Skip to content

A Will Eternal 6

บทที่ 6 พลังวิญญาณขึ้นสมอง

ด้านล่างยอดเขาที่สาม เสียงร้องโหยหวนของป๋ายเสี่ยวฉุนเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ ดังสะท้อนกลับไปมาไม่หยุด ดึงดูดสายตาประหลาดใจจากพวกนักการนับไม่ถ้วน สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนที่สวมเสื้อหนังหลายชั้น แบกหม้อสีดำใบใหญ่ไว้ข้างหลัง กำลังพาร่างกลมดิกวิ่งห้อตะบึงไปตามทางเส้นเล็กๆ ของเขตงานนักการที่ตีนเขาอย่างสุดฝีเท้า

ถึงขั้นที่ว่าหากมองไกลๆ อาจจะมองเห็นร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ที่แน่ๆ คือสามารถมองเห็นหม้อใบใหญ่สีดำเหมือนแมลงเต่าทองที่กำลังวิ่งทะยานอยู่บนพื้นดิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนแขวนมีดหั่นผักไว้อีกเจ็ดแปดเล่ม ขณะที่เขาวิ่งห้อมันก็กระทบกันส่งเสียงดังเคร้งคร้างตามมา

“เขาจะฆ่าข้า ช่วยด้วย ข้ายังไม่อยากตาย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนวิ่งไปพลางร้องตะโกน ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเร็ว สวีเป่าไฉที่อยู่ด้านหลังเขาหน้าเขียว ดวงตาปรากฏความโหดเหี้ยม ทั้งร้อนใจและโมโห

ตลอดทางที่วิ่งไล่ป๋ายเสี่ยวฉุนมา ดึงดูดพวกนักการที่อยู่รอบๆ จำนวนมาก สวีเป่าไฉกังวลว่าจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้ควบคุม ในใจจึงเริ่มอยู่ไม่สุข

“เลิกร้องสักที ปัดโธ่เว้ย เบาเสียงหน่อย เจ้าจะร้องอะไรนักหนา หุบปาก!” สวีไฉเป่าแผดเสียงก้อง กัดปากเค้นฟัน มือทั้งสองทำมุทรา กระบี่ไม้ที่อยู่ข้างกายก็เปล่งแสงวาบขึ้นมาในทันที ความเร็วเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน ห้อตะบึงไปหาป๋ายเสี่ยวฉุนที่นำอยู่ข้างหน้า

เสียง ‘ปั่ก!’ ดังขึ้นหนึ่งที กระบี่ไม้ลอยไปกระแทกหม้อที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแบกไว้ด้านหลังโดยตรง ขณะเดียวกันกับที่เสียงกระแทกลอยดังมาให้ได้ยิน ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่เป็นอะไร ยังคงวิ่งห้อต่อไป

สวีเป่าไฉกัดฟันกรอด หม้อใบใหญ่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแบกไว้ด้านหลังซึ่งเห็นอยู่ข้างหน้าตอนนี้ บดบังร่างกายของเขาไปซะครึ่ง ไม่มีช่องให้ลงมือ แต่ก็ยังไล่ตามต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้

สองคน คนหนึ่งอยู่หลัง คนหนึ่งอยู่หน้า วิ่งห้ออยู่ในเขตงานนักการไม่หยุดพัก

“เจ้าบ้านี่แบกหม้อแล้วยังวิ่งได้เร็วขนาดนี้อีก!” สวีเป่าไฉหอบแฮกๆ เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนวิ่งไปไกลจนแทบจะมองไม่เห็นเงาแล้ว ยิ่งไล่ตามก็ยิ่งฮึดฮัดขัดใจ ด้วยการบำเพ็ญตบะจนถึงการรวมลมปราณขั้นที่สองของเขา นี่ก็เอาพลังทั้งหมดที่มีออกมาใช้แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับเหมือนกระต่ายที่ถูกเหยียบหาง ตนเองจะไล่ตามยังไงก็ตามไม่ทัน

และที่ยิ่งน่าโมโหก็คือ ตัวเขาเองเหนื่อยจนจะตายอยู่แล้ว แต่ก็ยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ เสียงร้องของเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้ดังดีไม่มีตก ร้องดังอย่างกับหมูถูกเชือดก็ไม่ปาน

