Skip to content

A Will Eternal 617

บทที่ 617 บุรพาจารย์มาเอง

เวลาเดียวกันนั้น ในเมืองตระกูลป๋าย ทุกคนในตระกูลยามนี้ล้วนเงียบงัน เพราะเรื่องของป๋ายฮ่าว ช่วงเวลาที่ผ่านมาตระกูลป๋ายจึงเหมือนถูกผลักให้ขึ้นไปอยู่บนยอดคลื่น

คำวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากโลกภายนอกทำให้ตระกูลป๋ายเองก็เริ่มแบกรับไม่ไหว การก่อกบฏของป๋ายฮ่าว สังหารป๋ายฉี ช่วงชิงวิญญาณคนฟ้า จากนั้นก็จับตัวประมุขตระกูลป๋าย โจมตีกลับเอาคืนคนสายหลักของตระกูลที่ไล่ตามไปฆ่า ทำให้มีคนตายไปไม่น้อย

เรื่องราวทั้งหลายทั้งแหล่นี้ทำให้ทุกคนในตระกูลป๋ายหวาดหวั่นขวัญแขวน โดยเฉพาะฝ่ายในของตระกูลป๋ายที่ตอนนี้เริ่มมีเสียงแตกแยก พวกคนสายรองต่างก็พากันยกช่องโหว่เรื่องป๋ายฮ่าวมาโจมตีสายหลัก

“ป๋ายฮ่าวต่างหากถึงจะเป็นบุตรกิเลนที่แท้จริงของตระกูลป๋ายเรา ทว่าสายหลักอย่างพวกเจ้ากลับบีบให้เขาต้องก่อกบฏ!!”

“เด็กที่สร้างความภาคภูมิใจได้ขนาดนี้ หากเขายังอยู่ในตระกูลป๋ายและกลายมาเป็นก่อกำเนิดได้สำเร็จ ต้องช่วยฉุดดึงให้ฐานะของตระกูลป๋ายเราเพิ่มสูงขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน!”

คำพูดทำนองนี้นับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ายิ่งป๋ายฮ่าวโดดเด่นมากเท่าไหร่ ฝ่ายของสายหลักก็ยิ่งเป็นผู้ถูกกระทำมากเท่านั้น แม้ว่าใจที่อยากจะสังหารป๋ายฮ่าวจะรุนแรงถึงขีดสุด แต่พวกเขากลับจนใจทำอะไรไม่ได้

ขนาดประมุขตระกูลที่มีตบะก่อกำเนิดช่วงกลางยังถูกจับตัว แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น และทุกวันนี้ผู้อาวุโสก่อกำเนิดช่วงท้ายเพียงหนึ่งเดียวของสายหลักก็กำลังออกไปไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ข้างนอก หากเขายังล้มเหลวก็เท่ากับว่าสายหลัก…พ่ายแพ้อย่างราบคาบ

ส่วนอาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายและฝ่ายอาญา พวกเขาไม่ใช่คนของสายหลัก แม้จะมีคำสั่งของบุรพาจารย์ทำให้ต้องระดมพลคนในตระกูลออกไปตามหาป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เห็นได้ชัดว่าหากหาเจอคือสร้างความชอบครั้งใหญ่ แต่ถ้าหาไม่เจอ…กลับเป็นความผิดมหันต์ของสายหลัก!

ฮูหยินไช่มองตระกูลป๋ายในทุกวันนี้ด้วยความเงียบงัน ในใจรวดร้าวสิ้นหวัง ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าเศษสวะป๋ายฮ่าวเพียงคนเดียวจะผลักให้ทั้งตระกูลป๋ายกลายมาเป็นฝ่ายถูกกระทำได้ถึงขนาดนี้

พอนึกถึงเรื่องที่บุตรรักถูกฆ่า สามีถูกจับตัว หัวใจของนางก็ราวกับถูกฉีกกระชาก ความเคียดแค้นชิงชังที่มีต่อป๋ายฮ่าวจึงรุนแรงอย่างที่มิอาจบรรยายได้

