Skip to content

A Will Eternal 645

บทที่ 645 กบฏลุกฮือ

“ก็บอกกันแต่แรกสิ ทำเอาข้าตกใจแทบตาย” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อด้วยความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ครุ่นคิดว่าค่ายกลลับเหล่านั้นคนนอกจำเป็นต้องใช้ตราฝ่ามือที่พิเศษถึงจะเข้าไปได้ ทว่าตนไม่จำเป็นนี่น่า ด้วยผนึกมิวางวายของเขา มีค่ายกลอะไรบ้างที่เข้าไปไม่ได้…

“ค่ายกลของกำแพงเมืองข้ายังเข้าๆ ออกๆ ได้ตามใจชอบ แล้วนับประสาอะไรกับค่ายกลพวกนี้เล่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางขึ้นด้วยความลำพองใจเล็กน้อย มองสวีซื่อโหย่วที่ตายไปแล้วแต่ดวงตายังคงเบิกค้าง ความรู้สึกที่ว่าตนฉลาดล้ำยิ่งกว่าอีกฝ่ายพลันลอยขึ้นกลางใจอย่างดุเดือด

“เจ้าผิดก็ผิดที่…มองฝีมือแท้จริงของข้าไม่ออก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าประโยคนี้เขาพูดได้ร้ายกาจอย่างมาก พูดจบก็เคลิบเคลิ้มอยู่กับตัวเองพักใหญ่ถึงได้เดินออกมาจากห้องขัง

แม้ว่าการตายของสวีซื่อโหย่วจะเป็นปัญหาเล็กน้อย ทว่าสำหรับเขตอี่แล้วกลับไม่ใช่เรื่องใหญ่ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนำที่ซ่อนสมบัติของสวีซื่อโหย่วมาบอกให้นายตะรางเขตอี่ทราบ การตายของเขาก็ยิ่งเล็กน้อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง

ทว่าทุกคนเองก็ไม่โง่ พวกเขาต่างก็เดาได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องเค้นถามจนรู้ความลับอื่นๆ มาถึงได้ฆ่าคนปิดปาก แต่พอป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นฝ่ายเสนอเองว่าตนขอสละทรัพย์สินสามส่วนของสวีซื่อโหย่ว ในใจของทุกคนที่อยู่เขตอี่ก็ยิ่งผ่อนคลายมากขึ้น

เพราะอย่างไรซะการที่มือลงแส้ได้รู้ความลับที่คนอื่นไม่รู้มาจากการสอบสวน เดิมทีก็กฎภายในก็อนุญาตไว้อยู่แล้ว ขอแค่ไม่เห็นแก่ตัวจนน่าเกลียดเกินไป ทุกอย่างก็ล้วนมองข้ามได้

การกระทำเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแต่ทำให้คนอื่นพูดอะไรไม่ออก ยังแสดงให้เห็นถึงความใจกว้างของเขาอีกด้วย ดังนั้นถึงคนจึงหัวเราะร่า ไม่ซักถามอะไรอีก พอบอกลากันแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกลับไปยังเขตติงด้วยความคึกคัก เพียงแต่ตัวตนของเขาคือนักโทษ มิอาจไปจากคุกมารได้ ดังนั้นจึงทดลองส่งข้อความเสียงหาโจวอีซิง คาดไม่ถึงว่าจะทำได้สำเร็จเพราะก่อนหน้านี้ตอนที่สอบสวนผู้อาวุโสตระกูลไช่ หลี่ซวี่ผนึกทุกการรั่วไหลของข่าว ตอนนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนเคยลองส่งข้อความเสียงออกไปทว่ากลับไม่ได้ผล

แต่ตอนนี้กลับคืนสู่ความปกติแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงบอกโจวอีซิงถึงค่ายกลส่วนหนึ่งที่ตัวเองรู้มา ให้อีกฝ่ายไปลองพิสูจน์ดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หลังจากอดทนรอหนึ่งวัน โจวอีซิงก็ส่งข่าวกลับมา

