บทที่ 608 เชิญเริ่มการแสดงของเจ้า
การลุกผงาดของป๋ายฮ่าว การบดขยี้ป๋ายฉีจนแหลกลาญ การช่วงชิงวิญญาณคนฟ้าไปครอง เรื่องทั้งหลายทั้งแหล่เหล่านี้ทำให้ตลอดทั้งตระกูลป๋ายครึกโครมประหนึ่งมีลูกคลื่นซัดสาดถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย
ต่อให้เป็นคนของอีกสองตระกูลใหญ่ที่มาเข้าร่วมงานก็ยังตะลึงพรึงเพริดครั้งแล้วครั้งเล่าท่ามกลางความสะท้านสะเทือนนี้
และยังมีทูตสองคนจากนครผียักษ์ ดวงตาของพวกเขาฉายแสงเจิดจ้า ได้ถ่ายทอดเรื่องทุกอย่างนี้ไปถึงนครผียักษ์เรียบร้อยแล้ว เดิมทีพวกเขาคิดว่าเหตุการณ์ที่เห็นก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นจุดสูงสุดแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าความสามารถที่โดดเด่นเลิศล้ำหรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าการแสดงของป๋ายฮ่าว ดูเหมือนจะ…เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น!!
“อาจารย์หลอมวิญญาณระดับสาม!”
“ป๋ายฮ่าวผู้นี้เคยถูกเรียกว่าเป็นสวะไร้ค่าของตระกูลป๋าย มีฐานะเป็นเพียงลูกเมียน้อยก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่เห็นเล่ากันว่าพรสวรรค์ของเขายังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน นึกไม่ถึงเลยว่า…คนที่ลือกันว่ามีพรสวรรค์ชั้นเลวจะสามารถฝึกตนได้ถึงระดับที่น่าหวาดกลัวขนาดนี้!”
“แถมตระกูลป๋ายยังพูดว่าด้านการหลอมพลังจิตเด็กคนนี้ก็ไม่มีพรสวรรค์เช่นกัน แต่นี่…หลอมรวดเดียวได้ถึงไฟเจ็ดสี หากนี่ไม่เรียกว่ามีพรสวรรค์ แล้วอย่างไหนกันถึงจะเรียกเช่นนั้นได้!!”
“นอกเสียจากว่า…เขาถูกใส่ความ…”
และขณะที่ทุกครั้งทั้งตะลึงและแปลกใจกันไม่หยุดนั้น ในพื้นที่บรรพชน การหลอมไฟของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับ…ยังไม่สิ้นสุด
เขายังคงหลอมต่อไป ตอนนี้มือขวาของเขายกขึ้นแล้วสะบัดออกหนึ่งครั้ง ไฟเจ็ดสีก็ระเบิดตูมซัดแผ่ออกไปรอบด้านเป็นลูกคลื่นไล่หลังกัน ก่อนจะใช้กฎเกณฑ์บางอย่างไปเขมือบกลืนวิญญาณพยาบาทเหล่านั้น กฎเกณฑ์เหล่านี้อาจารย์หลอมวิญญาณทั่วไปมองไม่ออก ทว่าเมื่อมาตกอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายกลับทำให้เขาถึงกับสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วชะงักค้าง
“นี่คือ…”
วินาทีที่พวกเขากำลังสะเทือนขวัญกันอยู่นั้น ไฟเจ็ดสีที่แผ่ออกมารอบด้านพลันมีสีผุดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งสี เมื่อมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าจับอย่างแรง เมื่อทะเลเพลิงผืนนั้นหดพรึ่บเข้ามารวมกัน พริบตาเดียวกลางฝ่ามือของเขาก็พลันปรากฏเป็น…ไฟแปดสี!!
ทั้งหมดนี้ทำให้หัวใจของทุกคนสะท้านไหวกันอีกครั้ง การกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนดูเชี่ยวชาญจนน่ากลัวจริงๆ ราวกับว่าในสายตาของเขา แค่เอื้อมมือคว้าไฟแปดสีก็ก่อตัวขึ้นมาได้เอง ง่ายจนไม่รู้ว่าจะง่ายไปกว่านี้ได้อย่างไรอีกแล้ว
และความหมายที่เป็นตัวแทนของเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้พวกผู้อาวุโสพากันหรี่ตา ภายใต้เปลือกตามีแสงประกายวาววับ ทว่าไม่นานพวกเขาก็ต้องเบิกตากว้างกันอีกครั้ง…เห็นเพียงว่าหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง ไฟแปดสีก็แผ่กระจายเขมือบกลืนวิญญาณพยาบาทรอบด้านไปจนหมด และทันใดนั้นก็มีสีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสี
กลายมาเป็น…
ไฟเก้าสี!!
