Skip to content

A Will Eternal 613

บทที่ 613 คุณพระช่วย

ในเสียงนี้แฝงไว้ด้วยความคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด ทั้งยังมากด้วยความเดือดดาลบ้าคลั่ง ในความโกรธแค้นนี้มีทั้งความโกรธที่ตนถูกหยามเกียรติ มีทั้งความแค้นที่ต้องเห็นลูกรักของตัวเองมาตายไปต่อหน้าต่อตา ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดที่ราวกับว่าหากป๋ายฮ่าวยังมีชีวิตอยู่จะทำให้ตนที่ประมุขตระกูลป๋ายต้องอึดอัดคับแค้นไปกับการที่ถูกคนอื่นประณามหยามหยันตลอดเวลา!

เมื่อความโกรธแค้นทั้งหลายทั้งแหล่มารวมเข้าด้วยกัน ทั้งๆ ที่เสียงของประมุขตระกูลป๋ายยังก้องอยู่ระหว่างฟ้าดิน หมัดวิญญาณขนาดใหญ่ยักษ์หมัดหนึ่งกลับพุ่งกรากออกมาจากจุดที่ลูกธนูระเบิดกระจาย จุดที่ความว่างเปล่าบิดเบือนพร่าเลือน

หมัดวิญญาณนี้ใหญ่พอร้อยจั้ง มองดูแล้วสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอย่างมาก มันเกิดจากการรวมกันของดวงวิญญาณล้วนๆ และเป็นหนึ่งในเวทลับของตระกูลป๋าย หมัดวิญญาณหมื่นจั้ง!

เพียงแต่ว่าถึงแม้จะชื่อหมื่นจั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าตบะของประมุขตระกูลป๋ายยังอยู่ห่างไกลเกินกว่าจะทำได้ ทว่าร้อยจั้งนี้กลับเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา

พูดแล้วเหมือนช้า แต่การปรากฏตัวของหมัดวิญญาณนี้กะทันหันเกินไป พริบตาเดียวก็แหวกอากาศมาโผล่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน

ปัง!!

เสียงกัมปนาทราวแก้วหูจะดับดังโจมตีไปสี่ทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หน้าเปลี่ยนสีเหมือนกัน ร่างของเขาถอยกรูดไปข้างหลัง และวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยร่นไปนั้น เสียงคำรามเดือดดาลของประมุขตระกูลป๋ายก็ยังคงดังสะท้อนไม่จางหาย ก่อนจะตามมาด้วยหมัดวิญญาณร้อยจั้งหมัดที่สองซึ่งโผล่ออกมาเสียงดังตูมตามพร้อมพกพาพลานุภาพเขย่าคลอนฟ้าดินมาด้วย…

แล้วก็ตามมาติดๆ ด้วยหมัดที่สาม หมัดที่สี่…

พริบตาเดียวในจุดที่อากาศบิดเบือนก็มีหมัดต่อยโครมครามติดต่อกันถึงเก้าหมัด ไม่ต่างไปจากห่าลูกธนูที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยิงไปก่อนหน้านี้!

หมัดวิญญาณเก้าหมัดประหนึ่งตราประทับฝ่ามือเก้าชนิด ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมและเมฆพัดตลบ ทุกหมัดล้วนต่อยโครมลงเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนจะระเบิดออกพร้อมกัน ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะหลบเลี่ยงรวดเร็วแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถหลบได้พ้นทั้งหมด

ภายใต้เสียงกัมปนาทที่ดังซัดเป็นทอดๆ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอยร่นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ปราณของเขากระเพื่อมไหวไม่มั่นคงเล็กน้อย ม่านตาทั้งคู่หดตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดศึกตัดสินเป็นตายกับก่อกำเนิดช่วงกลาง ยามนี้เขาเองก็พอจะวิเคราะห์ได้ว่าด้วยพลังในการต่อสู้ของตัวเองตอนนี้หากไม่ร่ายใช้ร่างจำแลง แม้จะสามารถโรมรันพันตูกับนักพรตก่อกำเนิดช่วงกลางได้ แต่กลับไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้

“แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าตอนนี้ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดิมอีกแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนให้กำลังใจตัวเองอยู่ในใจ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง ดวงตาเปล่งแสงวาววับ ทันใดนั้นหลังจากที่หมัดวิญญาณทั้งเก้าของประมุขตระกูลป๋ายต่อยโครมลงมาจนความว่างเปล่าบิดเบือน ร่างของประมุขตระกูลป๋ายก็พลันพุ่งถลันออกมาข้างนอก

