Skip to content

A Will Eternal 607

บทที่ 607 หลอมไฟให้เป็นที่ประจักษ์

“วิญญาณคนฟ้า ได้มาอยู่ในมือแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ฮึกเหิม สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้ก่อกำเนิดวิถีฟ้าเป็นเพียงเส้นทางเดียวที่เหลืออยู่ หากมิอาจเดินต่อไปได้ เส้นทางแห่งการเป็นอมตะของเขาก็จะต้องขาดหายไปกลางคัน

และตอนนี้เขาก็มีวิญญาณคนฟ้าสี่ดวงแล้ว ขอแค่หาวิญญาณคนฟ้าทองมาได้ เขาก็จะ…รวมครบทั้งห้าธาตุ อาศัยวิญญาณคนฟ้าทั้งห้ามาฝ่าทะลุจากยาอายุวัฒนะ กลายมาเป็น…สิ่งที่มีเพียงในตำนานเล่าขานกันว่าก่อนหน้าเขา มีแค่เทียนจุนแห่งเกาะทงเทียนคนเดียวเท่านั้นที่เคยทำได้ นั่นคือ…ก่อกำเนิดด้วยวิญญาณคนฟ้าห้าธาตุ และก็เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าก่อกำเนิดวิถีฟ้า!!

“สร้างฐานรากวิถีฟ้าและยาอายุวัฒนะวิถีฟ้าล้วนทำให้อายุขัยของข้าเพิ่มพูนเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกัน ก่อกำเนิดวิถีฟ้าทำได้ยากเย็นขนาดนี้ ในด้านการเพิ่มอายุขัยก็ยิ่งต้องสยบฟ้าแน่นอน!!” ยามนี้เมื่อเขาโบกมือขวาหนึ่งครั้ง วิญญาณดินคนฟ้าก็บินเข้ามาอยู่ในสถูปสั่งสมวิญญาณผลึกใสของเขาอย่างรวดเร็ว!

“วิญญาณคนฟ้า เขาเก็บเอาวิญญาณคนฟ้าไปแล้ว!”

“เป้าหมายของป๋ายฮ่าวผู้นี้ก็คือวิญญาณคนฟ้านี่เอง!!”

“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ฆ่าป๋ายฉี แถมยังใช้เลือดของป๋ายฉีเปิดตราผนึก เอาวิญญาณคนฟ้าไป…หรือเขาคิดจริงๆ ว่าหลังจากที่เขาออกไปจะเอาวิญญาณคนฟ้ามาแลกเป็นวิญญาณสัตว์ฟ้าห้าธาตุได้!!”

ทุกคนในตระกูลป๋ายที่อยู่นอกพื้นที่บรรพชนต่างก็รู้สึกฉงนสนเท่ห์ไปกับการกระทำนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาลองคิดกลับกันให้เป็นตัวเอง หากตนเป็นป๋ายฮ่าว หลังจากฆ่าป๋ายฉีก็เท่ากับว่าทรยศตระกูลแล้ว ต่อให้เอาวิญญาณคนฟ้ามาได้ก็คงไม่สามารถแบกรับไฟโทสะที่มาจากตระกูลป๋ายได้

“นี่มันบ้าไปแล้ว นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นกบฏต่อตระกูลป๋าย ยังคิดจะแย่งวิญญาณคนฟ้าไปจากตระกูลป๋ายของเราด้วย!” ดวงตาของพวกผู้อาวุโสแต่ละคนที่อยู่นอกพื้นที่บรรพชนต่างก็ฉายแสงเย็นเยียบ ทว่าก็มีผู้อาวุโสบางส่วนของสายรองที่ดวงตากลับเปล่งประกาย

“ข้าว่าก็ไม่แน่เสมอไปหรอก บางทีที่ป๋ายฮ่าวผู้นี้ฆ่าป๋ายฉีอาจเป็นเพียงเรื่องระหว่างพวกเขาก็ได้ และวิญญาณคนฟ้านี้ใครได้ไปก็ย่อมต้องเป็นของคนนั้น…”

“ถูกต้อง หากหลังจากที่ป๋ายฮ่าวเดินออกมาแล้วมอบวิญญาณคนฟ้าให้กับตระกูลเพื่อแลกเป็นวิญญาณสัตว์ฟ้าธาตุล่ะก็ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้มีใจที่จะก่อกบฏ…”

ขณะที่ทุกคนเกิดความคิดมากมายเพราะการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงร้องเศร้าตรมของฮูหยินไช่ก็พลันเปลี่ยนมาเป็นอำมหิตเหี้ยมโหด

“มันต้องตายสถานเดียวเท่านั้น มันฆ่าฉีเอ๋อร์ของข้า มันต้องตาย!!”