ชั่วพริบตาเดียวป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นทางเส้นเล็กของฝ่ายครัวไฟอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาเผยความตื่นเต้น ความรู้สึกเหมือนมองเห็นบ้านของตัวเองแทบจะทำให้เขาน้ำตาไหลพราก

“ศิษย์พี่ช่วยด้วย เขาจะฆ่าข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเสียงดัง วิ่งตรงดิ่งกลับเข้ามาในฝ่ายครัวไฟอย่างรวดเร็ว พวกจางต้าพั่งได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนนั้นต่างพากันอึ้งงัน รีบออกมาทันที

“ศิษย์พี่ช่วยข้าด้วย สวีเป่าไฉจะฆ่าข้า ชีวิตน้อยๆ ของข้าเกือบจะหายไปซะแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบไปหลบอยู่ด้านหลังของจางต้าพั่ง

“สวีเป่าไฉ?” จางต้าพั่งได้ยินอย่างนั้นแววตาก็เปล่งประกายดุดัน มองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน กำลังจะเอ่ยปากพูด ถึงเพิ่งมองเห็นเงาร่างของสวีเป่าไฉจากที่ไกลๆ กำลังวิ่งมาด้วยอาการหอบฮัก

ในเวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สังเกตเห็นร่างของสวีเป่าไฉเช่นกัน จึงแปลกใจอย่างมาก

“เอ๊ะ ทำไมเขาถึงวิ่งช้าขนาดนั้นล่ะ”

จางต้าพั่งก้มลงมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที แล้วก็มองสวีเป่าไฉที่เพิ่งจะมาถึงพร้อมอาการเหนื่อยหอบอีกหนึ่งที เนื้อบนใบหน้ากระเพื่อมหนึ่งครั้ง

ไม่ง่ายเลยกว่าที่สวีเป่าไฉจะไล่ตามมาถึงที่นี่ได้ เพิ่งจะเข้ามาใกล้หน่อยก็ได้ยินคำพูดประหลาดใจของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างประตูฝ่ายครัวไฟแว่วมาแต่ไกล พอเสียงพูดนี้ลอยมากระทบหู เขาก็รู้สึกแต่เพียงความโมโหโกรธาที่จุกแน่นในหน้าอกกำลังจะระเบิดออกมา คำรามเสียงดังหนึ่งครั้ง มือขวาสะบัดไปด้านข้าง กระบี่ข้างกายเขาก็แผดเสียงก้องออกมา พุ่งตรงเข้าไปปักในต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ

เสียงสวบ! ดังขึ้นหนึ่งที ต้นไม้สั่นไหว ปรากฏเป็นโพรงทะลุผ่านลำต้นออกไป

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าและข้ามิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้!” ดวงตาทั้งคู่ของสวีเป่าไฉเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย จ้องเขม็งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็มองไปที่ร่างกายมโหฬารของจางต้าพั่ง หมุนตัวเดินจากไปด้วยความเคียดแค้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจเต้นโครมคราม มองไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่ถูกแทงทะลุต้นนั้นหนึ่งที แล้วก็มองไปยังสวีเป่าไฉที่หุนหันพลุ่งพล่าน พยายามกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก ความกระวนกระวายใจเพิ่มระดับขึ้นมา

จางต้าพั่งมองแผ่นหลังของสวีเป่าไฉ นัยน์ตามีความเย็นชาชั่วร้ายวาบผ่าน หันกลับมาตบไหล่ของป๋ายเสี่ยวฉุน

“ศิษย์น้องเก้าไม่ต้องกลัว ถึงแม้ว่าสวีเป่าไฉคนนี้จะมีเบื้องหลังเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าเขายังกล้ามาอีก ศิษย์พี่อย่างพวกเราจะหักขาเขาทิ้งข้างหนึ่งเอง!” พูดมาถึงตรงนี้ จางต้าพั่งก็เปลี่ยนเรื่อง