ผมของเขายุ่งเหยิงไปทั้งหัว นัยน์ตามีเส้นเลือดฝอยมองดูเหี้ยมเกรียม

วินาทีที่พุ่งออกมาตลอดทั้งร่างก็ราวกับกลายมาเป็นรุ้งยาวหนึ่งเส้นที่ทะยานเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

“เวทลับตระกูลป๋าย ร้อยผีรัตติกาลเดินขบวน!!” ชั่วขณะที่พุ่งตัวออกมา เสียงของเขาราวกับดังมาจากเก้านรกภูมิ ท่ามกลางลมเย็นเยียบน่าสะพรึงกลัว

อำนาจจิตของเขาก็แผ่ออกมาด้วย นี่ต่างไปจากเวทลับของสำนักธาราเทพ ของตระกูลป๋ายนั้นใช้พลังจิตแปลงมาเป็นผี

เมื่อเวทลับนี้ร่ายออกมา ทั้งๆ ที่ท้องฟ้ามีแดดสาดส่องเห็นได้ชัดว่าเป็นเวลากลางวัน ทว่ารอบกายของประมุขตระกูลป๋ายในรัศมีร้อยจั้งกลับปรากฏเป็นราตรีดำมืด!

พื้นที่ตรงนั้นมีแต่ความมืดมิด แม้แต่แสงสว่างก็ยังมิอาจลอดทะลุเข้าไปถึงด้านใน ประหนึ่งมีดวงอาทิตย์สีดำดวงหนึ่ง และท่ามกลางสีดำทะมึนนี้ยังมี…ดวงตานับร้อยคู่!!

ดวงตาเหล่านี้ล้วนเป็นสีแดงฉาน มองดูดุร้ายน่าสยดสยอง หลังจากที่ปรากฏขึ้นเสียงคำรามสะเทือนฟ้าดินก็ดังกระหึ่ม จากนั้น…ในดวงอาทิตย์สีดำก็พลันมี…ผีร้ายนับร้อยพุ่งกระโจนออกมา!!

ผีร้ายเหล่านั้นมีสีดำสนิทตลอดทั้งร่าง บนหัวมีเขาสองข้าง มือมีเกล็ด ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ปากที่อ้ากว้างแดงเป็นสีเลือด ตลอดทั้งร่างแผ่ปราณอึมครึมน่าสะพรึงกลัวไร้ที่สิ้นสุด พอปรากฏตัวก็ราวกับมีผีร้ายนับร้อยออกมาเดินขบวนในยามค่ำคืน

พวกมันล้อมวนอยู่รอบกายของประมุขตระกูลป๋าย หันหน้ามาแผดเสียงร้องคำรามใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อประมุขตระกูลป๋ายชี้นิ้วออกมาด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด ผีร้ายพวกนี้ก็กระโจนเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนทันที

ดูเหมือนพวกมันจะไม่ถูกกับแสงแดด ตอนที่พุ่งออกมาแสงแดดที่อยู่เบื้องหน้าพวกมันถึงกับถอยหนี ทำให้ม่านรัตติกาลแผ่ขยายเป็นวงกว้างอย่างต่อเนื่องตลอดทางที่ผีร้ายพุ่งตัวมา…

“เจ้าลูกทรพี ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะไม่ตายได้ยังไง!” เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความชิงชังลึกถึงกระดูก เมื่อดังก้องไปรอบด้าน หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นเยือก ผีร้ายพวกนี้แค่มองก็ขนลุกขนพองแล้ว

แต่ยังดีที่มีประสบการณ์ในเขาวงกตมาก่อน และหลังจากที่ได้ใช้วิญญาณมาหลอมไฟในแดนทุรกันดาร เขาจึงไม่หวาดกลัวพวกผีเท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว ยามนี้เมื่อเห็นเหล่าผีร้ายกำลังแสยะปากกางเล็บคำรามเข้ามาหา ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็พลันแน่วนิ่ง

“ข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่า ข้าไม่ตายได้ยังไง!” มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนยกขึ้นทำมุทราแล้วโบก ทันใดนั้นบนร่างของเขาก็พลันมีเงาทับซ้อน ร่างจำแลงไฟของเขาเดินพรวดออกมา

ภาพนี้ทำให้ประมุขตระกูลป๋ายตกตะลึงจนม่านตาหดตัว

“ร่างจำแลง เจ้ามีร่างจำแลงเชียวรึ!!”