“ไม่ว่าเขาจะคิดยังไง ป๋ายฮ่าวผู้นี้ก็ต้องตายอยู่ดี ฆ่าคนในพื้นที่บรรพชนก็ถือว่าเป็นกบฏต่อตระกูลแล้ว!” คนในตระกูลสายหลักก็มีหลายคนที่เคียดแค้นจนพากันเอ่ยปาก

เมื่อเห็นว่ารอบด้านเริ่มมีเสียงดังจอแจ ประมุขตระกูลป๋ายที่กำลังโจมตีประตูหินพลันหันขวับกลับมาด้วยสีหน้าดุร้าย นัยน์ตาเต็มไปด้วยไอสังหาร ก่อนที่เขาจะตะเบ็งเสียงคำรามดังลั่น

เสียงคำรามนี้ดังเกินอสนีบาต กลบทับเสียงของทุกคนไปทันควัน

“ด้วยฐานะประมุขตระกูลของข้าผู้อาวุโส ขอประกาศว่าป๋ายฮ่าวทรยศต่อตระกูล ต้องถูกลงโทษให้แหลกสลายทั้งกายและจิต ล้างมลทินให้กับตระกูล เพื่อเป็นคำเตือนไม่ให้ใครเดินรอยตาม!!”

เสียงที่ลอดไรฟันออกมาของเขาเย็นเยียบประดุจวันที่อากาศหนาวที่สุดซึ่งดังไปทั่วบริเวณ และเขาก็ถึงขนาดใช้ตัวตนประมุขตระกูลของตัวเองกำหนดโทษทรยศตระกูลให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนไปเรียบร้อยแล้ว!

ขณะเดียวกันใต้ดินของตระกูลป๋าย ในห้องลับกลางตำหนักใต้ดิน บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายที่นั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางเทียนเก้าเล่มที่มีเปลวไฟสีเขียวลุกโชน ยามนี้นัยน์ตาของเขามืดดำรุบรู่ ทั้งยังลึกล้ำราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจความวุ่นวายภายนอกรวมไปถึงเสียงคำรามกร้าวจากประมุขตระกูลป๋ายเลยแม้แต่น้อย

ในดวงตาของเขาตอนนี้มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในภาพบนประตูหินเท่านั้น และไม่นานในดวงตาทั้งคู่ของเขาที่มองดูเหมือนหม่นมัวก็ค่อยๆ เผยให้เห็นความตื่นเต้นและละโมบ

“เขา…ช่างเหมาะกับเป็นเรือนร่างให้ข้าจุติใหม่ยิ่งนัก…” หน้าอกที่ผ่ายผอมของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายกระเพื่อมขึ้นลงถี่รัวอยู่ครู่หนึ่ง เขาทำท่าจะลุกขึ้นยืน ทว่ากลับมองไปยังเทียนเก้าเล่มที่ลุกไหม้อยู่รอบกายด้วยความลังเล สุดท้ายก็นั่งลงไปอีกครั้งช้าๆ

และยามนี้ในพื้นที่บรรพชน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เก็บวิญญาณคนฟ้าไปได้แล้วจึงข่มกลั้นความตื่นเต้นในใจลงไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนภากาศ เนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วปริออกเป็นรอยแยกเสี้ยวหนึ่งจึงเห็นได้ถึงขั้นตอนการเปิดทางเข้าของพื้นที่บรรพชนบนท้องฟ้าอย่างชัดเจน

“อีกประมาณครึ่งก้านธูป…ก็น่าจะเปิดออกได้แล้วกระมัง” ป๋ายเสี่ยวฉุนอดตึงเครียดไม่ได้ แต่กลับสูดลมหายใจเข้าลึกให้ตัวเองสงบลง มือขวายกขึ้นสะบัดหนึ่งครั้งกลางฝ่ามือของเขาก็มีถุงเก็บของใบหนึ่งปรากฏออกมาทันที

ถุงเก็บของใบนี้ก็คือสิ่งของของป๋ายฉี หลังจากที่ป๋ายฉีตายไป ตราประทับที่อยู่ด้านในจึงสลายหายไปด้วย กลายมาเป็นวัตถุที่ไม่มีเจ้าของ ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดพลังจิตมองไปด้านในถุงเก็บของอยู่ชั่วครู่ ดวงตาของเขาก็พลันฉายแสงลุกเรือง

ไม่นานเขาก็หยิบเอาแผ่นกระดูกแผ่นหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ ซึ่งในแผ่นกระดูกนี้คือการบันทึกที่สมบูรณ์แบบ…ของลายมือที่ป๋ายฮ่าวเคยเขียนไว้บนพื้นในห้องตัวเองแต่กลับถูกคนลบทิ้งไป!