สามารถพูดได้ว่าตระกูลป๋ายในยามนี้หากไม่มีบุรพาจารย์คนฟ้า เกรงว่าภายในคงเปิดศึกกันไปแล้ว สาเหตุที่สำคัญที่สุดซึ่งทำให้จนถึงตอนนี้ต่างฝ่ายต่างแค่ไม่พอใจกันอย่างลับๆ ก็เพราะบุรพาจารย์คนฟ้ายังไม่แสดงท่าที

พวกคนของสายรองต่างก็กำลังรอคอย…รอคอยให้บุรพาจารย์คนฟ้าแสดงเจตจำนง เรื่องนี้ยังไงก็ต้องมีคำอธิบาย เพียงแต่ว่าตอนนี้บุรพาจารย์คนฟ้าของตระกูลป๋ายยังไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลเท่านั้น

ต่อให้ประมุขตระกูลป๋ายถูกจับตัวไป เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ขอแค่รากฐานของตระกูลป๋ายยังอยู่ก็เพียงพอแล้ว แค่ประมุขตระกูลคนเดียว อย่างมากก็เปลี่ยนคนใหม่เสียก็สิ้นเรื่อง

ตอนนี้ที่เขาให้ความสำคัญที่สุดคือป๋ายฮ่าว!!

“เจ้าพวกไม่ได้เรื่อง คนทั้งตระกูลกลับไม่มีปัญญาจับตัวป๋ายฮ่าวกลับมาได้!” ในห้องลับใต้ดิน บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแววตัดสินใจเด็ดเดี่ยว

“รอไม่ได้แล้ว หากรอต่อไปแล้วราชาผียักษ์ยื่นมือเข้าแทรก ข้าผู้อาวุโสก็จะพลาดโอกาส…คงต้องเดิมพันดูสักตั้ง!” บุรพาจารย์คนฟ้ากัดฟันกรอด หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกก็ลุกพรวดขึ้นยืนทันที

ดวงตามืดดำของเขามองไปยังเทียนเจ็ดเล่มรอบกายที่มีเปลวไฟสีเขียวลุกไหม้ ไตร่ตรองอยู่หลายอึดใจก็เดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

ชั่วขณะที่ก้าวนี้เหยียบลงบนพื้น อยู่ๆ ในห้องลับก็มีลมพายุก่อตัวขึ้น ก่อนที่มันจะหมุนคว้างไปสี่ทิศ ทำให้เปลวเทียนของเทียนเจ็ดเล่มส่ายไหวอย่างแรง และไม่นานก็ดับลงไปหนึ่งเล่ม…

บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายไม่แม้แต่จะหยุดชะงัก ยังคงก้าวเท้าออกไปจากค่ายกลที่เกิดจากการล้อมเป็นวงของเทียนเจ็ดเล่ม นาทีที่เขาเดินออกไป เปลวเทียนทั้งเจ็ดก็ล้วน…ดับสนิทพร้อมกันหมด!

เมื่อเปลวเทียนดับลง ร่างกายของบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายก็มีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นออกมาทันทีราวกับกระดูกกำลังเสียดสีกันเอง มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของเขาที่เดิมที่เหี่ยวแห้งได้ฟื้นคืนมามีชีวิตชีวา กลายมาเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง

คลื่นตบะที่น่าตะลึงระลอกหนึ่งระเบิดตูมตามออกมาจากในร่างของเขา ดวงตาของเขาเป็นประกายดุจสายฟ้า ยืนอยู่ตรงนั้นก็ราวกับเป็นตัวแทนของปณิธานแห่งสวรรค์

“เวทเจ็ดเทียนกักชีวา…สามารถกักอายุขัยเอาไว้ได้ ทำให้ข้าผู้อาวุโสมีชีวิตอยู่ไปได้อีกระยะเวลาหนึ่ง…แต่เวทนี้สามารถร่ายใช้ได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต ป๋ายฮ่าว…เจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ!” สีหน้าของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายมืดทะมึน กล่าวด้วยน้ำเสียงวังเวง นัยน์ตาของเขาพลันฉายแสงคมกล้า เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็เหมือนแหวกห้วงมิติแล้วเหยียบเข้าไปข้างใน ก่อนจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

ชั่วขณะที่บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายจากไป บนท้องฟ้าของตระกูลป๋ายก็มีเสียงฟ้าผ่าแว่วดังมา…