“แต่ว่าศิษย์น้องเก้า ช่วงนี้ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปนอกฝ่ายจะดีกว่า ดูเจ้าสิ ผอมขนาดนี้ ศิษย์พี่จะบำรุงให้เจ้าเอง อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันงานฉลองวันเกิดของท่านผู้เฒ่าจางพอดี”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตายังคงมองไปที่โพรงบนต้นไม้ซึ่งถูกสวีเป่าไฉแทงทะลุผ่าน

จนกระทั่งตามพวกศิษย์พี่ทั้งหลายกลับเข้ามาในครัวไฟ มาอยู่ในห้องของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่ตรงนั้น ในใจยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สงบสุข กระบี่ไม้ของอีกฝ่ายถึงขั้นที่ว่าสามารถแทงทะลุต้นไม้ให้เป็นโพรงได้ หากเปลี่ยนมาเป็นร่างกายตนเอง จะยิ่งไม่เท่ากับต้องตายศพไม่ครบถ้วนหรอกหรือ

“ไม่ได้การล่ะ นอกจากว่าข้าจะไม่ออกจากครัวไฟไปตลอดชีวิต ไม่เช่นนั้นถ้าออกไป เขามาดักรอข้าจะทำยังไงล่ะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำยังไงก็มิอาจสลัดสายตาอาฆาตแค้นรุนแรงที่สวีไฉเป่าทิ้งไว้ก่อนจากไปให้พ้นจากสมองได้

“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อเป็นอมตะ จะตายไม่ได้…” กระวนกระวายใจเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย ทำให้เส้นเลือดฝอยในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา หลังจากเงียบไปพักใหญ่ เขาก็กัดฟันอย่างแรง

“แม่งเอ้ย สู้โว้ย ข้าสู้ตายขึ้นมาแม้แต่ตัวเองยังกลัวตัวเองเลย!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนแดงก่ำ นิสัยของเขาจะพูดให้แม่นยำกว่าคำว่ากลัวตาย ก็คือการขาดความรู้สึกปลอดภัยอย่างรุนแรง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นการกระตุ้นเขาอย่างใหญ่หลวง ทำให้ความดื้อรั้นที่มีอยู่ในนิสัยเขาถูกปลุกเร้าให้ตื่นขึ้นมา

“ข้าจะบำเพ็ญตบะ ข้าจะต้องแข็งแกร่ง!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว หยิบเอาตำราไม้ไผ่ของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางออกมาในทันที ดูภาพที่สองแล้วเริ่มฝึกฝนด้วยดวงตาแดงก่ำ

ถึงแม้เขาจะกลัวตาย แต่กลับเป็นคนมีใจเด็ดเดี่ยว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถยืนหยัดจุดธูปสิบสามครั้งมาได้ถึงสามปีทั้งๆ ที่ทุกครั้งที่จุดก็กังวลว่าจะถูกฟ้าผ่า

ในเวลานี้เกิดความแน่วแน่ขึ้นมา ทำท่าตามภาพที่สอง ยืนหยัดหนักแน่น ซึ่งปกติแล้วภาพที่สองจะยืนหยัดทำได้ประมาณลมหายใจครั้งที่สิบเท่านั้น แต่ครั้งนี้ความตั้งมั่นทำให้เขาทำต่อมาได้ถึงลมหายใจครั้งที่สิบห้า

ต่อให้ร่างกายจะเจ็บปวด เหงื่อเม็ดกลมหยดลงมาจากหน้าผากเม็ดแล้วเม็ดเล่า ความแน่วแน่ในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่เคยลดลง จนกระทั่งยืนหยัดมาได้ถึงลมหายใจครั้งที่ยี่สิบ ครั้งที่สามสิบ สายธารลมปราณเล็กๆ ในร่างกายเพิ่มพรวดขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน และตาเขาก็เริ่มพร่ามัว ครู่หนึ่งถึงได้หอบหายใจหนักๆ แต่แค่ผ่อนคลายชั่วครู่ ก็เริ่มฝึกฝนใหม่อีกครั้ง

คืนแรกผ่านไปโดยไร้เสียงใด วันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่…ติดต่อกันจนถึงวันที่สิบห้า ป๋ายเสี่ยวฉุนนอกจากกินดื่มขับถ่ายแล้วก็ไม่เคยออกมานอกห้องอีกเลย ความจำเจเช่นนี้ สำหรับคนที่เพิ่งบำเพ็ญตบะแล้วถือว่ายากที่จะยืนหยัดทำต่อไปได้ แต่เขากลับไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะล้มเลิก