“นายท่าน ค่ายกลเหล่านั้นมีอยู่จริงๆ!! สถานที่เหล่านั้นที่ท่านพูดถึงช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก คนนอกมองไม่ออกเลยว่ามันมีอยู่ ต่อให้แผ่พลังจิตก็ยังไม่เห็นถึงร่องรอยของค่ายกล หากท่านไม่บอกตำแหน่งที่แน่นอนให้ข้ารู้ ข้าก็ยากที่จะสังเกตเห็นมัน” ข้อความเสียงที่โจวอีซิงส่งมาแฝงไว้ด้วยความตื่นตะลึงและเหลือเชื่อ

ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังมาถึงตรงนี้ก็พรูลมหายใจยาวเหยียด ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนมาเป็นคึกคัก กำหมัดแน่นด้วยความฮึกเหิม

“เป็นเรื่องจริงเสียด้วย! ฮ่าๆ มีค่ายกลนำส่งเหล่านี้ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่าจะหนีไปได้สำเร็จ!”

“ตอนนี้ก็รอแค่ให้สามตระกูลกับราชาผียักษ์ต่อสู้ตัดสินเป็นตายกันเท่านั้น…ถึงเวลาพอสถานการณ์โกลาหล บางทีอาจไม่ต้องรอให้ตระกูลป๋ายมาหาข้า ข้าก็สามารถเลือกหนีไปจากคุกมาร โบยบินไปไกลแสนไกล” ความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนเร็วจี๋ ช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เขาผูกไมตรีกับผู้คุมสามเขต ยอมร่วมมือกับพวกเขาสอบสวนนักโทษก็เพราะวางแผนไว้แบบนี้ก่อนแล้ว หากด้านนอกเกิดจลาจล คุกมารวุ่นวาย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มั่นใจว่าจะหนีออกไปจากที่นี่ได้

ท่ามกลางการรอคอยอย่างเงียบเชียบของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน แม้ว่าหลายคนที่รู้เรื่องล้วนเข้าใจดีว่าอาจมีการก่อกบฏเกิดขึ้นจริงๆ ทว่าเมื่อวันนี้มาถึง ทุกอย่างกลับเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ต่อให้เป็นคนที่รู้เหตุการณ์ก็ยังตกตะลึง!

เหตุการณ์ความรุนแรงอย่างแรกที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากสามตระกูลใหญ่ แต่เป็น…เงามายาที่ปรากฏขึ้นบนนภากาศ มองไกลๆ ก็เห็นว่านั่นคือขวานขนาดใหญ่ยักษ์เล่มหนึ่ง!

ขวานนี้มีขนาดพอหมื่นจั้ง สะท้านฟ้าสะเทือนดิน วินาทีที่เผยตัวบนท้องฟ้าก็ก่อตัวขึ้นเป็นของจริงแล้วฟันฉับลงมายังรูปปั้นผียักษ์ในนครผียักษ์อย่างแรงโดยไม่ลังเล

เสียงกัมปนาทเขย่าคลอนฟ้าดิน ตลอดทั้งนครสั่นไหว เสียงคำรามเดือดดาลเสียงหนึ่งพลันดังออกมาจากในตำหนักราชา

“ราชาเก้านรกภูมิ (ในตอนก่อนๆ ราชาเก้านรกภูมิใช้ชื่อว่าจิ่วโยวหวัง) เจ้ากล้า!!” ตอนที่เสียงนี้ดังออกมา เงามายาของผียักษ์ขนาดมหึมาตนหนึ่งก็เผยกายกลางนภากาศ ผียักษ์ตนนั้นร้องคำรามหน้าตาดุร้ายแล้วเหวี่ยงหมัดต่อยโครมเข้าหาขวานยักษ์ที่ฟันลงมาอย่างแรง!

บัดนี้ฟ้าดินบิดเบือน ราวกับว่ามีพลังงานไร้คำบรรยายเยื้องกรายลงมาจากทั่วสารทิศ ปั่นป่วนกฎสวรรค์ บั่นทำลายความว่างเปล่า!!

“ราชาผียักษ์ ครั้งนี้ข้าผู้เป็นราชาก็แค่มาตอบแทนน้ำใจคนผู้หนึ่งเท่านั้น เจ้าเอาตัวรอดให้ได้เถอะ” เสียงหัวเราะดังก้องกังวานไปทั่วนครผียักษ์ตามหลังขวานที่ตวัดฟัน ขณะเดียวกันเมื่อขวานนั้นปะทะเข้ากับเงามายาผียักษ์ เสียงเกริกก้องที่รุนแรงยิ่งกว่าก็ดังสะท้านฟ้าขึ้นมา

เปรี้ยงๆๆ!