“ตำรับการหลอมไฟสิบห้าสี…และยังมีความเข้าใจจากการอนุมานของป๋ายฮ่าว…” ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความยินดี ลมหายใจเปลี่ยนมาเป็นถี่กระชั้นน้อยๆ วัตถุชิ้นนี้สำหรับเขาแล้วมีมูลค่ามากมหาศาลไม่ด้อยไปกว่าวิญญาณคนฟ้าเลย ตำรับการหลอมไฟสิบห้าสียังถือว่าเป็นเรื่องรอง

ที่สำคัญที่สุดก็คือวิธีการอนุมานของป๋ายฮ่าวซึ่งเกี่ยวพันไปถึงเรื่องความเข้าใจมากมายในด้านของการหลอมไฟและการหลอมวิญญาณ

สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วสิ่งเหล่านี้เขาสามารถนำมาเป็นหลักการเทียบเคียงทำความเข้าใจ ช่วยเพิ่มพูนความรู้ด้านการหลอมไฟของเขาให้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับไม่ต่างจากตำรายาบนป้ายศิลาหินของในเขตแม่น้ำทงเทียน

เก็บแผ่นกระดูกนี้ลงไป ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งนัยน์ตาของเขาก็เผยแววเด็ดเดี่ยว จนถึงกระทั่งตอนนี้ เรื่องหลักๆ ที่ทำให้เขามาเยือนตระกูลป๋าย เขาได้ทำเสร็จไปพอสมควรแล้ว เรื่องที่เหลืออยู่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำได้ในตอนนี้

“ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือรับประกันว่าตัวเองจะจากไปได้อย่างปลอดภัย…” แต่ไหนแต่ไรมาป๋ายเสี่ยวฉุนก็แสวงหาความมั่นคงในความมั่นคงและในความมั่นคงเพื่อชีวิตน้อยๆ ของตัวเองมาโดยตลอด

ยามนี้ทั้งๆ ที่เขาสามารถร่ายใช้วิชาผนึกมิวางวายผสานรวมกับความว่างเปล่าหนีไปจากพื้นที่บรรพชนจนไปโผล่ที่ค่ายกลใหญ่ของตระกูลป๋ายได้ แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ต่อให้พอออกไปจากพื้นที่บรรพชนแล้วเขายังสามารถใช้งานตะปูวิญญาณร้ายที่เตรียมเอาไว้มาเขย่าคลอนค่ายกลใหญ่ตระกูลป๋ายได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าตนควรจะเลือกวิธีที่มั่นคงกว่านั้นอีกนิด

“ชีวิตน้อยๆ เกิดมามีแค่ครั้งเดียว การประมาทหรือการที่คิดว่าตนพอใจแล้ว ไม่ว่าจะครั้งใดก็ตามก็ล้วนสามารถสร้างหายนะครั้งใหญ่ที่ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ใจก็เริ่มแกว่ง หลังจากกะพริบตาหนึ่งครั้ง เขาก็กัดฟันกรอด

“เพื่อชีวิตน้อยๆ ต่อให้ต้องเตรียมการมากมายแค่ไหนก็คุ้ม หลังจากที่ข้าออกไปแล้ว หากมีวิธีการใดที่ทำให้ตระกูลป๋ายโกลาหลอลหม่านจนเกี่ยวพันไปยันบุรพาจารย์คนฟ้า ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะยิ่งปลอดภัยมากกว่าเดิม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้นัยน์ตาก็วาววับ

“รู้แล้ว…ก่อนที่ข้าจะออกไป หากทิ้งไฟโลกันตร์ไว้ให้กับตระกูลป๋าย ถ้าเช่นนั้นตระกูลป๋ายก็จะต้องยิ่งวุ่นวายแตกตื่นกันมากกว่าเดิม แม้แต่บุรพาจารย์คนฟ้าก็ยังจำเป็นต้องดับไฟนั้นให้ได้ก่อน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ดวงตากลอกกลิ้งไม่หยุด ในใจเริ่มฮึกเหิม แล้วเขาก็พลันตระหนักได้ว่าก่อนที่ตนจะจากไปดูเหมือนว่าจะยังสามารถทำให้ทุกคนในตระกูลป๋ายได้เห็นความร้ายกาจของตนอีกสักหน่อย