พวกจางต้าพั่งเองก็ตกตะลึงไปกับการฝึกบำเพ็ญตบะของป๋ายเสี่ยวฉุน ต้องรู้ว่าการฝึกฝนวิชาพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ในด้านหลักการจะเรียนรู้ได้ง่าย แต่การตั้งท่าของแต่ละขั้นเมื่อทำนานวันเข้า จะเกิดความเจ็บปวดรุนแรงซึ่งยากจะบรรยาย จำเป็นต้องมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่จึงจะสามารถยืนหยัดตลอดไปได้ โดยปกติแล้วพวกนักการของสำนักนานๆ ทีถึงจะฝึกกันสักครั้งเท่านั้น

ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกฝนติดต่อกันมาครึ่งเดือนแล้ว พวกจางต้าพั่งพากันแวะเวียนมาหา มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่แตกต่างไปจากคนในความทรงจำของพวกเขาตลอดหลายเดือนมานี้อย่างสิ้นเชิง

เสื้อผ้าของเขายับย่น ผมเพ้ายุ่งเหยิง ดวงตาทั้งคู่มีแต่เส้นเลือดฝอย ทั้งเนื้อทั้งตัวดูกระเซอะกระเซิง แต่กลับตั้งใจฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ไม่เคยหยุดพัก

ถึงกระทั่งที่ว่าร่างกายของเขาเองก็ผ่ายผอมลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด ส่วนความปราดเปรียวและความน่าเกรงขาม ก็เพิ่มขึ้นมาเกินครึ่งอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบของขั้นที่หนึ่งในส่วนของการรวมลมปราณได้อย่างไร้ขีดจำกัด

แทบจะเป็นการใช้วิธีสุดโต่งอย่างหนึ่งซึ่งกลั่นดิบเอาของวิเศษที่กองสะสมอยู่ในไขมันออกมาฝึกฝนให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ทำให้รูปร่างแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่ไม่น้อย

“ศิษย์น้องเก้า พักสักหน่อยเถอะ เจ้าฝึกฝนข้ามวันข้ามคืนติดกันมาครึ่งเดือนแล้วนะ” พวกจางต้าพั่งรีบพูดเกลี้ยกล่อม แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นแววเด็ดเดี่ยวจากดวงตาบนใบหน้าที่เงยขึ้นมาของป๋ายเสี่ยวฉุน ความแน่วแน่นั้นทำให้พวกจางต้าพั่งถึงกับจิตใจสะท้านไหว

เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฝึกฝนมาได้หนึ่งเดือนเต็มแล้ว หนึ่งเดือนมานี้ความบ้าคลั่งของเขาทำให้พวกจางต้าพั่งตกตะลึง ถ้าเอ่ยตามคำพูดของจางต้าพั่งก็คือ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้กำลังฝึกบำเพ็ญตบะ แต่กำลังเอาชีวิตมาล้อเล่น

ระยะเวลาในการฝึกภาพที่สองก็ผ่านไปด้วยการฝึกเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน และในที่สุดก็ทะลายฝ่ามาได้ถึงลมหายใจที่หนึ่งร้อย เมื่อถึงลมหายใจที่หนึ่งร้อยห้าสิบกว่า พลังวิญญาณในร่างของเขาไม่ใช่แค่ธารสายเล็กอีกต่อไป แต่ขยายใหญ่ขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งเดือน พวกจางต้าพั่งล้วนพากันตื่นตระหนก กลัวว่าวันใดวันหนึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนจะเล่นกับชีวิตตนเองจนตายไปทั้งอย่างนั้น และขณะที่กำลังวางแผนกันว่าจะแอบไปกำจัดสวีเป่าไฉ เสียงสะเทือนเลือนลั่นก็ดังลอดออกมาจากในห้องของป๋ายเสี่ยวฉุน

สิ่งที่ตามมาหลังการสะท้อนกลับของเสียง คือแรงดันวิญญาณจากการรวมลมปราณขั้นที่สองได้ระเบิดออกมาจากจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ กระจายเป็นวงกว้างออกไปภายในรัศมีสิบกว่าจั้ง ทำให้พวกจางต้าพั่งที่กำลังทำอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นมองในทันที ทุกคนล้วนเผยสีหน้าตื้นตันใจ

“ศิษย์น้องเล็กฝ่าด่านได้แล้ว!”

