Skip to content

A Will Eternal 8

บทที่ 8 ข้าขอสู้ตาย!

เมื่อเห็นว่าสวีเป่าไฉมาหาเรื่องถึงที่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พรวดพราดลุกขึ้นยืน

“มาเร็วจริงนะ…” แววตาของเขาเผยความลังเล ถึงแม้ครึ่งปีมานี้เขาเตรียมรับมือมาจนพร้อมแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม เดิมทีตามความคิดของเขาคือกะว่าต้องฝึกฝนถึงการรวมลมปราณขั้นที่สี่ก่อน ถึงจะรับประกันความปลอดภัยได้

แต่ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายพาพรรคพวกมาด้วยถึงเจ็ดแปดคน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่าหลบเลี่ยงไม่ได้อีก ดังนั้นจึงกัดฟันกรอดๆ

“สู้โว้ย!” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สวมเสื้อนวมหนังเจ็ดแปดชั้น แบกหม้อที่เตรียมไว้สำหรับหุงข้าววิเศษไว้บนหลัง ผลักประตูออกด้วยความตึงเครียด แล้วจึงเดินออกไป

แทบจะขณะเดียวกันกับที่เขาเดินออกไป พวกจางต้าพั่งก็ล้วนถือมีดหั่นผักถือกระบวยอันใหญ่ยืนหน้าตาทมึงถึงอยู่หน้าประตูใหญ่ฝ่ายครัวไฟ คอยคุมเชิงกับพวกสวีเป่าไฉแล้ว

“ข้าก็ว่าทำไมวันนี้ตอนเช้าถึงได้ยินเสียงอีการ้อง ที่แท้ก็เจ้าพวกลูกหมาฝ่ายตรวจการที่รู้จักแต่ข่มเหงพวกเดียวกันกลุ่มนี้นี่เองที่มากำเริบเสิบสานถึงฝ่ายครัวไฟของพวกเรา!” จางต้าพั่งทำเสียงหึอย่างเย็นชาหนึ่งที ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนภูเขาลูกเล็ก น้ำเสียงดั่งฟ้าผ่า ดังไปทั่วทิศ

“จางต้าพั่ง คนอื่นหวาดกลัวฝ่ายครัวไฟของเจ้า แต่ฝ่ายตรวจการอย่างเราไม่กลัวพวกเจ้า พวกเราได้รับคำร้องทุกข์จากศิษย์น้องสวี วันนี้มาก็เพื่อใช้สิทธิ์ของฝ่ายตรวจการ เจ้ากล้าต่อต้านงั้นรึ?” เงาร่างเจ็ดแปดคนข้างกายสวีเป่าไฉ แต่ละคนล้วนมีสีหน้าหยิ่งผยอง เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ถึงแม้จะเป็นชุดนักการ แต่ชายแขนเสื้อกลับปักอักษรคำว่าตรวจการไว้อย่างเด่นชัด แสดงให้เห็นถึงสิทธิ์ที่ฝ่ายตรวจการอย่างพวกเขามี รวมไปถึงสถานะที่ไม่ธรรมดาด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายตัวใหญ่หนึ่งในนั้น รูปร่างที่บึกบึนกร้าวแกร่ง กระจายพลังวิญญาณขั้นที่สามของการรวมลมปราณออกมา รังสีเย็นเยียบวาบผ่านดวงตา ตวัดมองไปยังจางต้าพั่ง และคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างกายจางต้าพั่งด้วยแววตาเย็นชาเมินเฉยเหมือนพวกเขาไร้ตัวตน

“เหลวไหล ไล่ฆ่าศิษย์น้องข้ายังจะมีหน้ามาพูด!” จางต้าพั่งหัวเราะเสียงเย็น ยกมือขวาขึ้น คำรามหนึ่งที หม้อใหญ่สีดำที่อยู่ด้านหลังเขาเหล่านั้นก็ลอยขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ ลักษณะน่าครั่นคร้าม ทำให้พวกที่อยู่รอบกายของชายร่างใหญ่หน้าเปลี่ยนสี ส่วนชายร่างใหญ่คนนั้นกลับหรี่ตาทั้งสองข้างลง ขณะที่มือจับข้อนิ้วธงเล็กผืนหนึ่งก็ลอยออกมา โบกพัดสะบัดกลุ่มไอหมอกให้แหวกกระจาย ในกลุ่มไอหมอกนั้นสามารถได้ยินเสียงสัตว์ป่าคำรามดังออกมาแว่วๆ

