Skip to content

A Will Eternal 7

บทที่ 7 กระดองเต่ายอมรับผู้เป็นนาย

วันต่อมา เมื่อไหร่ที่พวกจางต้าพั่งมองไปทางกระท่อมของป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนล้วนระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกฝนจนฝ่าไปถึงขั้นที่สองของการรวมลมปราณได้ และหลังจากที่ออกมาพูดพึมพำอยู่กับตัวเองข้างนอกครั้งนั้นแล้ว การฝึกวิชาในห้องของเขาก็เริ่มขึ้นต่อเนื่องอีกครั้ง

ในห้องพัก ป๋ายเสี่ยวฉุนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากออก ร่างกายเปลือยเปล่า ข่มกลั้นความเจ็บปวด กัดฟันพยายามตั้งท่าตามท่วงท่าของภาพที่สาม

ลมปราณในร่างกายไม่ใช่สายธารรินไหลอีกต่อไปแล้ว แต่ใกล้จะกลายเป็นแม่น้ำสายเล็กหนึ่งสายไหลรินอยู่ในร่างกายของเขา ทุกครั้งที่ไหลครบเต็มหนึ่งรอบการโคจร ร่างกายของเขาจะมีเสียงขลุกขลักดังลอดออกมา รูปร่างที่แต่เดิมกลมดิก ในเวลานี้ผอมลงอย่างถึงขีดสุด ถึงขนาดที่ว่าผอมยิ่งกว่าตอนที่เพิ่งมาอยู่ฝ่ายครัวไฟอีกเท่าตัว

แต่กลับเหมือนมีพละกำลังแฝงฝังอยู่ในร่างกายของเขา จากการยืนหยัดในการฝึกฝน ผิวหนังตลอดร่างอันผ่ายผอมของเขาคล้ายกับกำลังสั่นระริกอยู่น้อยๆ หากตั้งใจฟัง จะสามารถได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นเขาดังแว่วๆ ออกมาสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องนี้ด้วย

พลังวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มารวมตัวกันอยู่ในร่างกายของเขาอย่างไม่หยุดพัก ความรู้สึกที่ว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นทุกเวลาแบบนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งมีแรงผลักดันมากขึ้น จนกระทั่งผ่านไปอีกหลายวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่าง ความเจ็บปวดแสบร้อนชนิดนี้เพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้ามากมายมหาศาล จนเขาจำเป็นต้องล้มเลิกความตั้งใจ

หอบหายใจหนักๆ ในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนมีแต่เส้นเลือดฝอย เขารู้สึกอย่างรุนแรงว่าตนเองแทบจะประคองร่างไม่ไหวอีกต่อไป ถึงแม้ว่าขณะที่ฝึกฝนเขาจะซึบซับพลังฟ้าดินจากรอบทิศมาได้เอง แต่เห็นได้ชัดว่ามันตามการย่อยสลายของร่างกายไม่ทัน อีกทั้งการเพิ่มมื้ออาหารของฝ่ายครัวไฟก็ต้องดูที่โชค ไม่ได้มีทุกวัน

เพราะจะว่าไปแล้วเวลาคนอื่นฝึกพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางนี้ ส่วนใหญ่นานวันถึงจะฝึกสักครั้งหนึ่ง ต่อให้เร่งเวลาให้เร็ว อย่างมากที่สุดก็คือฝึกวันละครั้งเท่านั้น ส่วนเขาฝึกทุกคืนทุกวันทุกเวลาแบบนี้ อย่าว่าแต่พวกจางต้าพั่งเท่านั้นที่ตกตะลึงพรึงเพริด หากศิษย์ในฝ่ายของสำนักรู้เข้า ก็ต้องอ้าปากค้างกันไปเหมือนกัน

เพียงแต่ว่าฝึกฝนมาถึงระดับนี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนมีนิสัยชื่นชอบความมั่นคงและต้องปลอดภัยไว้ก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากเอาข้าววิเศษซึ่งผ่านการหลอมมาแล้วครั้งหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้ออกมาพินิจพิจารณาในมือ ก็ใช้หม้อทั่วไปหุงจนสุก เมื่อไอวิเศษกระจายออกมา เขาก็รีบกลืนลงไปคำใหญ่ทันทีอย่างไม่ลังเล