เวลาเดียวกันนั้น จุดที่ห่างไกลจากตระกูลป๋ายมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังแล่นทะยานไปเบื้องหน้า ตลอดทางมานี้เขาสังหารคนตระกูลป๋ายไปไม่น้อย เขาไม่ได้เป็นคนลงมือก่อน แต่เป็นคนเหล่านั้นที่ล้อมเข้ามาโจมตีเขา

พอป๋ายเสี่ยวฉุนโจมตีกลับไปจึงสังหารอีกฝ่ายได้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสของตระกูลเขาก็ยังฆ่าไปแล้วสามคน และตอนนี้เขาก็ใกล้จะมาถึงริมชายแดนของขอบเขตอิทธิพลนครผียักษ์แล้ว

บัดนี้ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงปลั่ง ขณะที่บินทะยานมา มือทั้งคู่ของเขาก็ทำมุทราตบลงไปบนร่างไม่หยุด เวทลับเช่นนี้เป็นวิธีการโง่ๆ ที่ใช้ขับไล่ตราประทับในร่างตัวเองซึ่งเขาเรียนรู้มาตอนอยู่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

ใช้เลือดลมของตัวเองมาชำระล้างตราผนึกทั้งหมดในร่าง แม้จะมีประโยชน์ก็จริง แต่ก็ต้องดูที่ระดับความแข็งแกร่งของตราผนึกด้วย หากเร็วหน่อย ทำพักหนึ่งก็เสร็จเรียบร้อย แต่หากช้าก็อาจจะต้องใช้เวลาหลายปีหรือนานยิ่งกว่านั้น

นอกจากจะต้องดูที่ระดับความแข็งแกร่งและความอ่อนกำลังของตราผนึกแล้ว ยังต้องดูระดับความทรงพลังของเลือดลมในร่างกายตัวเองด้วย

ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนอาศัยเลือดลมของตัวเขาที่ลึกล้ำจนน่าตกใจมาร่ายใช้เวทลับนี้ติดต่อกันหลายวันแล้ว ขณะที่กำลังจะออกไปจากพื้นที่อิทธิพลของนครผียักษ์ ร่างของเขาก็พลันชะงักแล้วกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ

เลือดนี้ไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีน้ำตาล พอพ่นออกมาก็กลายมาเป็นหัวกะโหลกที่พร่าเลือนหัวหนึ่งซึ่งใบหน้าของมันก็คือใบหน้าของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋าย เขาจ้องเขม็งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ร้องคำรามเดือดดาลไร้เสียง ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก พรูลมหายใจยาวเหยียด หลังจากรับสัมผัสกับสภาพในร่างกายของตัวเอง ความรู้สึกที่โล่งปลอดโปร่งก็ลอยไปทั่วร่าง

“ลบตราผนึกระยำนั่นทิ้งไปได้เสียที!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าร่างกายตัวเองผ่อนคลายขึ้นมาเยอะมาก ยามนี้สีหน้าจึงคึกคักกระปรี้กระเปร่า ก่อนจะเพิ่มความเร็วมุ่งหน้าจากไปไกลยังอีกทิศทางหนึ่ง

“มากสุดคือสองชั่วยาม ข้าก็จะพ้นไปจากขอบเขตนี้เหยียบเข้าสู่ทะเลทรายของแดนทุรกันดาร พอถึงที่นั่น…บนร่างข้าไม่มีตราผนึกอยู่แล้ว ข้าล่ะอยากจะรู้นักว่าจะหาตัวข้าเจอกันได้ยังไง!”

ตอนที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยิบเอาบันทึกของป๋ายฮ่าวที่อยู่ในถุงเก็บของออกมา ห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็วพลางศึกษาไปด้วย บันทึกนี้กลั่นมาจากสติปัญญาและน้ำพักน้ำแรงของป๋ายฮ่าว มีทั้งวิธีการอนุมาน รวมไปถึงความเข้าใจและการวิเคราะห์ความพิเศษของไฟและวิญญาณที่ป๋ายฮ่าวสรุปรวมเอาไว้

หลายวันที่ผ่านมาป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบออกมาอ่านอยู่บ่อยๆ ทุกครั้งที่ขบคิดตามเขาก็รู้สึกว่าตัวเองได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายกับการตายของป๋ายฮ่าวด้วย