และขณะที่อยู่ในระหว่างกำลังจะชักดาบเข้าห้ำหั่นกันนั้น สวีเป่าไฉก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากกระท่อม แค้นเก่าแค้นใหม่พุ่งปะทุขึ้นมาในจิตใจ ตะโกนก้องเสียงดัง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!” ระหว่างที่พูดตัวของสวีไฉเป่าก็พุ่งพรวดออกไป มือขวายกขึ้นสะบัด ทันใดนั้นกระบี่ไม้ในมือก็คำรามดังหนึ่งครั้งและลอยออกมา

สีหน้าของพวกจางต้าพั่งเปลี่ยนสี ขณะที่กำลังจะไปช่วยเอาตัวบังให้ ชายร่างใหญ่ของฝ่ายตรวจการก็หัวเราะเย้ยหยันเสียงเย็น เข้าขัดขวางในทันที

แต่ชั่วขณะที่สวีไฉเป่าเพิ่งจะเปล่งคำพูดและพุ่งตัวออกไปนั้น ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้กลายเป็นสีแดง เสียงคำรามก้องดังตามมา

“สวีเป่าไฉ เจ้าบีบบังคับกันเกินไปแล้ว ข้าขอสู้ตาย!” ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นโครมคราม ทั้งชีวิตนี้เขายังไม่เคยต่อยตีกับใคร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการประลองยุทธ์กับผู้บำเพ็ญเพียร

ในเวลานี้เส้นประสาทใกล้จะแตกเพราะความตึงเครียด ขณะเดียวกันกับที่ตะโกนเสียงดังเพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง พละกำลังจากการฝึกฝนการรวมลมปราณขั้นที่สามก็ระเบิดออกมาในบัดดล ทุ่มเอาพลังทุกส่วนที่มี นำพลังวิญญาณทั้งหมดบีบอัดเข้าไปในกระบี่ไม้ กระบี่ไม้ที่ควบคุมอยู่ในมือ ชี้ตรงไปยังสวีเป่าไฉ

กระบี่ไม้คำรามกระหึ่มหนึ่งที แสงสีเงินสองเส้นบนตัวกระบี่ที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ในสีรุ้ง เปล่งแสงวาบหนึ่งครั้ง ทำให้ตัวกระบี่ที่ขยายใหญ่ขึ้นมาอีกเท่าตัว ระเบิดแสงเย็นเยียบชวนให้หนาวสะท้าน พุ่งตรงดิ่งไปยังสวีเป่าไฉ

ความเร็วที่รวดเร็ว พลังอำนาจที่แข็งแกร่ง ทำให้พวกจางต้าพั่งรวมไปถึงพวกฝ่ายตรวจการ พากันตะลึงค้าง ที่ยิ่งทำให้พวกเขาสูดลมหายใจเข้าลึกก็คือ ความแหลมคมของกระบี่เล่มนี้แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วสารทิศ ทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด ต่างฝ่ายต่างไม่สนใจที่จะต่อสู้ พากันยืนดูแทน

สวีเป่าไฉยังไม่ทันบุกเข้ามาใกล้ ก็ตกใจพลังอำนาจของป๋ายเสี่ยวฉุนเสียก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนในลักษณะนี้แตกต่างไปจากคนในความทรงจำของเขาเมื่อหลายเดือนก่อนอย่างสิ้นเชิง ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ท่าทางกัดปากเค้นฟันสู้ตายแบบนั้น ทำให้สวีเป่าไฉตกใจ

ที่ตามมาติดๆ คือดวงตาเบิกกว้างเผยแววคาดไม่ถึงของเขา เขามองเห็นว่ากระบี่ไม้ของป๋ายเสี่ยวฉุนบินมาอย่างรวดเร็ว แทบจะก่อให้เกิดเป็นกระแสน้ำสีขาวที่พุ่งเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังอำนาจของกระบี่ไม้เล่มนั้น เขาเคยเห็นแค่ตอนที่ศิษย์นอกฝ่ายประลองกันเท่านั้น ทำให้เขาหวาดผวาขนหัวลุกโดยพลัน

เสียงเคร้งดังขึ้นหนึ่งที กระบี่ไม้ของป๋ายเสี่ยวฉุนบินมากระแทกเข้ากับกระบี่ไม้ของสวีเป่าไฉ กระบี่ไม้ของสวีเป่าไฉสั่นอย่างรุนแรง มิอาจขวางกั้นได้แม้แต่น้อย ปลายกระบี่เริ่มแตกร้าวทีละนิด พริบตาเดียวก็ป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี หลังจากนั้นก็กลายเป็นเศษซากจำนวนนับไม่ถ้วนสลายหายวับไป