ข้าววิเศษเมื่อเข้าปากก็ละลาย กลายเป็นไอวิเศษเข้มข้นมากกว่าข้าววิเศษทั่วไปหลายเท่าตัว ซึ่งไม่ได้ให้เพียงพละกำลังมหาศาลในระดับต้นเท่านั้น เมื่อเสียงกัมปนาทดังขึ้นในร่างกายของเขา ขุมพลังมหาศาลก็ห้อตะบึงไหลทะลักออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบตั้งท่าฝึกตามท่วงท่าของรูปที่สาม ปรับลมหายใจอย่างรวดเร็ว

เป็นเช่นนี้มาเรื่อยๆ จนล่วงเลยมาครึ่งเดือน กลางดึกคืนหนึ่ง ร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหวอย่างรุนแรง เมื่อลืมตาขึ้นพลันพบว่าพลังของตัวเองทะลายฝ่าขั้นที่สอง กลายเป็นขั้นที่สามของการรวมลมปราณอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจเป็นบ้าเป็นหลังได้โดยพลัน ดวงตาเผยความตื่นเต้นฮึกเหิม หัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา เขามองร่างกายของตนเอง ลมปราณในร่างกายเปลี่ยนจากสายธารไหลรินกลายมาเป็นแม่น้ำสายเล็กอย่างเต็มรูปแบบ

แม่น้ำเล็กสายนี้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายอย่างรวดเร็ว ความเร็วเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้อย่างมหาศาล ถึงกระทั่งที่ว่าเพียงแค่คิด พลังในร่างกายก็จะไหลเวียนไปยังตำแหน่งต่างๆ ตามความคิดของเขาทันที

“รวมลมปราณขั้นที่สาม! ข้าววิเศษที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วหนึ่งครั้งนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ !” ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืน เลียริมฝีปาก มีความรู้สึกอยากหลอมข้าววิเศษออกมาอีกหลายๆ เม็ด แต่กลับรู้สึกได้ว่าทางเดินของเลือดลมในร่างกายพองตัวขึ้นเล็กน้อย นึกถึงคำแนะนำบนตำราไม้ไผ่ก็รู้ว่าจำเป็นต้องให้ร่างกายปรับตัวสักพัก ยังไม่สามารถฝึกฝนต่อไปได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ นี้

นี่จึงทำให้เขาพับเก็บความคิดก่อนหน้านั้นเอาไว้ เดินไปเดินมาอยู่ในห้องด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่นานก็ชะงักฝีเท้า สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นกลางดึก แต่จากแสงจันทร์กระจ่างย่อมทำให้มองเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บนทางเดินเล็กๆ นอกครัวไฟต้นนั้นได้

“ไม่ได้ กระบี่ไม้ของสวีเป่าไฉดูเหมือนจะไม่ธรรมดา ต่อให้ฝึกได้ถึงขั้นที่สามของการรวมลมปราณแล้ว ก็ยังไม่ค่อยปลอดภัยอยู่ดี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก็มองไปยังกระบี่ไม้หลากสีที่อยู่ข้างกาย แล้วมองไปยังหม้อที่ตั้งวางอยู่ในห้องใบนั้น

“หากสามารถหลอมพลังจิตได้สองครั้ง บางทีอาจจะช่วยให้มั่นใจขึ้นมาได้อีก” เขาคิดมาถึงตรงนี้ ก็ตัดสินใจเด็ดขาดในทันที เดินออกนอกห้องไปหยิบเอาฟืนวิเศษของฝ่ายครัวไฟมาจำนวนหนึ่ง

หลังจากเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้ว กลางดึกของค่ำคืนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ข้างหม้อลึกลับใบนั้น นำฟืนไม้มาจุดไฟ พอเห็นลายเส้นเปล่งแสงสว่างก็โยนกระบี่ไม้เข้าไปในหม้อ

แต่คราวนี้รออยู่นานมากก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดเกิดขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว มองไปที่ลายเส้นบนหม้อรูปกระดองเต่าหนึ่งที แล้วก็มองฟืนไม้ด้านล่างที่กลายเป็นขี้เถ้าไปแล้วอีกหนึ่งที บ่นพึมพำกับตัวเองจากนั้นเดินออกไปหาฟืนวิเศษอีกครั้ง แต่พอทำหลายครั้งเข้า ไม่ว่าเปลวไฟจะโหมไหม้แผดเผาปานใด กระบี่ไม้ก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นเช่นเดิม

“ฟืนพวกนี้ล้วนเป็นฟืนของไฟหนึ่งสี หรือว่าความร้อนจะไม่พอ จำเป็นต้องใช้ความร้อนที่มากกว่านี้อย่าง…ไฟสองสี?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ ก็เดินออกไปจากห้อง ตอนที่กลับเข้ามาอีกครั้ง ในมือถือไม้ฟืนสีม่วงท่อนหนึ่งมาด้วย ฟืนนี้ในฝ่ายครัวไฟมีเหลืออยู่ไม่มากนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนหาเจอแค่ท่อนเดียว

หลังจากที่จุดไฟแล้ววางไว้ด้านล่างหม้อ เปลวไฟก็ปรากฏขึ้นในทันที เปลวไฟนี้มีสองสีประกอบเข้าด้วยกัน ซึ่งก็คือไฟสองสีที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นมาก!

