บทที่ 612 กำราบบิดาป๋าย
“มีแค่เขาคนเดียวจริงๆ รึนี่?!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองหัวผียักษ์ที่กำลังขยับเข้ามาใกล้ด้วยดวงตาวาววับ มือทำมุทรากระถางมายาสีม่วงขนาดมหึมาก็พลันดิ่งฮวบลงมาปะทะเข้ากับหัวผียักษ์นั้นอย่างจัง
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดปลายลิ้นพ่นเลือดออกมาหนึ่งคำทั้งยังหวีดร้องโหยหวน ส่วนร่างก็ถอยหลังกรูดเร็วรี่ แสร้งทำเป็นว่าสู้ไม่ได้หมายจะหนีไป ทั้งยังถึงขั้นหยิบเอายันต์นำส่งอีกเจ็ดแปดชิ้นออกมาทำท่าจะบีบให้แตกด้วย
ทว่าลูกตาของเขากลับกลอกกลิ้งไปมา ในใจยังไม่แน่ใจว่าบุรพาจารย์คนฟ้านั่นตามมาด้วยจริงๆ หรือไม่
เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบยันต์นำส่งออกมาเจ็ดแปดชิ้นและกำลังจะบีบให้แตก ประมุขตระกูลป๋ายก็แผดเสียงคำรามเจ็บแค้น ในใจเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุด หากป๋ายเสี่ยวฉุนบีบยันต์นำส่งแค่ชิ้นเดียวเขายังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้างว่าสามารถขัดขวางการจากไปของคนผู้นี้ อีกทั้งด้วยความเร็วของตนก็ยังสามารถกระชากอีกฝ่ายออกมาจากการนำส่งได้!
ทว่าตอนนี้นั่นคือยันต์นำส่งเจ็ดแปดชิ้นเชียวนะ…ต้องรู้ว่าในแดนทุรกันดาร ต่อให้เป็นเพียงแค่ยันต์นำส่งชิ้นเดียวก็ยังมีราคาแพงมหาศาล เพราะนั่นคือวัตถุที่สามารถนำมาแลกน้ำของแม่น้ำทงเทียนได้เลย
ดวงตาทั้งคู่ของประมุขตระกูลป๋ายพลันอบอวลไปด้วยไอสังหาร ใจปรารถนาที่อยากปลิดชีวิตป๋ายเสี่ยวฉุนดุเดือดถึงขีดสุดจนมิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีกต่อไป เขาตะเบ็งเสียงคำรามดังลั่น เมื่อมือทั้งคู่ทำมุทราตบะก่อกำเนิดช่วงกลางก็ระเบิดออกทุกด้าน ตลอดทั้งร่างคล้ายกลายมาเป็นน้ำวนหลุมดำขนาดใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่งที่ทำให้ความว่างเปล่าโดยรอบบิดเบือนไปในชั่วพริบตา
อำนาจจิตของเขาก็ยิ่งแผ่ออกมารบกวนห้วงมิติรอบด้าน เขาก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวก็โผล่พรวดมาอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับหายตัวได้ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นเอื้อมคว้าหมายกระชากตัวป๋ายเสี่ยวฉุนมาอย่างแรง
“ต่อให้เจ้าหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าผู้อาวุโสก็จะต้องจับเจ้ากลับมาให้ได้!!”
การคว้านี้ทะลุทะลวงความว่างเปล่ามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง แต่หากป๋ายเสี่ยวฉุนบีบยันต์นำส่ง แม้อาจต้องได้รับบาดเจ็บอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าก็ยังพาให้เขาหนีไปได้
อีกอย่างพอเห็นสีหน้าดุร้ายเหี้ยมเกรียมของประมุขตระกูลป๋ายที่เหมือนว่าอีกฝ่ายน่าจะพูดจริงไม่มีล้อเล่น และป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นคนชอบความมั่นคง ดวงตาทั้งคู่ของเขาจึงวาบไหวแล้วบีบยันต์นำส่งทันทีอย่างไม่มีลังเล
“ตูม!”