ความรู้สึกได้มีหน้ามีตาด้วยการถ่อมตนเช่นนี้ทำให้หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเต้นรัวเร็ว

“ถ้าเป็นแบบนี้ หลังจากที่ข้าจากไป พวกคนที่เป็นศัตรูกับตระกูลป๋ายก็จะยิ่งต้องสนใจในตัวข้าสินะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องหึเบาๆ หนึ่งที ก่อนที่จะบินพรวดไปหยุดอยู่กลางอากาศ

เมื่อเขาบินออกมา พวกคนตระกูลป๋ายที่อยู่บนภูเขาก็หันขวับมองตามด้วยอาการใจหายใจคว่ำ ไม่ใช่แค่สายตาของพวกเขาที่มองจ้องมา พวกคนที่อยู่ด้านนอกก็หันมามองเหมือนกัน

นาทีที่กลายมาเป็นจุดรวมสายตาของคนนับหมื่น อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งคึกคะนองมากกว่าเดิม เขารู้สึกเหมือนว่าความปรารถนาของตัวเองตอนอยู่สำนักสยบธารในปีนั้นทำให้เป็นจริงได้ง่ายกว่าเมื่อมาอยู่ในแดนทุรกันดารแห่งนี้

บัดนี้พกพาเอาความลำพองใจ ความฮึกเหิม มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นในสถูปวิญญาณของเขาก็มีวิญญาณพยาบาทจำนวนมากบินออกมา หลังจากที่บินออกมาแล้ว วิญญาณพยาบาทเหล่านี้ก็แตกฮือกันไปแปดทิศทันที

ขณะที่พวกคนของตระกูลป๋ายกำลังยืนงง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันยกมือขวาแล้วทำท่าคว้าไปยังวิญญาณพยาบาทกลุ่มนั้นด้วยท่าทางที่เหมือนไม่ใส่ใจนัก!

การเอื้อมคว้าครั้งนี้ มือขวาของเขาเหมือนกลายมาเป็นหลุมดำที่ดูดเอาวิญญาณพยาบาทเข้ามารวมกันกลางฝ่ามือในชั่วพริบตา ก่อนที่เขาจะกำมือเข้าหากัน เมื่อแบมือออกอีกครั้ง กลางฝ่ามือของเขาก็พลันปรากฏเป็น…ไฟหนึ่งสีกลุ่มหนึ่ง!

ภาพนี้ทำให้คนตระกูลป๋ายที่อยู่บนภูเขาพากันเบิกตากว้างด้วยความสงสัย คนข้างนอกก็เป็นไม่ต่างกัน!

“เขากำลังหลอมไฟ!!”

“อะไรจะชำนาญขนาดนี้ แม้จะเป็นแค่ไฟหนึ่งสี ทว่าแค่เอื้อมมือคว้าก็หลอมสำเร็จได้เลย!!”

พวกผู้อาวุโสม่านตาหดตัว ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายก็ยิ่งใจสั่นเยือก แค่เห็นมือที่คว้าจับของป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็มองออกถึงเรื่องราวมากมาย…

การหลอมไฟของป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่สิ้นสุด ขณะที่ทุกคนพากันหันไปมองด้วยความตื่นตะลึง เขาก็โบกไฟหนึ่งสีที่อยู่ในมือออกมา พอมันเขมือบกลืนวิญญาณพยาบาทเข้าไปแล้ว เขาก็คว้าจับ…ด้วยท่าทางไม่ยี่หระอีกครั้ง!

ไฟสามสี! ไฟห้าสี!

ไฟเจ็ดสี!

เวลาแค่พริบตาเดียวป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหลอมไฟอยู่กลางอากาศได้ถึงเจ็ดสี ทุกครั้งที่เปลวเพลิงแลบแผ่ออกมา ความรู้สึกที่เหมือนว่าเขาชำนาญอย่างถึงที่สุด ผ่อนคลายเหมือนเดินชมนกชมไม้อยู่ในสวนก็ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นมองตาค้างกันไปทันที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่ม!

“อาจารย์หลอมวิญญาณระดับสาม!!”

“สวรรค์ ข้าไม่แปลกใจหรอกที่เขาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณระดับสาม แต่…แต่ความเร็วและอัตราความสำเร็จในการหลอมไฟของเขาทำไมถึงได้มีสูงขนาดนี้!!”

“ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม ครั้งเดียวเนี่ยนะ…เขาถึงกับหลอมไฟได้ถึงเจ็ดสีในคราวเดียวเลยเนี่ยนะ!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version