บทที่ 618 รบกับคนฟ้าอีกครั้ง
ขอบเขตอิทธิพลของนครผียักษ์นั้นกว้างใหญ่ไพศาลอย่างมาก พื้นที่ตรงนี้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของราชาผียักษ์ หากว่ากันในบางระดับแล้วก็คือที่ดินของราชาผียักษ์ เมื่ออยู่ที่นี่ เขาก็คือปณิธานสูงสุดที่อยู่เหนือนภากาศ
ไม่ได้หมายความว่าออกไปจากพื้นที่แห่งนี้แล้วจะไม่ใช่ถิ่นของราชาผียักษ์ เพราะในด้านการแบ่งพื้นที่ของนครจักรพรรดินั้น สถานที่แห่งนี้ยังคงถือว่าเป็นของราชาผียักษ์
ยามนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงริมชายแดนแล้ว มองจุดที่ห่างออกไปไกลก็เห็นเป็นทะเลทรายที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และหากมองไปไกลยิ่งกว่านั้นก็เหมือนจะเห็นว่าตรงกลางทะเลทรายกำลังมีพายุหมุนพัดครืนครั่น ลมที่พัดมาปะทะทำให้เส้นผมของป๋ายเสี่ยวฉุนปลิวสยาย
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสงวาบ เก็บเอาแผ่นหยกบันทึกของป๋ายฮ่าวที่ตัวเองกำลังทำความเข้าใจกลับลงไป ตั้งสมาธิให้มั่นก่อนจะขยับร่างเหยียบเข้าไปในพื้นที่ทะเลทราย
“เดินหน้าต่อไป ผ่านไปอีกสองสามชั่วยาม รอให้ลมพายุหมุนผ่านไปก่อนแล้วค่อยพิจารณาเรื่องอื่น ดูว่าจะกลับมาหรือว่าไปยังเขตของนครราชาคนอื่นๆ แล้วค่อยอาศัยค่ายกลนำส่งกลับบ้าน…ส่วนข้าเองก็จะเอาเวลาช่วงนี้มาศึกษาบันทึกนี่ไปด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบรู้สึกว่าตนมีความมั่นใจระดับหนึ่งในการขยับไปหลอมไฟสิบสามสีแล้ว ตอนนี้จึงเพิ่มความเร็วทะยานไปเบื้องหน้า
ทว่าเวลานี้เอง หน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเปลี่ยนสี เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ม่านตาทั้งคู่ของเขาก็หดตัวเข้าหากันอย่างแรง เขาเห็นว่าเวลานี้ท้องฟ้ามีเสียงสะเทือนเลือนลั่นดังออกมา ก่อนที่น้ำวนขนาดยักษ์ลูกหนึ่งจะปรากฏขึ้นกลางอากาศ
น้ำวนลูกนี้ปรากฏขึ้นเร็วเกินไป ตอนแรกเริ่มยังไม่ใหญ่นัก ทว่าผ่านไปแค่หนึ่งชั่วลมหายใจก็ขยายขนาดไปถึงหมื่นจั้ง พลานุภาพสยบน่าครั่นคร้ามระลอกหนึ่งก็ยิ่งกดทับลงมาจากกลางน้ำวนนั้น
ตูม!