วินาทีที่มือขวาของประมุขตระกูลป๋ายพุ่งมาคว้า ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายวับไปท่ามกลางพลังนำส่ง ทำให้มือของประมุขตระกูลป๋ายคว้าไว้ได้เพียงความว่างเปล่า เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหนีไปได้ เขาก็แหงนหน้าแผดเสียงคำรามยาวเหยียด
“เจ้าหนีไม่รอดหรอก!!” ประมุขตระกูลป๋ายโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วง สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก่อนจะเหยียบลงไปบนเรือวิญญาณแล้วกระตุ้นใช้ผ้าใบเรือสีม่วงผืนใหญ่ ไล่ตามตราแห่งจิตที่บุรพาจารย์มอบให้ไปอีกครั้ง
และเวลาแค่ครึ่งก้านธูป อีกพื้นที่หนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังเผ่นหนีอยู่ท่ามกลางความคลางแคลงใจยังคงขบคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
“หากมีคนอื่นซุ่มอยู่จริงๆ ย่อมไม่ปล่อยให้ข้าหนีมาต่อหน้าต่อตาแบบนั้น…น่าจะลงมือกันเลยถึงจะถูก หรือว่า…มีแค่ประมุขตระกูลป๋ายคนเดียวจริงๆ ที่ไล่ตามข้ามา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่อยากเชื่อ
อันที่จริงแล้วถึงแม้ว่าเขาจะแสดงความโดดเด่นออกมาในพื้นที่บรรพชนตระกูลป๋าย แถมยังหนีรอดเงื้อมมือของบุรพาจารย์คนฟ้ามาได้
ทว่าในสายตาของทุกคน จะอย่างไรเขาก็…เป็นเพียงแค่รวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ แม้จะหนีพ้นเวทอภินิหารของบุรพาจารย์คนฟ้า แต่ทุกคนก็ล้วนวิเคราะห์ว่าสาเหตุนั้นเป็นเพราะการเล่นเล่ห์เสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นยันต์นำส่งหรือตะปูวิญญาณร้ายก็ล้วนถือเป็นหนึ่งในเล่ห์กลเหล่านั้น
และสิ่งเดียวที่ทำให้นักพรตก่อกำเนิดกริ่งเกรงได้ก็คือไฟสิบสองสีของ
ป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ไฟเช่นนี้ หากนักพรตก่อกำเนิดทุ่มสุดพลังจริงๆ ก็ยังพอจะมองเมินไปได้ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงประมุขตระกูลป๋ายที่เป็นถึงก่อกำเนิดช่วงกลาง เขามั่นใจอย่างถึงที่สุดอยู่แล้วว่าต้องสามารถฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
“อีกอย่าง ประมุขตระกูลป๋ายนี่ก็ถึงกับหาตำแหน่งของข้าเจออย่างแม่นยำ มันคือเรื่องบังเอิญหรือ…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังครุ่นคิด ใจก็พลันกระตุก หันขวับกลับไปมอง ดวงตาของเขาหดตัวเข้าหากันเพราะเห็นทันทีว่าจุดที่ห่างไปไกลมีแสงสีม่วงเส้นหนึ่งกำลังไล่กวดมาอย่างรวดเร็ว ในแสงสีม่วงนั้นก็คือประมุขตระกูลป๋าย
“ตามมาทันอีกแล้วหรือนี่…แถมเห็นได้ชัดว่ารู้ตำแหน่งของข้า เล็งเป้าหมายได้อย่างแม่นยำโดยไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย…” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนวูบไหว หัวใจเต้นกระหน่ำรัวแรง แม้จะตื่นเต้นอย่างห้ามไม่ได้ แต่เขากลับเข้าใจดีว่าไม่มีเหตุผลให้ตนต้องหนีอีกต่อไปแล้ว
“ก่อกำเนิดช่วงกลาง…ประมุขตระกูลป๋าย เจ้าบีบข้าเองนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามต่ำ ครั้งนี้เขาไม่ได้หนี แต่ระเบิดพลังกล้ามเนื้อทั้งหมดออกมา ท่ามกลางเสียงดังตูมตาม ร่างของเขามองดูเหมือนปกติ ทว่าในความเป็นจริงแล้วพลังของวิชาอมตะมิวางวายขั้นที่สามได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างเป็นที่เรียบร้อย
ทำให้เขากลายมาเป็นเหมือนมังกรดุร้ายคลุ้มคลั่ง ขณะที่ปากคำรามกร้าว
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ก้าวเข้าไปหาประมุขตระกูลป๋ายหนึ่งก้าว ก้าวนี้เหยียบลง ความเร็วของเขาก็แผ่ขยายตามไปด้วย ความเร็วนั้นทำให้กลายมาเป็นภาพติดตาที่เร็วกว่าสายฟ้าแลบ แหวกผ่านอากาศตรงเข้าหาประมุขตระกูลป๋าย
ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกว่าความเร็วของตัวเองยังไม่มากพอ…
“ชนาเขย่าภูเขา!” เขาร้องคำรามอยู่ในใจ ร่ายเวทลับของบทมิวางวายออกมาทันที ทำให้ความเร็วที่เดิมทีก็น่าตะลึงมากพออยู่แล้วไต่ทะยานขึ้นสูงในชั่วพริบตา เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างของเขาก็เหมือนหายวับไป มาปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ตรงหน้าประมุขตระกูลป๋ายแล้ว ก่อนที่เขาจะยกมือขวาขึ้นรวมพลังทั้งหมดในร่างไปไว้ที่มือ แล้วยื่นเข้าหาลำคอของประมุขตระกูลป๋าย!