แค่เห็นไฟสองสีปรากฏขึ้น ลายเส้นที่สองบนหม้อรูปกระดองเต่าก็สว่างวาบขึ้นในบัดดล ส่วนไฟสองสีนั้นกลับมืดดับลงอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งว่าถูกดึงเอาพลังไฟไปจนหมดในชั่วพริบตาเดียว ไม่นาน หลังจากที่ไฟสองสีเผาไหม้จนเหลือแต่ขี้เถ้า ลายเส้นที่สองบนหม้อรูปกระดองเต่าก็สว่างขึ้นหมดทั้งเส้น

“สำเร็จ!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย รีบเอากระบี่ไม้ใส่ลงไปในหม้อ แสงสีเงินสว่างวาบขึ้นมาในทันทีทันใด ใช้เวลานานกว่าตอนที่หลอมพลังจิตครั้งแรกอยู่หลายชั่วลมหายใจ

สายตามองเห็นว่าแสงสว่างค่อยๆ มืดดับลง แต่ทันใดนั้นแสงสีเงินกลับขยายวงกว้างขึ้นอย่างฉับพลัน พุ่งทะยานตรงเข้ามาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน การเปลี่ยนแปลงนี้กะทันหันเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ทันได้ตั้งตัว สายตาจึงพร่าลาย ความหนาวยะเยือกอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้กลายเป็นเหมือนผลึกน้ำแข็งที่หลอมเข้าสู่ร่างกายป๋ายเสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา เขาค้นพบว่าตัวเองมิอาจหยุดยั้งมัน ได้แต่มองดูความหนาวสะท้านนั้นตีหวดอย่างรุนแรงอยู่ในร่างกายโดยที่ทำอะไรไม่ได้

ใบหน้าของเขาซีดขาวทันที ขณะที่สายตากำลังพร่าเลือน ก็เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างในร่างกายถูกดูดออกมา แล้วหลอมรวมเข้าไปอยู่ในหม้อกระดองเต่าใบนั้น

จนกระทั่งเวลานี้แสงสีเงินนั้นถึงได้สลายหายไป กระบี่ไม้ที่ดูแหลมคมยิ่งกว่าเคย ถึงกระทั่งที่ว่าเวลามองแล้วให้ความรู้สึกแสบจ้าบาดตาเป็นอย่างยิ่งปรากฏพรวดออกมาอยู่ในหม้อ

กระบี่เล่มนี้ถึงแม้ว่ายังดูผุพังสีสันลายตาเหมือนเดิม แต่คุณสมบัติของเนื้อไม้ลวดลายภายในได้เปลี่ยนไปแล้ว หากลบสีที่ทาเอาไว้ออกจะเห็นได้ชัดเจนว่าลายเส้นพวกนั้นเปล่งแสงระยิบระยับ กระบี่เล่มนี้เปลี่ยนจากเดิมไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

แทบจะขณะเดียวกันกับที่กระบี่ไม้ปรากฏตัว บนท้องฟ้าชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพก็เกิดเสียงฟ้าร้องกัมปนาทดังสะท้อนกลับไปกลับมา ประหนึ่งดั่งเสียงพิโรธจากนภากาศ สะเทือนไปยังผู้บำเพ็ญเพียรในสำนักธาราเทพจำนวนนับไม่ถ้วน ยังดีที่เสียงฟ้าร้องนี้มาเร็วและก็ไปเร็ว

ขณะที่เสียงฟ้าร้องนั้นดังสะท้อนกลับไปมา ลายเส้นสีเงินเส้นที่สองก็ปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่ไม้ เปล่งแสงวูบวาบติดต่อกันสี่ห้าครั้ง ถึงได้มืดดับหายไปใต้สีที่ทาย้อมทับเอาไว้