ร่างจำแลงไฟและร่างจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนมีหน้าตาเหมือนกัน ตบะเหมือนกัน กล้ามเนื้อเหมือนกัน แข็งแกร่งไม่ต่างกัน!!

สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คือบนร่างจำแลงนี้ยังมีปราณธาตุไฟที่ราวกับจะผสานรวมฟ้าดินระลอกหนึ่งดำรงอยู่ด้วย พอเดินออกมาก็เหวี่ยงหมัดต่อยโครมไปยังผีนับร้อยที่เข้ามาใกล้พร้อมกับร่างจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที!!

การปรากฏตัวของร่างจำแลงสามารถพูดได้ว่า ทำให้พลังในการต่อสู้ของ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มพรวดขึ้นมาอีกหนึ่งเท่า ตอนนี้เมื่อออกหมัดพร้อมกัน เบื้องหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมีลมพายุก่อตัว พายุนี้หมุนคว้างพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะชนเข้ากับผีร้ายนับร้อยอย่างจัง

เสียงกัมปนาทดังสะเทือนไปทั่วทิศ ท่ามกลางเสียงดังครืนครั่นนี้ ร่างจริงกับร่างไฟของป๋ายเสี่ยวฉุนร้องอึกอักอยู่ในลำคอพร้อมกันแล้วถอยกรูด ส่วนประมุขตระกูลป๋ายก็เซถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมหน้าที่เปลี่ยนสีเช่นกัน ทว่าไฟโทสะของเขายิ่งโหมโชติช่วง จิตสังหารก็ยิ่งรุนแรง

“ต่อให้เจ้ามีร่างจำแลงหนึ่งร่างก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่ตาย!!”

ขณะที่ตวาดเสียงดัง ประมุขตระกูลป๋ายก็เดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วใช้การเคลื่อนที่ด้วยความไวเหนือแสงทะลุทะลวงทุกความว่างเปล่ามาปรากฏอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อยกมือขวาขึ้นก็มีหมอกวิญญาณพันจั้งลอยตัวสูงตามมา ก่อนที่เขาจะฟาดมือเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแรง

“เคลื่อนที่ไวเหนือแสง…ข้าก็ทำได้เหมือนกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นทันใด ไอความเย็นทั่วร่างระเบิดออกอย่างบ้าคลั่ง ในรัศมีหลายพันจั้งแปรเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่น้ำแข็งเย็นเยียบราวกับเป็นโลกของเขาทันที!

ทั้งยังมีกระจกแห่งความเย็นอีกหลายบาน เมื่อเจตจำนงของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏขึ้น วินาทีที่ฝ่ามือนั้นของประมุขตระกูลป๋ายฟาดลงมา ร่างของเขาก็พลันหายวับไป พอปรากฏอีกครั้งก็มาอยู่เบื้องหลังประมุขตระกูลป๋ายแล้ว ทั้งยังยกมือขวาขึ้นเป็นฝ่ายตบประมุขตระกูลป๋ายกลับคืน!

ขณะเดียวกันกับที่ฝ่ามือนี้ยกขึ้น ร่างจำแลงไฟของเขาก็ลงมือพร้อมกัน อีกทั้งบนร่างจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีเงาทับซ้อนปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง นั่นคือร่างจำแลงที่สอง…

พอร่างจำแลงไม้เดินพรวดออกมาก็เงื้อมมือขวาขึ้นเช่นเดียวกับร่างจริงและร่างไฟของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไร้ซึ่งความลังเล ก่อนจะฟาดพลั๊วะลงไปพร้อมกัน

“บัดซบ!!” พอเห็นภาพนี้ประมุขตระกูลป๋ายก็หน้าเผือดสี หันขวับกลับมาแล้วยกมือขวาพาควันวิญญาณพันจั้งก็ให้หันกลับมาปะทะเข้ากับฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนและร่างจำแลงอีกสองร่าง

ปังๆๆ ตูมๆๆ!!