ยังไม่ทันรอให้ทุกคนร้องอุทาน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกมือขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย พอคลายมือออก ท่ามกลางเสียงตูมตามดังกึกก้อง ไฟเก้าสีก็ระเบิดจากฝ่ามือเขาแผ่ไปรอบด้าน ร่างของเขาประหนึ่งยืนอยู่กลางทะเลเพลิง
ขณะเดียวกันในสถูปวิญญาณของเขาก็มีวิญญาณพยาบาทจำนวนมากบินออกมาอีกครั้ง เพียงแค่ชั่วพริบตา วิญญาณพยาบาทก็ถูกไฟเก้าสีเขมือบกลืนจนเกลี้ยง ตามมาด้วยมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำเข้าหากันอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ในทะเลเพลิงไฟเก้าสีซึ่งแผ่กระจายไปรอบด้านจะปรากฏ…สีที่สิบ!!
“ไฟสิบสี!!”
“ระดับสามขั้นสูงสุด!!”
“สวรรค์ ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม จากไฟหนึ่งสีถึงไฟสิบสี สำเร็จในครั้งเดียว นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร!!” บัดนี้ทุกคนที่อยู่ข้างนอกมิอาจข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้อีก เสียงร้องฮือฮา คำอุทานเสียงหลงจึงดังไม่ขาดสาย ดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ ตามหลักแล้วพวกเขาควรจะชาชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้แล้ว ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่ให้เวลาพวกเขาได้ปรับสภาพรับมือ ยังคงกระตุ้นอารมณ์พวกเขาซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดหย่อน พวกเขาเหมือนถูกพาเข้าไปสู่จังหวะบางอย่าง ทั้งเหลือเชื่อทั้งไม่กล้าคาดคิด คนไม่น้อยถึงกับเริ่มเกิดความรอคอยคาดหวังต่อจังหวะต่อไปอย่างน่าพิศวง…
และขณะที่ทุกคนร้องอุทานกันไม่หยุดนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เป็นจุดรวมสายตาของคนมากมาย…ก็ขยับตัวอีกครั้ง นัยน์ตาของเขาฉายแสงคมกล้า ยกมือขวาขึ้นมาและตวัดอย่างแรง เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ไฟสิบสีแพร่กระจายไปสี่ทิศเผาไหม้นภากาศของพื้นที่บรรพชนในชั่วพริบตา ก่อนที่วิญญาณพยาบาทจำนวนมากที่เขาสะสมเอาไว้จะบินออกมาจากสถูปวิญญาณ
พอวิญญาณพยาบาทพวกนี้บินออกมา เปลวเพลิงก็ซัดกลิ้งหลุนๆ ราวกับกลายมาเป็นปากเปลวไฟจำนวนมากที่อ้าออกแล้วฮุบกลืนพวกมันเข้าไป ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นใจเด้งกระดอนขึ้นมาทันที ดวงตาของพวกเขาถลึงกว้าง ในสมองก็ยิ่งมีเสียงดังอึงอล
ไม่ว่าใครก็ล้วนมองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กำลังจะหลอม…ไฟสิบเอ็ดสี
พวกผู้อาวุโสในตระกูลพากันกลั้นลมหายใจอย่างมิอาจห้ามได้ จ้องเขม็งไปยังไฟสิบสีที่กำลังกลืนกินวิญญาณพยาบาทอย่างต่อเนื่อง ในใจของพวกเขาก็พลันสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าเปลี่ยนแปลงไม่หยุด!!
“เขา…เขาหลอมไฟสิบเอ็ดสีได้หรือ…”
“ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน”
“ไฟสิบเอ็ดสีเชียวนะ นั่นคือสัญลักษณ์ของอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลือง ยากที่ป๋ายฮ่าวผู้นี้จะหลอมออกมาได้!!”
ต้องรู้ว่า…ต่อให้เป็นพวกเขาเองก็ยังเป็นแค่อาจารย์หลอมวิญญาณระดับสามขั้นสูงสุดเท่านั้น
หากคิดจะขยับขึ้นหน้าไปอีกก้าวก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ทว่าตอนนี้ป๋ายฮ่าวผู้นี้กลับเดินมาถึงระดับสูงเคียงบ่ากับพวกเขา ขยับไปอีกก้าวก็คืออาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลืองแล้ว และตลอดทั้งตระกูลป๋ายก็มีอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลืองอยู่แค่สองคน ซึ่งก็คือผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายและฝ่ายอาญา
ต่อให้เป็นประมุขตระกูลป๋ายเองก็ยังไม่ใช่ขั้นสีเหลือง ยามนี้เขาหน้าซีดเผือด มองภาพเหตุการณ์บนประตูหิน ความบ้าคลั่งในหัวใจแสดงออกมาทางดวงตาอย่างมิอาจอำพรางซ่อนเร้น
ไอสังหารของเขาเข้มข้นจนไม่สนใจอีกแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเก่งกาจน่าภูมิใจแค่ไหน เขาจะฆ่าคนเท่านั้น!!