เสียงที่ดังเกินกว่าอสนีบาตคล้ายจะบดขยี้ฟ้าดินให้แหลกเป็นผุยผง เสียงนั้นก่อตัวขึ้นเป็นการโจมตีในลักษณะเป็นวงกลมที่ซัดทอดกวาดทำลายไปสี่ทิศในรัศมีหมื่นลี่ ทุกที่ที่ผ่านไม่ถึงกับฟ้าถล่มดินทลาย ทว่าก็ทำให้ท้องฟ้าเกิดรอยปริแตกหลายเส้นราวกับแบกรับไว้ไม่ไหว

คนในนครผียักษ์แตกฮืออลหม่านในชั่วพริบตา คนจำนวนนับไม่ถ้วนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตะลึงพรึงเพริด พวกเขาไม่เพียงแต่เห็นภาพนี้ แต่ยังกับตาตัวเองว่าเห็นร่างจำแลงมายาของราชาผียักษ์ที่ถูกขวานฟันกลับทนรับไม่ไหวจึงแตกทลายเสียงดังตูมตาม!!

“นี่…นี่…”

“สวรรค์ ราชาผียักษ์กลับ…มิอาจต้านทานได้!!”

“นี่มันเป็นไปไม่ได้!!”

ในสมองของคนเหล่านี้มีเสียงดังอึงอล ปากพวกเขาร้องอุทานเสียงหลงขวัญหนีดีฝ่อ ขวานที่ฟันลงมาทำลายเรือนกายมายาของราชาผียักษ์ให้แหลกละเอียด ก่อนจะพุ่งดิ่งเข้าหานครผียักษ์ ยังดีที่ยามนี้มีม่านแสงชั้นหนึ่งกระเพื่อมไหวแล้วพวยพุ่งขึ้นสู่ชั้นฟ้า นั่นก็คือค่ายกลใหญ่ของนครผียักษ์ที่ต้านทานไว้เต็มกำลัง

เสียงกัมปนาทสนั่นหวั่นไหวจนแก้วหูสะเทือนดังขึ้นอีกครั้ง ค่ายกลเกิดรอยปริร้าว ทว่ากลับไม่พังทลาย และขวานยักษ์เล่มนั้นก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพมายาคล้ายจะสลายไป แต่นาทีนี้เอง เสียงหัวเราะกลับดังก้องไปแปดทิศอีกครั้ง

“ราชาผียักษ์ เจ้าเข้าสู่ช่วงเสื่อมถอยแล้วจริงๆ สินะ เคราะห์ครั้งนี้เจ้าจะข้ามผ่านมันไปได้หรือไม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าผู้เป็นราชา ลาล่ะ!” เสียงหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสานดังไปทั่วบริเวณ ก่อนจะเบาแผ่วหายไปพร้อมกับขวานยักษ์บนท้องฟ้า

ทุกคนตลอดทั้งนครผียักษ์ที่มองเห็นภาพนี้ต่างก็ใจสั่นระรัว พวกเขาเกิดลางสังหารอย่างรุนแรงว่า…หายนะครั้งใหญ่ กำลังจะมาเยือน!

ลางสังหรณ์นี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ในนครผียักษ์ก็พลันมีรุ้งยาวหกเส้นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า นั่นคือพระยาสวรรค์หกคนที่อยู่ในสังกัดของราชาผียักษ์ ใต้การปกครองของราชาผียักษ์มีพระยาสวรรค์สิบคน แต่ละคนต่างก็ควบคุมกองทัพใหญ่สิบกองในนครราชาผียักษ์

บัดนี้ในบรรดาคนทั้งสิบกลับมีถึงหกคนที่ลงมือพุ่งเข้ามาสังหารรูปปั้นผียักษ์อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ส่วนพระยาสวรรค์อีกสี่คนที่ถึงแม้จะไม่ลงมือ แต่กลับเก็บตัวเงียบกริบ

“ราชาผียักษ์ วันนี้ก็คือวันตายของเจ้า!!”