กระบี่ไม้ของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่ได้หยุดลงแม้แต่นิด ยังคงพุ่งตรงเข้ามาหาสวีเป่าไฉอย่างดุดัน สวีไฉเป่าตกใจจนอกสั่นขวัญบิน ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีถอยหลบฉากอย่างรวดเร็วถึงจะพอกล้อมแกล้มหลีกพ้น กระบี่ไม้แฉลบผ่านไหล่ของเขาไปปักอยู่บนต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง

เสียงตู้มดังขึ้นหนึ่งครั้ง ไม้ใหญ่ต้นนั้นถูกผ่าออกไปครึ่งใหญ่และล้มตึงลง ขณะเดียวกันกับที่ฝุ่นตลบฟุ้ง สวีเป่าไฉก็กรีดร้องโหยหวนออกมา เลือดสดๆ จากแขนข้างขวาไหลทะลัก รีบถอยกรูดไปข้างหลังด้วยใบหน้าซีดเผือด

สาเหตุเป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่คุ้นเคยกับการควบคุมวัตถุเท่าไหร่นัก มิเช่นนั้นล่ะก็ กระบี่เล่มนั้นเพียงพอที่จะทำให้สวีเป่าไฉตายศพไม่ครบส่วนได้เลย!

“การรวมลมปราณขั้นที่สาม! ! เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” ขณะที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน สวีไฉเป่ามีสีหน้าหวาดกลัวเหมือนคนเห็นผี สามารถทำให้กระบี่ไม้มีอานุภาพได้ถึงขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องฝึกบำเพ็ญตบะจนถึงขั้นที่สามของการรวมลมปราณ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ออกว่าเวลาเพียงไม่กี่เดือน เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้จะเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจได้ถึงเพียงนี้ นี่แตกต่างไปจากสิ่งที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิง ทำให้เขารับไม่ได้ รู้สึกเหมือนกำลังฝันร้าย

หากอย่างเขาเรียกว่าหวาดกลัว ในเวลานี้ชายร่างใหญ่รวมไปถึงคนจากฝ่ายตรวจการล้วนอ้าปากพะงาบๆ พากันมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนอยู่ในภาวะตัวแข็งนิ่งอึ้ง

“ใช้พลังจิตแปลงเป็นคมกระบี่ ทำให้แสงของกระบี่กระจายออกโดยรอบ นี่ต้องฝึกพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางได้จนถึงระดับยกของหนักเหมือนของเบา ถึงจะสามารถกลายมาเป็นวิชาอภินิหารเช่นนี้ได้!” ชายร่างใหญ่ของฝ่ายตรวจการสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนแฝงเร้นไปด้วยความหวาดกลัว

ขนาดพวกเขาเองยังเป็นถึงขนาดนี้ นับประสาอะไรกับพวกจางต้าพั่ง เมื่อพวกเขาแต่ละคนมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตระหนกตกใจไม่ต่างกัน ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกฝนจนถึงขั้นที่สามของการรวมลมปราณ พวกเขาก็พอจะสัมผัสได้บ้างแล้ว แต่แสงกระบี่ที่เปล่งประกายไปรอบทิศจากกระบี่ไม้เล่มนั้น อีกทั้งขนาดที่ขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกได้ถึงระดับที่ยกของหนักก็เหมือนของเบาแล้วนั้น ถือว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับรู้

แม้แต่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังตกตะลึงไปกับพลังอำนาจของกระบี่ไม้เล่มนี้ เขาเหม่อมองไม้ใหญ่ต้นนั้นที่ล้มลงทีหนึ่ง มองไปยังสวีเป่าไฉที่ในเวลานี้ใบหน้าซีดเผือดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะลั่นในทันที

“สวีเป่าไฉ ที่แท้เจ้าก็อ่อนด้อยถึงเพียงนี้ ลิ้มรสกระบี่ข้าไปซะเถอะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห่อเหิม เขาพบว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าสวีเป่าไฉมากมายนัก จิตใจจึงฮึกเหิมขึ้นมาทันที ขณะที่หัวเราะดังฮ่าๆ ก็ตรงดิ่งไปหาสวีเป่าไฉ

เมื่อสวีเป่าไฉเห็นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดมองมา ร่างของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย เวลานี้มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะเสียงดังและเงาร่างที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ เขาก็หวาดกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ตะเกียกตะกายเตรียมหนี

แต่ยังหนีไปได้ไม่กี่ก้าว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว มองสวีเป่าไฉ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นึกถึงภาพที่ถูกคนๆ นี้ไล่โจมตีก่อนหน้า รวมไปถึงการฝึกฝนอย่างยากลำบากของตัวเองในช่วงที่ผ่านมา ความเจ็บปวดรวดร้าวที่มีแปรเปลี่ยนเป็นพละกำลัง เขายกเท้าขึ้นและกระทืบลงไปที่ร่างของสวีเป่าไฉอย่างแรง