ฮูหยินไช่ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ท่ามกลางผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงรุงรัง ความอำมหิตในดวงตาของนางก็เข้มข้นมืดดำประหนึ่งความดำมืดในเก้านรกภูมิ!
บัดนี้สายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนไปรวมกันอยู่ที่ทะเลเพลิงไฟสิบสี เสียงลมหายใจเริ่มเปลี่ยนมาเป็นดังแผ่ว ไม่นานพวกเขาก็เห็นว่าหลังจากที่ทะเลเพลิงผืนนั้นกลืนกินวิญญาณพยาบาทไปจนหมดมันก็มีสีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งสี!
วินาทีที่สีนี้ปรากฏขึ้นมา ลมหายใจของทุกคนพลันชะงักค้าง…บัดนี้โลกทั้งใบกลายตกอยู่ในความเงียบสงัด
ป๋ายเสี่ยวฉุนกำมือขวาเข้าหากัน เสียงตูมดังสนั่น ทะเลเพลิงหุบเข้ามารวมอยู่กลางฝ่ามือของเขา ไฟสิบเอ็ดสีลุกไหม้อยู่กลางมือที่แบออก ส่องสว่างพร่างพราวไปทั้งพื้นที่บรรพชน สะเทือนขวัญโลกทั้งใบของคนตระกูลป๋าย!
“สิบเอ็ดสี!!”
“เขา…เขาไม่ใช่ระดับสามขั้นสูงสุด เขาคือ…เขาคือ…”
“เขาคืออาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลือง!!!”
“นี่มันเป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร…” ทุกคนของตระกูลป๋าย จะเด็กจะแก่ ทุกคนต่างพากันเปล่งเสียงร้องอุทานอย่างตกตะลึงเกินกว่าทุกครั้งก่อนหน้านี้ ในเสียงอุทานเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยความคาดไม่ถึงและยิ่งมากด้วยความเหลือเชื่อ
“ขั้นสีเหลือง!!” พวกผู้อาวุโสล้วนตัวสั่นเทิ้ม แต่ละคนหอบหายใจหนักหน่วง ดวงตาเบิกถลน นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่อยากเชื่อสายตามากที่สุดเท่าที่ได้พบเจอมาในวันนี้ ถึงขั้นมากเกินกว่าเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฆ่าป๋ายฉีก่อนหน้านี้เสียอีก!
ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายและฝ่ายอาญาสองคนก็ใจสั่นสะท้าน มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในภาพบนประตูหินด้วยอาการอ้าปากกว้างตาค้าง
และคนที่ได้รับแรงกระตุ้นรุนแรงมากที่สุดก็คือฮูหยินไช่และประมุขตระกูลป๋าย ฮูหยินไช่ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น บนใบหน้าที่บิดเบี้ยวยังเหลือความดุร้ายให้เห็น ประมุขตระกูลป๋ายเองก็รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้านับแสนเส้นผ่าเปรี้ยงลงมาพร้อมๆ กัน อึ้งค้างอย่างสมบูรณ์แบบ
เขารู้ว่าป๋ายฮ่าวมีพรสวรรค์ด้านการหลอมไฟ อีกทั้งยังไม่ธรรมดามากด้วย แต่พรสวรรค์ก็เป็นเรื่องของพรสวรรค์ จะทำเป็นจริงได้หรือไม่นั้นยังเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทว่าตอนนี้เขาเห็นกับตาตัวเองว่าป๋ายฮ่าวหลอมตั้งแต่ไฟหนึ่งสีมาจนถึงสิบเอ็ดสี ภาพนี้ทิ่มแทงใจเขาอย่างหนัก ความสะท้านสะเทือนที่เขาได้รับจึงหาสิ่งใดมาเทียบเคียงไม่ได้
“นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!!” ประมุขตระกูลป๋ายพึมพำกับตัวเองพร้อมร่างที่สั่นเทิ้มไม่หยุด ใบหน้าเขาแดงก่ำลามไปยันลำคอ เขามีความรู้สึกเหมือนถูกหยามเกียรติอย่างรุนแรงจนไร้คำบรรยาย นับตั้งแต่ที่ไฟสิบเอ็ดสีโผล่ออกมา ความอัปยศนั้นก็ราวกับกำลังเผาไหม้ทุกอย่างที่เขามีให้มอดมลาย
“นี่ต่างหากถึงจะเป็น…บุตรกิเลนของตระกูลป๋าย…” คนอีกสองตระกูลและทูตจากนครผียักษ์ต่างก็ใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง อาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลืองที่อายุน้อยขนาดนี้ ทั่วทั้งขอบเขตอิทธิพลของนครผียักษ์ก็เรียกได้ว่าหายากยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลนแล้ว
ทว่าเสียงร้องฮือฮาแตกตื่นจากทุกคนยังไม่สิ้นสุด ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในพื้นที่บรรพชนยกมือขวาขึ้นอีกครั้งแล้วโบกสะบัดอย่างแรง การสะบัดมือของเขาครั้งนี้กลางสถูปวิญญาณมีวิญญาณพยาบาทระเบิดออกมาเป็นกลุ่มสุดท้าย
วิญญาณพยาบาทเหล่านี้เหลือเป็นชุดสุดท้ายในสถูปวิญญาณของเขาแล้ว ทว่ากลับมากพอจะให้เขาผลักจากไฟสิบเอ็ดสีไปสู่ไฟสิบสองสีได้ ขณะที่เปลวเพลิงยังคงลุกโชติช่วง เสียงสะเทือนเลือนลั่นที่ดังขึ้นก็ทำเอาทุกคนที่อยู่ข้างนอกมองตาค้างกันไปอีกหน
“เขา…เขาจะหลอมไฟสิบสองสี!!”