“การรวมลมปราณขั้นที่สอง ถึงแม้ว่าฝ่ายครัวไฟของพวกเราจะมีการเพิ่มมื้ออาหารไม่จำกัดเวลา แต่ระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปี ผู้ที่ฝึกได้ถึงขั้นที่สองของการรวมลมปราณก็มีให้เห็นน้อยนัก”

“ปีนั้นที่ข้าฝึกถึงขั้นสองของการรวมลมปราณ ใช้เวลาหนึ่งปีเต็ม…” ขณะที่พวกจางต้าพั่งกำลังทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง ประตูกระท่อมของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปิดออกดังโครม ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เนื้อตัวสกปรกมอมแมม แต่ในดวงตากลับเป็นประกายแจ่มใส เดินก้าวยาวๆ ออกมา

พวกจางต้าพั่งกำลังจะเดินเข้าไปหาเพื่อทักทาย แต่กลับเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดร่าง เอนตัวไปพิงบนกำแพงรั้วของลานครัวไฟอย่างพอดิบพอดี มือทั้งสองข้างไพล่หลังยืนอยู่ตรงนั้น เงยหน้าแหงนมองไปยังที่ไกลๆ สีหน้าเหมือนยอดฝีมือที่กำลังเบื่อหน่าย

“เขายืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น? ท่าทางแปลกๆ นะ…”

“นี่ศิษย์น้องเล็ก…ธาตุไฟแตกซ่านแล้วหรือไง?” พวกจางต้าพั่งมองหน้าสบตากัน

ขณะที่ทุกคนประหลาดใจกับท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุน หูก็ได้ยินเสียงที่จงใจวางมาดเป็นผู้อาวุโสของป๋ายเสี่ยวฉุนดังมาจากกำแพงรั้ว

“สวีเป่าไฉเป็นพวกโอหังอวดดีอย่างถึงที่สุดในฝ่ายงานนักการของสำนักธาราเทพ ชื่อเสียงชั่วร้ายเลื่องลือ ใต้หล้านี้ไม่มีใครไม่รู้จัก บำเพ็ญตบะมาได้ถึงขั้นที่สองของการรวมลมปราณซึ่งเป็นที่น่าตกตะลึง ส่วนข้าเองก็ได้ขั้นที่สองของการรวมลมปราณเช่นกัน การต่อสู้ของข้ากับเขาในครั้งนี้ พละกำลังถือว่าสูสีกับศัตรู แม้ว่าจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้ขจรไกล สะท้านสะเทือนไปทั้งสำนักได้ แต่ก็ต้องสูญเสียเลือดเนื้อ บาดเจ็บล้มตายกันอย่างแน่นอน…ไม่ได้ การต่อสู้ครั้งนี้สำคัญยิ่งนัก ข้ายังคงต้องบำเพ็ญตบะต่อไป!”

พูดจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทอดสายตามองไปไกลอย่างลุ่มลึกหนึ่งที สะบัดปลายเสื้อแขนสั้นเสร็จก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เสียงโครมดังตามมาหลังประตูห้องปิดลง พวกจางต้าพั่งพากันกลืนน้ำลาย เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้าสลับกันไปมา เงียบไปครู่ใหญ่ เฮยซานพั่งก็ถามออกมาหนึ่งประโยคด้วยความไม่แน่ใจ

“นี่พวกเราเอาอะไรผิดสำแดงให้ศิษย์น้องกินหรือเปล่า?”

“จบกัน จบกัน ศิษย์น้องพลังวิญญาณขึ้นสมอง ฝึกฝนจนเป็นบ้าไปแล้ว…พวกเราอย่าไปให้เขาขวางหูขวางตาเชียว!” หวงเอ้อพั่งพึมพำอยู่กับตัวเองสักพักก็พูดออกมาด้วยความมั่นใจ

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version