“ยังจะกล้าไล่ฆ่าข้าอีกไหม!” มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนกำเป็นหมัด ต่อยเข้าที่เบ้าตาของสวีเป่าไฉ สวีเป่าไฉร้องโหยหวนล้มลง ใจคิดจะต่อต้าน แต่พลังขั้นที่สองที่เขามี เมื่อมาอยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็มิอาจต่อกรอะไรได้เลย

“มาหาเรื่องข้าถึงที่ ให้เจ้ารู้ซะบ้างว่าข้าก็ไม่ได้กินหญ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีดตัวขึ้นกระโดดแล้วเหยียบลงไปแรงๆ กัดปากเค้นฟัน มือต่อยเท้าแตะจนสวีเป่าไฉร่ำไห้ไม่หยุด

เสียงตุบตับดังไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นชายร่างใหญ่ของฝ่ายตรวจการหรือว่าพวกจางต้าพั่ง ในเวลานี้ล้วนยืนอึ้งอยู่ที่เดิม มองสวีเป่าไฉที่ถูกแตะต่อยอย่างรุนแรง แล้วก็มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฮึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนล้วนหวาดผวา

ส่วนสวีไฉเป่าก็มีน้ำตาไหลนอง ในใจรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างถึงที่สุด เขาไม่เชื่อว่าแค่ไม่กี่เดือนป๋ายเสี่ยวฉุนจะเปลี่ยนมาแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะพลังยกของหนักเป็นของเบานั้น หากไม่ได้ฝึกฝนอย่างลึกซึ้งมาเป็นเวลาหลายปีหรือนานกว่านั้น ไม่มีทางทำได้เด็ดขาด

ในสายตาของเขา เห็นได้ชัดว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง อีกอย่างแค่เริ่มต้นก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ต้องเป็นเพราะสันดานต่ำช้า ถึงได้แสร้งทำท่าอ่อนแอน่าสงสาร ที่เหลือจะทนที่สุดก็คือ เขาแสร้งทำได้เหมือนนัก จนตนเองยังหลงเชื่อ

คิดมาถึงตรงนี้ สวีเป่าไฉจากที่เศร้าโศกก็กลายเป็นโมโหเดือดจนสลบไปทั้งอย่างนั้น

เห็นว่าสวีเป่าไฉสลบไป ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ปัดเสื้อผ้า ยืนคร่อมบนร่างของสวีเป่าไฉ แค่ยกมือขวาขึ้นมากวัก กระบี่ไม้ก็ลอยมาหาทันที เขาเก็บมันไว้ในแขนเสื้อ วางมาดนิ่งขรึมเบื่อหน่ายอย่างพวกยอดฝีมือ พยายามปกปิดความตื่นเต้นฮึกเหิมในแววตา

ชายร่างใหญ่จากฝ่ายตรวจการมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งที สีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย สุดท้ายก็ทำมือคารวะ

“ศิษย์น้องป๋ายซุกซ่อนฝีมือได้ลึกล้ำนัก นับถือ นับถือ” เขาพูดหนึ่งประโยคด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หันกลับอย่างไม่ลังเล พาพรรคพวกจากไป รวมถึงหิ้วสวีเป่าไฉที่สลบเหมือดกลับไปด้วย

จนกระทั่งกลุ่มคนจากไป พวกจางต้าพั่งจึงมายืนอยู่ข้างป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะที่แต่ละคนมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ล้วนเผยรอยยิ้มเบิกบาน จะว่าไปแล้วพวกฝ่ายตรวจการก็คือคนนอก ส่วนพวกจางต้าพั่งเองก็รับรู้ถึงความพยายามตลอดหลายเดือนมานี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนดี ในเวลานี้ความรู้สึกที่มีให้กับเขาโดยมากแล้วจึงเป็นการนับถืออย่างจริงใจ

“เจ้าเด็กนี่ใช้ได้นี่นา ไม่เสียแรงที่ครึ่งปีที่ผ่านมาเอาชีวิตไปล้อเล่น!” จางต้าพั่งตบไหล่ของป๋ายเสี่ยวฉุน

“แน่ล่ะสิ ถ้าข้าสู้ตายขึ้นมา ขนาดตัวเองยังกลัวตัวเองเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ เหมือนไก่ตัวผู้ตัวน้อยที่ลำพองใจ ทำให้พวกจางต้าพั่งพากันหัวเราะชอบใจเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version