เสียงสะเทือนเลือนลั่นทำให้แปดทิศสั่นคลอน พื้นดินถึงขั้นเกิดเป็นรอยปริแตก ประมุขตระกูลป๋ายหน้าซีดขาว ร่างถอยกรูดไปไกล เขาจ้องเขม็งไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตายังคงมีไอสังหารดุดัน ทว่ากลับมิอาจอำพรางความเหลือเชื่อของเขาได้

“ยังมีร่างจำแลงอีกรึนี่ เจ้ามีร่างจำแลงกี่ร่างกันแน่!!” เขาตกใจมากจริงๆ ระดับความยากในการไล่ฆ่าของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาตะลึงพรึงเพริด อีกทั้งทุกร่างจำแลงก็เหมือนว่ามีอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน พลังในการต่อสู้ก็ยิ่งเพิ่มพูน

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะยังมีร่างจำแลงอีก!” ประมุขตระกูลป๋ายกัดฟันกรอด เคลื่อนย้ายร่างกระโจนเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนกับร่างจำแลงทั้งสองที่ถูกปะทะก่อนหน้านี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเหมือนกัน ทว่าในใจกลับฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าอันที่จริงตนที่มีร่างจำแลงสองร่างยังมีความห่างจากก่อกำเนิดช่วงกลางอยู่บ้างเล็กน้อย

แต่หากตนเรียกร่างจำแลงที่สามออกมา ความห่างนี้จะหายวับไปในทันที…

หากร่างจำแลงที่สี่ก็ปรากฏตัวด้วย เขามั่นใจอย่างมากว่าสามารถ…บดขยี้ก่อกำเนิดช่วงกลางได้!!

“คุณพระช่วย นี่…นี่น่ะหรือคือก่อกำเนิดวิถีฟ้า แถมตอนนี้ข้าก็ยังอยู่ในแค่ขั้นตอนของการเป็นตัวอ่อน เป็นเพียงแค่ระดับของร่างจำแลงเท่านั้น ยังอยู่ไกลกับการก่อตัวอย่างสมบูรณ์แบบมากนัก ทว่ากลับร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้แล้ว…”

ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงถี่ๆ ด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าประมุขตระกูลป๋ายหายตัวมาอีกครั้ง สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แน่วนิ่งแล้วหายตัวไปเช่นกัน

คนทั้งสองพุ่งปะทะกันอีกครั้ง ก่อนจะโจมตีกันไปมาอยู่กลางอากาศเช่นนี้ และไม่นานแม้แต่ประมุขตระกูลป๋ายเองก็ยังเริ่มมองออกแล้วว่าเจ้าป๋ายฮ่าวสมควรตายผู้นี้ไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มกำลัง

แต่อาศัยตนมาทำความเข้าใจกับการประสานงานระหว่างร่างจำแลงของตัวเขาเอง แถมการทำความเข้าใจกับวิธีการต่อสู้ของอีกฝ่ายก็น่าตะลึงอย่างมาก แค่ขั้นตอนการทำความคุ้นชินนี้ พลังในการต่อสู้ของเขาก็ทะยานขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ประมุขตระกูลป๋ายรู้สึกถึงความอัปยศอย่างยิ่งยวด เขาร้องโหยหวน มือทั้งคู่ทำมุทรา นัยน์ตามีประกายแสงดำมืดวาบผ่าน ก่อนที่สถูปวิญญาณเก้าหลังจะบินออกมาจากบนร่างของเขา

ในสถูปวิญญาณก็มีเสียงคำรามดังออกมาเหมือนกัน ก่อนที่จะมีวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนบินกระโจนออกมา วิญญาณพยาบาทเหล่านี้ทุกดวงเหมือนว่าจะต่างไปจากวิญญาณอื่นๆ เล็กน้อย เพราะมันไม่ได้พุ่งเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน แต่กลับบินเข้าหาดวงตาทั้งคู่ของประมุขตระกูลป๋าย จากนั้นก็…มุดทะลวงเข้าไปในร่างของเขา!!

“คาถาป๋ายรวมวิญญาณ!!” ประมุขตระกูลป๋ายเงยหน้าขึ้นแผดเสียงร้องคำรามแหบโหยที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว พวกวิญญาณที่เจาะลูกตาได้เข้าไปอยู่ในร่างของเขา แถมยังพอมองเห็นได้ด้วยว่าบนผิวหนังของเขาตอนนี้มีใบหน้ามากมายปูดนูนขึ้นมา ทำให้ตลอดทั้งร่างของเขาพองขยายมีขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันพลานุภาพสยบทั่วร่างของเขาก็แกร่งกล้าขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย

และนาทีนี้ ความรู้สึกถึงวิฤตอันตรายก็พลันเอ่อล้นขึ้นมาในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version