“ราชาผียักษ์ จงตายซะเถอะ!!”

พระยาสวรรค์หกคนแม้ไม่ได้มีตบะคนฟ้า ทว่าขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็เป็นคนฟ้าได้แล้ว การลงมือของพวกเขาจึงสะเทือนไปทั้งนครผียักษ์

เสียงร้องคำรามเขย่าคลอนฟ้าดิน เงาร่างทั้งหกพุ่งกระโจนเข้าใส่ตำหนักราชาทันที บนมือทั้งคู่ของรูปปั้นผียักษ์ อู๋ฉางกงเดินออกมาหนึ่งก้าวด้วยสีหน้ามืดทะมึน ทั้งยังคำรามเดือดดาล เสียงนั้นเย็นเยียบประดุจหิมะในวันที่เหน็บหนาวที่สุด ดังก้องกังวานไปรอบด้าน

“บังอาจ!!” ขณะที่ตวาด ตบะของคนฟ้าก็พลันระเบิดออกมาจากร่างของเขา กำลังจะสกัดขวางพระยาสวรรค์ทั้งหกคน ทว่าเวลานี้เอง เสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งกลับดังออกมาจากมืออีกข้างของรูปปั้นราชาผียักษ์

“พี่อู๋ฉาง เจ้าและข้าคบหากันมาหลายปี ครั้งนี้…คู่ต่อสู้ของเจ้า คือข้า!” ในเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความจนใจ ก่อนที่เงาร่างพร่าเลือนเงาหนึ่งจะเดินพรวดออกมาจากมือของรูปปั้นผียักษ์

และนั่นก็คือ…หนึ่งในห้าเจ้าพระยาสวรรค์ของนครผียักษ์…โยวหมิงกง!

“โยวหมิง เจ้าก็ทรยศหวังเหย่ด้วยรึ!!” นัยน์ตาอู๋ฉางกงฉายไอสังหาร เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทันใดนั้นคนทั้งสองก็เปิดศึกกันทันที

ขณะเดียวกันทั้งสามตระกูลใหญ่ก็ระเบิดกำลังอย่างพร้อมเพรียงกัน

ลำแสงน่าครั่นคร้ามสามลำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมเสียงครืนครั่น ลำแสงนั้นกระจายตัวมาจากสามทิศทางอันเป็นที่ตั้งของสามตระกูลใหญ่ ก่อนจะสาดโจมตีลงบนรูปปั้นผียักษ์ในนคร ที่ตามหลังลำแสงนั้นมาก็คือบุรพาจารย์คนฟ้าทั้งสามคนของสามตระกูล

ที่ก่อนหน้านี้บุรพาจารย์ของสามตระกูลใหญ่ไม่ได้ลงมือก็เพราะกำลังรอการโจมตีหยั่งเชิงจากราชาเก้านรกภูมิ เมื่อเห็นว่าราชาผียักษ์อ่อนแอถึงเพียงนี้ ใจของพวกเขาก็มั่นคงจึงลงมือโจมตีทันที

คนทั้งสามแหวกอากาศบินมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะร่วมมือกับหกพระยาสวรรค์สังหารเข้าไปยังตำหนักราชา!

บัดนี้การก่อกบฏได้เปิดฉากอย่างสมบูรณ์แบบ ในสิบพระยาสวรรค์มีหกคนที่ทรยศ ในห้าเจ้าพระยาสวรรค์มีสี่คนที่ใจคิดคด สถานการณ์แบบนี้มีให้เห็นได้ไม่บ่อยนักในแดนทุรกันดาร

หรืออาจพูดได้ว่าหาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะ…สิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำคือทรยศราชาสวรรค์ คือการ…สังหารเทพ!!

“ราชาผียักษ์ ความลับของเจ้าถูกเปิดโปงแล้ว วิชาที่เจ้าฝึกตนมีช่องโหว่ที่อันตรายถึงแก่ชีวิต แม้ว่าพวกข้าจะไม่รู้ระยะเวลาเสื่อมถอยที่แน่นอนของเจ้า ทว่าดูจากตอนนี้แสดงว่าเจ้าต้องอยู่ในช่วงระยะเสื่อมถอยอย่างแน่นอน ตายซะเถอะ!!”