พื้นดินสั่นสะเทือน กรวดทรายรอบด้านสั่นไหวไม่หยุด ราวกับว่ารัศมีหมื่นจั้งหรืออาจมากกว่านั้นได้ถูกแหวกออกจากฟ้าดินดั้งเดิมที่เคยมีอยู่ และกลายมาเป็นพื้นที่แห่งใหม่ที่รวมเข้ากับพื้นที่เดิม
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักค้าง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความว่างเปล่ารอบด้านพากันแข็งตัว อีกทั้งเมื่ออยู่ใต้พลานุภาพสยบนี้เขาก็ยังรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองขยับเขยื้อนได้อย่างยากลำบาก
“บุรพาจารย์!!” ประมุขตระกูลป๋ายที่อยู่ข้างๆ เบิกตากว้าง ร้องอุทานเสียงหลงด้วยความตื่นเต้น
“ดูเหมือนว่าบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายผู้นี้จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าสตรีธุลีแดงเสียอีก!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ในน้ำวนยักษ์บนท้องฟ้าก็มีใบหน้าขนาดมหึมาจำแลงออกมา ใบหน้านี้เป็นของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋าย นัยน์ตาของเขาที่ฉายความเย็นชาหลุบต่ำจากฟ้ามองลงมายังป๋ายเสี่ยวฉุน
“แค่ก่อกำเนิดกลับบังอาจฝืนชะตาฟ้า!” เสียงอสนีบาตดังกึกก้องเขย่าคลอนให้ฟ้าดินรอบด้านสั่นไหว เมื่อประโยคนี้ดังออกมาจากท้องฟ้า มันก็แปลงมาเป็นยันต์ขนาดใหญ่แปดชิ้นที่เปล่งแสงหลากสีวูบวาบพุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ขณะที่เข้ามาใกล้ ยันต์ทั้งแปดนี้ก็กลายร่างอีกครั้งกลายเป็นยักษ์เกราะทองแปดตนที่เยื้องกรายเข้าหา
ภาพนี้ทำให้จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง คำพูดแปลงเป็นคาถา แค่คำเดียวก็กลายมาเป็นกองทัพ!
เขาพบว่า…ตัวเองดูถูกคนฟ้ามากเกินไป เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นสตรีธุลีแดงถูกสาปแช่งถึงได้สูญเสียวิชาอภินิหารบางอย่างที่ตนไม่รู้ไป และเห็นได้ชัดว่า ในด้านขอบเขตสตรีธุลีแดงก็สู้ผู้เฒ่าที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ไม่ได้
เมื่อวิกฤตอันตรายมาเยือน เมื่อเห็นยักษ์เกราะทองทั้งแปดกำลังเข้ามาใกล้
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกร้อนใจ ในใจเขาร้องคำราม ท่ามกลางอันตรายนี้ ท่ามกลางช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ ร่างของเขาพลันบังเกิดเป็นเงาทับซ้อน ไม่ใช่แค่ร่างเดียว แต่เป็นสี่ร่าง
ร่างจำแลงสี่ร่างไม่ได้เดินออกมาจากร่างจริง แต่พอทับซ้อนเข้าด้วยกันก็ระเบิดพลังตบะที่เหมือนกัน พลังกล้ามเนื้อที่เหมือนกัน และพลังอำนาจจิตที่ไม่ต่างกัน!
ระเบิดพลังเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าตัว!!
ตูมๆๆ!
เดิมทีพลานุภาพสยบบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนถูกปิดผนึกเอาไว้ ทว่ามาบัดนี้ความว่างเปล่าที่แข็งตัวกลับปรากฏเป็นรอยแยก นาทีที่ยักษ์เกราะทองทั้งแปดเข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เงยหน้าคำรามลั่น ช่วงเวลาคับขันที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดนี้ ร่างของเขาพลันถอยกรูดออกไปข้างหลัง
เสียงกัมปนาทสะเทือนเลือนลั่นปฐพีดังกระหึ่มขึ้นมาทันที ยักษ์เกราะทองทั้งแปดกระโจนเข้าใส่ความว่างเปล่า หลังจากร่วงลงมาอยู่ในตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ก่อนหน้านี้ก็คล้ายกลายมาเป็นโซ่ตรวนสีทองแปดเส้นที่สร้างการปิดผนึกที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
ส่วนประมุขตระกูลป๋ายที่เจอกับการโจมตีนี้ก็กระอักเลือดสด ร่างถูกม้วนตลบออกไปไกลแล้วหมดสติไปทันที
“น่าสนใจ” แววตาของของบุรพาจารย์คนฟ้าบนท้องฟ้าฉายแสงแห่งความแปลกใจ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ตระกูลป๋าย เนื่องจากเจ็ดเทียนกักชีวาทำให้ตบะเขาได้รับขีดจำกัด ไม่สามารถเผยร่างจริงออกมาลงมือ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหนีมาได้ พอมาคิดอย่างละเอียดแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือการคาดเดาเท่าไหร่นัก ทว่าตอนนี้ตนเผยร่างจริงและถ้อยคำแปลงเป็นวิชา คนผู้นี้กลับยังหลีกเลี่ยงไปได้ นี่ทำให้บุรพาจารย์คนฟ้ายิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้น
ใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์ที่เขาแปลงออกมาพลันหุบฉับเข้าหากัน ก่อนจะก่อตัวขึ้นเป็นร่างจริงของบุรพาจารย์คนฟ้า เขายืนอยู่กลางอากาศ ฟ้าดินที่อยู่เบื้องหลังเขาก็เหมือนจะช่วยขับให้เขาโดดเด่น ประหนึ่งว่าแค่ความคิดเดียวของเขาก็สามารถทำให้ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตะลึงได้
เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาว ใบหน้าน่าเกรงขามที่แฝงไว้ด้วยความเย็นชาก้มลงมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินเข้าหาอีกฝ่าย เมื่อก้าวนี้เหยียบลงมาก็แปลงมาเป็นเท้าขนาดมหึมาข้างหนึ่งกลางอากาศ!