“ช่างเป็นเด็กที่พรสวรรค์ประเสริฐยิ่งนัก หากเขามีชีวิตอยู่ ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของข้า ถ้าได้มาช่วยอาจารย์อย่างข้าอนุมานตำรับไฟหลายสี ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปหาจากที่อื่นเลย แค่เขาคนเดียวก็ช่วยข้าได้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ เพิ่มความเร็วเดินทางต่อไป

ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขับไล่ตราประทับออกไปจากร่าง สถานที่ที่ห่างจากจุดที่เขาอยู่ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางครึ่งวันของนักพรตก่อกำเนิดทั่วไป ผู้เฒ่าผมขาวโพลนที่เหยียบอยู่บนเรือวิญญาณผู้หนึ่งก็พลันหน้าเปลี่ยนสี ชะงักฝีเท้าทันใด

ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือนักพรตก่อกำเนิดช่วงท้ายของสายหลักที่ตามมาฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็เป็นความหวังสุดท้ายของสายหลักด้วย ทว่าตอนนี้ตราผนึกแห่งจิตในสมองของเขาซึ่งมีตำแหน่งของป๋ายเสี่ยวฉุนบอกเอาไว้กลับหายไปอย่างกะทันหัน

แถมแดนทุรกันดารก็กว้างใหญ่ไพศาล พอตราผนึกแห่งจิตจางหาย เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปหาตัวป๋ายเสี่ยวฉุนได้จากที่ไหน ต่อให้ใช้ความเร็วสูงสุดบินทะยานไปยังจุดที่ตราผนึกแห่งจิตหายไป ทว่าตามความคิดของเขา จะอย่างไรป๋ายฮ่าวก็คงไม่โง่รอเฉยอยู่ตรงที่เดิม

ถอนหายใจยาวเหยียดหนึ่งครั้ง ผู้เฒ่าก็ยังเลือกจะห้อตะบึงตามต่อไป ไม่นานนักเขาก็มาถึงจุดที่ตราผนึกจางหาย พอมองไปรอบด้าน เขาเงียบไปครู่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะไปหาที่ไหน

“ตะวันตกคือทะเลทรายของแดนทุรกันดาร เหนือคือพื้นที่เกาะน้ำแข็งหมื่นบรรพกาล ส่วนตะวันออกคือทิศทางของนครจักรพรรดิ ป๋ายฮ่าวผู้นี้…เขาจะเลือกทางใดกันแน่…”

เวลาเดียวกันนั้น ฟ้าดินที่ห่างจากที่นี่ไปไกลยิ่งกว่า บุรพาจารย์คนฟ้าของตระกูลป๋ายจำแลงร่างออกมากลางนภากาศ สีหน้าของเขามืดคล้ำ ทอดสายตามองไปไกลอยู่พักใหญ่ก็แค่นเสียงเย็น

“ลบตราผนึกของข้าทิ้งไปแล้วอย่างไร คนฟ้า…ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะจินตนาการได้! ที่ใดที่มีท้องฟ้า เจ้าก็ไม่มีที่ให้หลบหนี!” ปากของเขาพึมพำเสียงแผ่ว มือขวาทำมุทราชี้ไปข้างหน้าหนึ่งครั้ง ร่างของเขาทรุดโทรมแก่ชราไปอีกเล็กน้อย ตลอดทั้งนภากาศมีลูกคลื่นกระเพื่อมไหว ลูกคลื่นนี้บิดเบือนอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เผยภาพหนึ่งขึ้นมาให้เห็น

ในภาพนั้นคือพื้นที่เปลี่ยวร้างว่างเปล่า บุรพาจารย์คนฟ้าเหยียบเข้าไปกลางภาพนั้นอย่างไม่ลังเล ก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไป พอมาปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ในพื้นที่รกร้างนั้นแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ใช้วิธีการเดิมร่ายเวทติดต่อกันอีกสามครั้งรวด…

ครั้งสุดท้ายในภาพบนนภากาศเขาได้เห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังเผ่นทะยานจากไปไกล!

“หนีได้ไม่ช้าเลยนี่…ช่างสมกับที่รอคอยยิ่งนัก!” ดวงตาของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายฉายแสงดำมืดรุบรู่ แล้วเขาก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในภาพทันที!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version