมือของป๋ายเสี่ยวฉุนแบออก ไฟแปดสีในมือของเขาก็แลบพรึ่บออกมา ก่อนจะขยายกลายมาเป็นทะเลเพลิงอีกครั้ง ขณะเดียวกันในสถูปสั่งสมวิญญาณก็มีวิญญาณพยาบาทมากกว่าเดิมบินว่อนไปทั่วทิศ แต่พริบตาเดียวก็ถูกไฟแปดสีนั้นกลืนกิน
มองดูเหมือนทุกอย่างเสร็จสิ้นในชั่วพริบตา ทว่าในขั้นตอนนี้ กฎเกณฑ์ที่วิญญาณถูกเขมือบกลืนผสานรวมกลับไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นคว้าหมับอีกครั้ง ทะเลเพลิงผืนนี้ก็ม้วนตลบเข้ามารวมตัวกันอยู่บนฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนทันทีทันใด ซึ่งบัดนี้สายตาของทุกคนต่างก็จ้องเป๋งมาที่มือขวาของเขา
เมื่อมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนแบออกช้าๆ ด้านในนั้นก็มีไฟกลุ่มหนึ่งลุกโชนขึ้นมา สีทั้งหมดมี…เก้าสี!!
“ไฟเก้าสี!!” ชนพื้นเมืองที่อยู่รอบด้านไม่อึ้งค้างอีกต่อไป แต่พากันอ้าปากหอบหายใจ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องอุทาน
ส่วนผู้ฝึกวิญญาณสองคนนั้นก็แทบตาถลนออกมานอกเบ้า ลมหายใจหอบหนัก เมื่อมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน จิตวิญญาณของพวกเขาสั่นสะเทือนตูมตามดังสะท้านฟ้าดิน
หลี่เฟิงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง จ้องเขม็งไปที่เปลวเพลิงกลางฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุน
ในสมองเกิดเสียงดังอึงอล ความสบายและผ่อนคลายในการหลอมไฟเก้าสีของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนหลอมไฟเก้าสีออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้
เรื่องแบบนี้อยู่เหนือการคาดเดาของเขา ในความรู้สึกของเขา ต่อให้เป็นเขาเอง การหลอมไฟเก้าสีก็ยังจำเป็นต้องปิดด่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อทำจิตใจให้สงบแล้วถึงจะเริ่มหลอมได้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จไปเสียทุกครั้ง
“นี่มันเป็นไปไม่ได้…” ลมหายใจของหลี่เฟิงพลันวุ่นวาย รู้สึกว่าทั้งหมดนี้เหลือเชื่อเกินไป
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ความยากลำบากในสายตาของเจ้า ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเช่นเดียวกันในสายตาคนอื่น ก็แค่ไฟเก้าสีเท่านั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัวเบาๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่มือขวาจะโบกสะบัดอีกครั้ง เมื่อวิญญาณพยาบาทจำนวนมากในสถูปสั่งสมวิญญาณบินออกมา ทุกคนที่อยู่ในรัศมีร้อยลี้ต่างก็พากันถอยหลังกรูด ไฟเก้าสีที่พวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้าพลันระเบิดตูมออกมาจากกลางมือของป๋ายเสี่ยวฉุน
ไฟนี้เมื่อมองไกลๆ ก็ยังน่ากริ่งเกรงถึงขีดสุด ขณะที่แผ่ขยายนี้มันก็ตรงเข้าไปผสานรวมกับพวกวิญญาณพยาบาทอย่างรวดเร็ว และเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ เมื่อวิญญาณพยาบาททั้งหมดถูกผสานรวมไปแล้ว มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกขึ้นแล้วกำเข้าหากันแน่น
วินาทีที่เขากำมือขวาเข้าหากันราวกับควบคุมเปลวไฟนั้น ทะเลเพลิงไฟเก้าสีที่ลุกโชนอยู่ทั่วด้านก็ม้วนตลบเข้ามา ก่อนจะหายวับไปในกำมือของป๋ายเสี่ยวฉุน
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้จิตวิญญาณของทุกคนเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในสายตาของพวกเขาประหนึ่งเจ้าแห่งเปลวเพลิง ราวกับว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเขา ไฟทุกชนิดบนโลกใบนี้ก็ล้วนยอมศิโรราบให้!