เท้ายักษ์นี้ใหญ่พอพันจั้ง พอร่วงดิ่งลงมาจากฟากฟ้าก็ทำให้ชั้นเมฆแหลกสลาย พื้นดินสะเทือนครืนครั่น ความว่างเปล่าบิดเบือน พุ่งเข้าหาจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ด้วยเสียงดังตูมๆๆ
ราวกับต้องการเหยียบขยี้ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจมอยู่ใต้ฝ่าเท้านี้ พลังอำนาจที่แข็งแกร่งนั้นเหมือนดึงปณิธานแห่งสวรรค์ออกมาใช้กำราบอีกฝ่าย!
ปีนั้นที่สตรีธุลีแดงเสียเปรียบก็เพราะตำแหน่งที่อยู่ของนางคือสุสานใต้ดินของจักรพรรดิขุยรุ่นที่สอง อีกทั้งร่างยังได้รับการสาปแช่งทำให้ไม่สามารถยืมใช้พลังของฟ้าดิน แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นนางก็ยังทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
นี่แสดงให้เห็นได้ถึงความทรงพลังของคนฟ้า…และตอนนี้บุรพาจารย์คนฟ้าของตระกูลป๋ายก็อยู่นอกตระกูลของตัวเอง อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยของแดนทุรกันดาร อิทธิฤทธิ์ที่เขาสำแดงออกมานี่ต่างหากถึงจะเป็นศักยภาพที่แท้จริงของคนฟ้า!
หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกแล้วว่าบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายผู้นี้แข็งแกร่งกว่าสตรีธุลีแดงอยู่มาก ยามนี้ก็พลันตระหนักได้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน หน้าอกของเขากระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง แต่กลับไม่มีเวลาให้คิดมากนัก อีกทั้งเขายังรู้สึกได้อย่างแรงกล้าว่าหากตนปะทะกับเท้าใหญ่นี้ก็มีความเป็นไปได้มากกว่าจะต้องตายดับ!
วิกฤตเช่นนี้ทำให้ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนพลิกตลบ วินาทีที่เท้าใหญ่เข้ามาใกล้ ร่างของเขาพลันก้าวถอยไปหนึ่งก้าว เมื่อก้าวนี้ถอยออกไป ร่างของเขาก็พร่าเลือนคล้ายสลายตัวออกจากกัน ก่อนจะหายวับไปทันที
แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่เขาหายไป เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดินก็ดังกึกก้องไปสี่ทิศ รอยเท้าขนาดใหญ่ยักษ์พลันมาปรากฏอยู่บนพื้นดิน
ตลอดทั้งพื้นดินสะท้านไหว แรงโจมตีชั้นหนึ่งกระเพื่อมขึ้นพัดพาเอากรวดทรายจำนวนนับไม่ถ้วนตลบคลุ้ง มองไกลๆ ก็ราวกับเกิดพายุหมุน
“เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าผู้อาวุโส เจ้าหนีไม่พ้นเป็นครั้งที่สองหรอก” บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายกล่าวเนิบนาบ มือขวายกขึ้นโบกไปยังทิศไกล การโบกครั้งนี้สี่ทิศพลันเกิดเสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว แล้วทันใดนั้นท่ามกลางฟ้าและดินก็มีน้ำวนลูกมหึมาก่อตัวขึ้น
น้ำวนนี้หมุนโคจรไปตามมือขวาของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋าย ส่งเสียงดังกึกก้องยิ่งกว่าเดิม
ขณะเดียวกันก็ยิ่งหมุนคว้างอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นแรงดึงดูดระลอกหนึ่งก็แผ่ไปทั่วฟ้าดิน บิดเบือนทุกความว่างเปล่า ทั้งยังเหมือนจะเกิดเป็นพลังแห่งการหมุนเวลาให้ย้อนกลับด้วย!!