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้าไปดูกระบี่ไม้อย่างไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง แล้วก็ถอยกรูดหลายก้าวด้วยสีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ร่างกายโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่ ผ่านไปพักใหญ่ถึงคืนสติกลับมา ความรู้สึกเมื่อครู่นี้ แค่นึกถึงก็ยังทำให้เขาหวาดผวา

“มันดึงอะไรออกไปจากร่างกายข้านะ…” ในความกระวนกระวายใจเขากวาดสายตาไปยังกระจกทองแดงที่แขวนไว้บนผนัง หลังจากมองไปทีหนึ่งอย่างเผลอตัว เขาก็นวดคลึงดวงตาแล้วมองอย่างละเอียดอีกที จากนั้นค่อยๆ นิ่งงันเหมือนไก่ไม้

ภาพของเขาในกระจก ตรงไรผมช่วงหน้าผากมีผมขาวเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเส้น และถึงแม้ว่าตัวของเขาจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองแก่ขึ้นมาอีกหนึ่งปี

“อายุขัย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“เมื่อครู่ที่โดนดึงไป คืออายุขัยของข้า ข้า…ข้า…” เขาอยากร้องแต่ก็ร้องไม่ออก วัตถุประสงค์ที่เขามาบำเพ็ญเพียรก็เพื่อเป็นอมตะ แต่ตอนนี้ยังไม่ทันทำสำเร็จ กลับอายุสั้นลงไปหนึ่งปีซะแล้ว สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่สะเทือนใจอย่างยิ่งยวด

“ขาดทุนเสียแล้ว…ไม่นึกเลยว่าชีวิตน้อยๆ ครึ่งแรกที่มั่นคงของข้าป๋ายเสี่ยวฉุน จะมีช่วงเวลาที่พลาดพลั้งเสียได้…” เขานั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น หัวเราะขื่นๆ ออกมา หลังจากสงบสติได้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองหม้อรูปกระดองเต่าใบนั้น แต่ดวงตาทั้งคู่กลับค่อยๆ เผยให้เห็นถึงความแปลกใจ เขามีความรู้สึกลึกๆ ว่าหลังจากที่อายุขัยถูกดูดออกไป ตนเองกับหม้อกระดองเต่าใบนั้นคล้ายมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกันซ่อนอยู่ เหมือนดั่งว่าสามารถควบคุมกันและกันได้

ใจของเขากระตุก มือขวายกขึ้นชี้ไปที่หม้อ

หม้อทรงกระดองเต่ามีแสงสีดำสะท้อนวาบหนึ่งที พริบตานั้นก็หดตัวลงพุ่งตรงเข้ามาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน และแวบเดียวก็หายเข้าไปในปลายนิ้วของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ลุกพรวดก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ก้มลงมองนิ้วมือของตัวเอง และมองไปที่เตาไฟวางเปล่า

“นี่…นี่…” มือขวาของเขาชี้ไปบนพื้นอีกหนึ่งครั้ง แสงสีดำวาบขึ้น เสียงตุ้บ! ดังหนึ่งที หม้อใบนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนลองทำอีกหลายครั้งติดต่อกัน สีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ทั้งตกตะลึงระคนดีใจ ทั้งกลัดกลุ้ม สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา

“ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเก็บเข้ามาไว้ในกายได้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายคืออายุขัยหนึ่งปี ไม่ว่าคิดยังไงก็ขาดทุนอยู่ดี”

หลังช่วงเที่ยงของวันถัดมา ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังครุ่นคิดว่าจะมีวิธีใดชดเชยเอาอายุขัยที่ถูกดูดออกไปกลับมาได้บ้าง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน รู้สึกได้ว่าด้านนอกฝ่ายครัวไฟมีเงาเจ็ดแปดร่างกำลังพุ่งทะยานเข้ามาหา

ตอนที่ฝึกได้ขั้นที่หนึ่งของการรวมลมปราณ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อาจสัมผัสได้ แต่ตอนนี้อยู่ในขั้นที่สามของการรวมลมปราณแล้ว เขาสัมผัสได้ในทันทีว่าในเงาเจ็ดแปดร่างนั้น หัวโจกตัวนำก็คือสวีเป่าไฉ

และในเวลาเดียวกันนั้น เสียงเคียดแค้นของสวีเป่าไฉก็ลอยพุ่งเข้ามา

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ามีศิษย์พี่คุ้มครอง ข้าสวีเป่าไฉเองก็มีเหมือนกัน วันนี้บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าและข้าสมควรสิ้นสุดลงได้แล้ว”

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version