“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว…”
นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายระยับ ตอนนี้สมาธิทั้งหมดล้วนมารวมกันอยู่บนทะเลเพลิงรอบกาย เมื่อเปลวเพลิงแผ่ขยายออกไป เมื่อวิญญาณพยาบาทถูกผสานรวมไปเป็นจำนวนมาก พอเห็นว่าทะเลเพลิงนี้จะเกิดคลื่นไม่มั่นคง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ว่าหากตอนนี้ตนแยกร่างจำแลงออกมาช่วยกันทำให้ทะเลเพลิงนี้มั่นคง ถ้าเช่นนั้นก็จะสามารถทำให้ทะเลเพลิงกลายมาเป็นไฟสิบสองสีได้ในชั่วพริบตา!
และขอแค่ตนทดลองรวมทะเลไฟมาไว้กลางมือให้มันเป็นเปลวเพลิงโหมโชติช่วง ถ้าเช่นนั้น…ฝนไฟที่ตนสร้างขึ้นก็จะเทกระหน่ำลงมาอีกครั้ง
“ที่ข้ารออยู่ก็คือนาทีนี้แหละ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด ทันใดนั้นร่างของเขาก็พลันเกิดเงาทับซ้อน เมื่อเงาทับซ้อนปรากฏ เมื่อเงาของร่างจำแลงเผยตัว ภายใต้แรงกดดันที่ได้รับ ทะเลเพลิงผืนนี้ก็พลันระเบิดประกายแสงไฟน่าครั่นคร้าม
แสงนี้เจิดจ้าแสบตามากเกินไป ทำให้คนข้างนอกที่ดูผ่านภาพประตูหินมิอาจมองเห็นร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็มองไม่เห็นร่างจำแลงที่เดินออกมาจากในร่างของเขาด้วย
เพราะอย่างไรซะนี่ก็เป็นเพียงภาพที่สะท้อนออกมาให้เห็นเท่านั้น และต่อให้เป็นคนตระกูลป๋ายที่อยู่บนภูเขาในพื้นที่บรรพชนเองก็ยังมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ที่ชัดเจน ที่พวกเขามองเห็นมีเพียง…ทะเลเพลิงสิบสองสีที่เขย่าคลอนฟ้าดิน กระเทือนไปแปดทิศ!
และเวลานี้เอง หลังจากผ่านการพยายามมาอย่างยาวนาน ประตูหินนอกพื้นที่บรรพชนก็ได้ถูกประมุขตระกูลป๋ายเปิดออก…ในที่สุด!!
“ป๋ายฮ่าว ตายซะเถอะ!!” ประมุขตระกูลป๋ายแผดเสียงคำรามยาว พอประตูหินแง้มเป็นรอยปริหนึ่งเส้นเขาก็ก้าวพรวดเข้ามาข้างในโดยพลัน!
เวลาเดียวกันนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่กลางทะเลเพลิงในพื้นที่บรรพชนเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นว่าบนท้องฟ้าเบื้องหลังทะเลเพลิงมีรอยแยกขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น มองลอดผ่านรอยแยกไปเขาก็เห็นพวกคนในตระกูลป๋ายที่อยู่ข้างนอก…แล้วก็มองเห็นเงาร่างของประมุขตระกูลป๋ายที่กำลังจะก้าวเข้ามา ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนพลันมีความบ้าคลั่งระลอกหนึ่งวูบผ่าน
“จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็อยู่ที่ครั้งนี้แล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามอยู่ในใจตัวเอง แล้วจึงเดินพรวดออกมาหนึ่งก้าว หมายจะนำทะเลเพลิงสิบสองสีเดินออกไป…นอกพื้นที่บรรพชนพร้อมกัน!