แม้จะไม่ใช่การย้อนเวลาอย่างแท้จริง ทว่ากลับทำให้ทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบด้านไม่เป็นตัวของตัวเอง ต่างก็พุ่งดิ่งเข้าหาน้ำวนลูกนั้น ภูเขาก็ดี พืชหญ้าก็ช่าง ทุกอย่างล้วนถูกน้ำวนเขมือบกลืนแล้วบดขยี้เป็นผุยผง!
เวลาเดียวกันนั้น ฟ้าดินที่ห่างออกไปไกลยิ่งกว่า ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เห็นๆ กันอยู่ว่าร่ายใช้ผนึกมิวางวายหมายจะหนีไป ทว่าวินาทีที่บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายร่ายเวทน่าครั่นคร้ามนั้น เขาก็พลันหน้าเปลี่ยนสี เวทคาถาของเขาเหมือนถูกตัดขาด ร่างจึงเผยออกมากลางอากาศล่วงหน้าก่อนเวลา
เพิ่งจะปรากฏตัวก็มีแรงดึงดูดที่น่าตกใจระลอกหนึ่งบังเกิดขึ้น ทั้งยังกักตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา ทำให้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดไปข้างหลัง ตรงเข้าหาน้ำวนลูกนั้น
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น เมื่อเห็นว่าความเร็วในการถอยร่นของตัวเองยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของเขาก็ลุกเรือง พลันหมุนขวับกลับมา นัยน์ตามีแสงสีเลือดอาบย้อม ร่างบังเกิดเงาทับซ้อน มือทั้งคู่ทำมุทราแล้วโบกไปรอบด้านทันใด!
“เขตแดน ธารา!”
ร่างจำแลงสี่ร่างพลันเผยกายล้อมวนขนาบซ้ายขวาร่างจริงของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่ายเขตแดนธาราพร้อมกัน ความว่างเปล่าแปดทิศจึงกลายมาเป็นบึงน้ำในทันใด เสียงสัตว์ร้องคำรามสั่นสะเทือนก็ดังออกมาจากในบึงน้ำทั้งแปดทิศแล้วดังสะท้อนเป็นทอดๆ ขณะเดียวกันยอดเขาแหลมคมขนาดใหญ่หลายยอดก็ผุดพุ่งขึ้นมาอย่างน่ากริ่งเกรง
ตูมๆๆ!
ยอดเขาแหลมคมเหล่านี้ปรากฏขึ้นรอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากแต่ละยอดเขาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วก็ตวัดลงมา จนกระทั่งยอดเขาแหลมที่โค้งงอทั้งห้าต่างก็ผุดพ้นออกมาจากพื้นดิน กรงเล็บสัตว์ที่น่าหวาดหวั่นนั้นจึงเผยกายอีกครั้ง!
มองไกลๆ ภาพนี้มากพอจะสะเทือนขวัญคนทั้งโลก ขณะที่หนามแหลมคมซึ่งใหญ่โตประดุจขุนเขาเหล่านั้นผุดขึ้นมา ขณะที่ฟ้าดินเปลี่ยนสี กรงเล็บโค้งงอทั้งห้าที่ราวกับจะฉีกกระชากนภากาศก็ยกเอียงอยู่กลางอากาศ ก่อนจะตวัดตบเข้าใส่น้ำวนลูกนั้น!
“นี่คืออะไร!” วินาทีที่สัตว์แห่งชะตาชีวิตในเขตแดนธาราของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยกาย ใบหน้าที่เฉยชาตลอดเวลาของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายก็พลันเปลี่ยนสี!