ร่ายใช้…ตรวนสลายลำคอ!!
ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนยาว แต่ในความเป็นจริงเกิดแค่เพียงเวลาชั่วสายฟ้าแลบ เร็วจนน่าเหลือเชื่อ ม่านตาทั้งคู่ของประมุขตระกูลป๋ายหดตัวลง ทว่ากลับตามมาด้วยสีหน้าที่ยิ่งดุร้าย
“รนหาที่ตาย!” มือทั้งคู่ทำมุทราโบกไปรอบด้านหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นม่านแสงสีม่วงชั้นหนึ่งก็พองขยายออกมาจากร่างของเขากลายมาเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่ง การป้องกันนี้รวมขึ้นจากตบะของเขา ทั้งยังมากด้วยพลังของอาวุธวิเศษ สีหน้าของเขามีความเหี้ยมโหด ก่อนจะพุ่งชนใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแรงดั่งคนคลั่งแค้น
“เจ้าลูกทรยศ แม้ว่าตบะของเจ้าจะอยู่เหนือกว่าที่ข้าผู้อาวุโสคาดการณ์ไว้ แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพลังกล้ามเนื้อของเจ้าจะยังเกินความคาดคิดของข้าอีก!!” ประมุขตระกูลป๋ายตวาดเสียงกระด้าง และพริบตานั้นก็ขยับเข้าไปใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมองไกลๆ คนทั้งสองเป็นเหมือนดาวตกสองดวงที่พุ่งเข้าปะทะกันอย่างจังกลางอากาศ!!
วินาทีที่ชนกันนั้น ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่น ความว่างเปล่าก็เหมือนจะระเบิดพังทลาย เสียงกัมปนาทที่เขย่าคลอนชั้นฟ้าและพื้นดินพลันก้องกังวานไปแปดทิศ เสียงนั้นดังเกินฟ้าผ่า ไม่เพียงแต่สะเทือนจนแก้วหูจะดับ ยังทำให้ความว่างเปล่าเหมือนจะพังทลายลงมาจนเกิดเป็นรอยปริร้าวหลายเส้น
เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของประมุขตระกูลป๋ายพร้อมเลือดที่พุ่งทะลักตามมา เรือวิญญาณที่อยู่เบื้องล่างถูกม้วนตลบออกไป ร่างของเขาถอยร่นไปด้านหลังอย่างรวดเร็วเหมือนว่าวที่สายป่านขาด
เส้นผมของเขาพันกันยุ่งเหยิง หน้าเปลี่ยนสี ดวงตาทั้งคู่ที่ราวกับเห็นผีแฝงไว้ด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าแผดเสียงคำรามแหบโหย
“เจ้าไม่ใช่ป๋ายฮ่าว!!”
จุดเดิมที่คนทั้งสองชนเข้าด้วยกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร่างสั่นสะเทือน ชาดิกไปทั้งตัวเหมือนกัน การชนแบบนี้เขาไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้ว และนี่ก็เป็นการกระทำที่ทำให้เขาพลันตระหนักได้ว่า ที่แท้…พลังกล้ามเนื้อของตนแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้!!
การชนเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด กลับกลายเป็นว่าอาการชายิบๆ เช่นนี้ดันทำให้เขารู้สึกโปร่งโล่งสบาย นี่ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งประกายทันที
แต่เขากลับไม่มีเวลารับสัมผัสกับมันนานนัก เมื่อเห็นว่าประมุขตระกูลป๋ายถูกตนชนจนปลิวกระเด็น สูญเสียโอกาสชิงลงมืออย่างที่อีกฝ่ายไม่คาดคิด ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปล่งวาบ เดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยความฮึกเหิมถึงขีดสุด ก่อนจะยกมือขวาขึ้นตบลงไปบนถุงเก็บของ
หยิบเอาธนูคันใหญ่ของโจวอีซิงออกมาแล้วขึ้นสาย ฉวยโอกาสที่ประมุขตระกูลป๋ายยังตั้งตัวไม่ทัน ยิงธนูออกไปรวดเดียวร้อยดอก!
ธนูนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ลูกธนูของจริง แค่ขึ้นสายมันก็จะรวบรวมพลังจิตวิญญาณให้กลายมาเป็นลูกธนูวิญญาณด้วยตัวเอง แม้ว่าพลังของป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ใช่พลังจิตวิญญาณ ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของหน้ากากจึงไม่มีความต่างใดๆ
สวบๆๆๆ!!
พริบตาเดียว ลูกธนูนับร้อยดอกก็ทะยานออกไปจากมือของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายห่าลูกธนู ประหนึ่งจะฉีกกระชากทุกอย่าง ใช้พลังอำนาจที่กวาดทำลายทุกอย่างให้พินาศวอดวายนี้ตรงดิ่งเข้าหาประมุขตระกูลป๋าย
ความเร็วนั้นเรียกได้ว่ากรีดผ่าอากาศ ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง เมื่อลูกธนูดอกแรกมาระเบิดอยู่เบื้องหน้าประมุขตระกูลป๋าย ลูกธนูอื่นๆ ก็ทยอยกันระเบิดกระจายกลายมาเป็นการโจมตีและลูกคลื่นที่ทำให้หน้าของประมุขตระกูลป๋ายเปลี่ยนสีอย่างต่อเนื่อง ลมหายใจของเขาหอบหนัก ไม่มีเวลาให้คิดมาก ได้แต่พยายามหลบเลี่ยง
ทว่าขณะที่เขาจะเบี่ยงหลบนั้นเอง ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฉายแสงลุกเรือง เนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วเบิกโพลงทันใด ตามมาด้วยแสงสีม่วงที่พุ่งพรวดจากเนตรทงเทียนของเขาดังตูมตามตรงเข้าไปกระแทกบนร่างของประมุขตระกูลป๋าย
“หยุด!!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนดังลั่น ใจของประมุขตระกูลป๋ายก็ร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในสมองเกิดคลื่นลูกใหญ่ถาโถม เขาค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าร่างกายตนเอง…เกิดหยุดชะงักไปเสี้ยวนาที
การหยุดชะงักเพียงแค่เสี้ยวนาทีนี้แลกมาด้วยลูกธนูนับร้อยดอกที่พากันมาระเบิดอยู่รอบกายประมุขตระกูลป๋ายแทบจะในเวลาเดียวกัน!!
นภากาศบิดเบือน พื้นดินสั่นไหว เรือนกายของเขาที่อยู่ด้านในนั้นมองเห็นไม่ชัด เห็นเป็นเพียงผืนภาพที่พร่าเลือนเท่านั้น!
เมื่อลูกธนูเหล่านั้นระเบิดกระจาย ภูเขาสูงลูกหนึ่งที่อยู่ข้างกายประมุขตระกูลป๋ายก็ถึงกับพังถล่มตามมาด้วย ทว่าเวลานี้เองเสียงคำรามเดือดดาลกลับพลันดังออกมาจากกลุ่มลูกธนูที่แตกกระจาย
“เจ้ายังไม่มีสิทธิ์ที่จะสังหารข้าผู้อาวุโสได้!!”