“ต่อให้เป็นไฟสิบสีแล้วอย่างไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มอ่อน เมื่อแบมือออก กลางฝ่ามือของเขาก็มีกลุ่มไฟที่…ทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี ทำให้ฟ้าดินสว่างพร่างพราว ทำให้เมฆจากแปดทิศกลิ้งซัดตลบ สีของมันมีทั้งหมด…สิบสี!
แม้ว่าไฟนี้จะเป็นไฟสิบสี ทว่ากลับมีชีวิตชีวามากกว่า ขณะที่ลุกไหม้ก็ปล่อยคลื่นความร้อนที่ทำให้รอบด้านบิดเบือนราวกับกำลังเผาไหม้ความว่างเปล่า!
ทุกคนที่อยู่รอบด้านถึงขั้นมิอาจทนรับได้ไหวจนจำต้องถอยห่างออกไปอีกครั้ง สายตาที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริดสุดขีด
ในมือของหลี่เฟิงก็มีไฟสิบสีเหมือนกัน ทว่าเมื่อเทียบกับไฟสิบสีของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วกลับดูมืดสลัวกว่าไม่น้อย แม้ต่างก็เป็นไฟสิบสี ทว่ากลับต่างกันโข!
เมื่อไฟสิบสีปรากฏออกมา เสียงร้องอุทานฮือฮาก็ระเบ็งเซ็งแซ่ ชนพื้นเมืองแต่ละคนถูกการกระทำของป๋ายเสี่ยวเขย่าคลอนจิตใจ เมื่อหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกสยบขวัญสั่นประสาทไปเรียบร้อยแล้ว
“ระดับสามขั้นสูงสุด!!”
“สวรรค์ ไม่นึกเลยว่าปรมาจารย์ป๋าย…ก็เป็นระดับสามขั้นสูงสุดเหมือนกัน!”
ผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนสองคนมองตาค้างราวกับคนเห็นผีไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะหลอมไฟสิบสีออกมาได้ อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าคุณภาพยังเหนือกว่าของหลี่เฟิงมากนัก
หลี่เฟิงที่อยู่กลางอากาศตัวสั่นเทา หน้าเปลี่ยนสี ชาไปยันปลายเส้นผม เขาจ้องเขม็งมาที่ไฟกลางมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจถูกเขย่าคลอนจนเหลือเพียงความว่างเปล่าขาวโพลน
“เป็นไปไม่ได้ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…” เขามิอาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้ เมื่อนาทีก่อนตนยังอยู่สูงส่งเกินผู้ใด ทว่านาทีถัดมาคนที่อยู่เบื้องหน้ากลับยิ่งใหญ่จนขยับขึ้นมาสูงส่งทัดเทียมกับตน หรืออาจจะสูงกว่าด้วยซ้ำ
แม้แต่โจวอีซิงเองก็ยังสูดลมหายใจเฮือกใหญ่
เขาเป็นคนเดียวในที่นี้ที่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถหลอมไฟสิบสีออกมาได้ ทว่าพอเห็นไฟสิบสีที่อยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เขาก็ยังใจเต้นกระหน่ำอย่างมิอาจห้ามได้
“นี่…นี่ยังคือไฟสิบสีอยู่หรือ ข้าไม่เคยเห็นไฟสิบสีที่ไหนยิ่งใหญ่ได้ถึงระดับนี้มาก่อน…” ตอนที่โจวอีซิงหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาของเขาก็เผยความหวาดกลัว เขาจำได้ว่าไฟสิบสีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมออกมาให้เห็นก่อนหน้านี้ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตปกติ แต่ตอนนี้ไฟสิบสีนี่…กลับน่าครั่นคร้ามอย่างมากเสียแล้ว