“ราชาผียักษ์ ข้าผู้อาวุโสรอวันนี้มานานเหลือเกินแล้ว วันนี้เจ้าต้องตายอย่างมิต้องสงสัย!!” เสียงของบุรพาจารย์คนฟ้าทั้งสามคนเป็นดั่งมีดแหลมคมที่แหวกอากาศพุ่งเข้าโจมตีบนรูปปั้นราชาผียักษ์ตามหลังลำแสงทั้งสาม

ตูมๆๆ!

เสียงอึกทึกสะเทือนไปยันชั้นฟ้า รูปปั้นผียักษ์มิอาจแบกรับได้ไหวจึงเกิดเป็นรอยปริร้าว แม้แต่ตำหนักราชาเองก็ยังพังถล่มกลายมาเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่ร่วงกราวลงสู่พื้นดิน ก่อนที่เรือนกายล่ำสันใหญ่โต สวมชุดคลุมมังกรสีม่วง บนศีรษะครอบหมวกราชาจะเดินออกมา

มองดูเหมือนเป็นวัยกลางคน ทว่าสีหน้ากลับแผ่บารมีน่ายำเกรงได้โดยที่ไม่ต้องแสดงความโกรธ บนร่างของเขาแผ่ปราณน่าครั่นคร้าม และนั่นก็คือ…ราชาผียักษ์!

“ในที่สุด พวกเจ้าก็กระโดดออกมาแล้ว…” ราชาผียักษ์ยืนอยู่กลางอากาศ มองบุรพาจารย์คนฟ้าสามคนรวมไปถึงพระยาสวรรค์อีกหกคนที่อยู่รอบกาย สีหน้าของเขาไม่เพียงแต่ไม่ตื่นตระหนก กลับยังเผยรอยยิ้มที่ทำให้คนมองไม่เข้าใจความหมายออกมาอีกด้วย ราวกับว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนี้ได้แฝง…ความมั่นใจมากพอว่าจะควบคุมทุกสถานการณ์เอาไว้ได้!

“ตัวข้าผู้เป็นราชามองไม่ออกว่าใครกันแน่ที่คิดจะก่อกบฏ เลยถือโอกาสรอให้พวกเจ้ากระโดดออกมาเอง จากนั้นค่อยดับทำลายไปทีละคน ตอนนี้ในที่สุดสิ่งที่ข้ารอคอยก็เกิดขึ้นแล้ว…เสียดายก็แต่การละเล่นครั้งนี้ตัวข้าผู้เป็นราชายังไม่ทันจะเล่นสนุกได้หนำใจ พวกเจ้าก็ต้องจบเห่กันเสียก่อน” ราชาผียักษ์อมยิ้มน้อยๆ ในถ้อยคำนี้แสดงให้เห็นความมาดมั่นอย่างถึงที่สุด ทำให้บุรพาจารย์คนฟ้าสามตระกูลพากันหน้าถอดสี

ทว่าพวกเขาไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว ยามนี้คนทั้งสามจึงกัดฟันทำมุทราแล้วคำรามก้องพร้อมกัน!

“ผนึกสังหารแดนไม้!!” คนทั้งสามแผดเสียงตะโกน ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็ปรากฏน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์หนึ่งลูก และพริบตาเดียววิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนในน้ำวนลูกนี้ก็พลันกรูเกรียวกันลงมา!

วิญญาณทั้งหมดต่างก็มีธาตุไม้ ยามนี้เมื่อเยื้องกรายลงมาวิญญาณธาตุไม้เหล่านี้ก็ระเบิดตัวเองพร้อมเพรียงกัน ท่ามกลางเสียงดังสะท้านไหว ตลอดทั้งนครผียักษ์ราวกับถูกปิดผนึกไปด้วยพลังไม้เข้มข้นที่อบอวลไปทั่วฟ้าดิน

ภายใต้พลังธาตุไม้อันเข้มข้นนี้ เรือนกายสูงใหญ่ของราชาผียักษ์ที่แผ่พลานุภาพน่าตะลึงกลับเหมือนหิมะที่ถูกสาดด้วยน้ำร้อน เขาพลันโซเซก่อนจะร่วงดิ่งลง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version