Skip to content

A Will Eternal 646

บทที่ 646 การละเล่นของราชาผียักษ์

“พลังไม้พิชิต ราชาผียักษ์ เดิมทีเจ้าก็อยู่ในช่วงเวลาของการเสื่อมถอยอยู่แล้ว ทั้งยังถูกกำราบด้วยพลังไม้ ข้าอยากจะรู้นักว่าวันนี้เจ้าจะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างไร!” บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายหัวเราะร่า พุ่งทะยานเข้าหาราชาผียักษ์ บุรพาจารย์ตระกูลเฉินและตระกูลไช่เองก็มีไอสังหารอบอวล กระโจนเข้าใส่ราชาผียักษ์เช่นกัน

ราชาผียักษ์สีหน้าเรียบเฉยอยู่ตลอดเวลา ต่อให้พลังอำนาจของเขา ตบะของเขาในยามนี้จะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางแดนไม้ที่อบอวล พลังที่แสดงออกมาไม่ใช่ขอบเขตครึ่งเทพอีกต่อไป แต่ลดลงมาอยู่ที่คนฟ้า อีกทั้งการร่วงดิ่งลงมานี้ก็รวดเร็วอย่างมากราวกับว่าอีกไม่นานนักก็จะลดลงมาเป็นก่อกำเนิด!

ทว่าเขายังคงสงบนิ่ง แถมรอยยิ้มมั่นใจยังค้างอยู่ตรงมุมปาก ให้ความรู้สึกเหมือนได้เห็นตัวตลก รอยยิ้มนี้ทำให้บุรพาจารย์ของสามตระกูลใหญ่ ทำให้พระยาทั้งหกคนต่างพากันตื่นตระหนก กัดฟันพุ่งเข้ามาสังหาร

เสียงกัมปนาทดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดินในชั่วพริบตา ราชาผียักษ์คนเดียวต่อสู้กับคนฟ้าสามคน พร้อมหกคนที่อีกครึ่งก้าวก็จะได้เป็นคนฟ้า

ศึกใหญ่ครั้งนี้ทำให้กลางอากาศเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว สะเทือนไปทั้งนครผียักษ์ ทุกคนในนครผียักษ์ต่างตะลึงพรึงเพริด อีกทั้งเมื่อคนของสามตระกูลและกองทัพของพระยาสวรรค์ทั้งหกคนกรีฑาทัพเข้ามาในเมือง เหตุการณ์ก็อลหม่านโกลาหลไปหมด

ทางฝ่ายของตระกูลป๋ายมีประมุขตระกูลป๋ายเป็นผู้นำพากลุ่มผู้อาวุโสหลายคนมาด้วยตัวเอง พวกเขาพกพาเอาปณิธานแห่งการสังหารที่บ้าคลั่งมุ่งตรงไปยังแม่น้ำพิทักษ์เมือง ที่มาพร้อมกับพวกเขายังมีผู้อาวุโสส่วนหนึ่งของตระกูลไช่ด้วย

“ป๋ายฮ่าว ฟ้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้อย่างไร!” ในใจประมุขตระกูลป๋ายเต็มไปด้วยความรอคอย เขารอวันนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว เวลานี้ในที่สุดก็สามารถมองข้ามราชาผียักษ์ และเขาจะแร่เนื้อเถือหนังป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งเป็น!

ขณะที่ในนครผียักษ์เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ การต่อสู้ระหว่างบุรพาจารย์สามตระกูลรวมไปถึงหกพระยาบนท้องฟ้าก็ยุติลงอย่างรวดเร็วตามที่คาด เมื่อเสียงเกริกก้องราวฟ้าคำรามดังเป็นระลอก ราชาผียักษ์ก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ร่างถอยกรูดไปข้างหลัง ตบะของเขายามนี้ใกล้จะร่วงดิ่งลงมาถึงก่อกำเนิดแล้ว ทว่ารอยยิ้มตรงมุมปากของเขากลับยังคงมาดมั่นและแฝงเร้นไว้ด้วยความเหยียดหยามราวกับกำลังดูแคลนทุกคนที่จนถึงตอนนี้ก็ยังมองความจริงไม่ออก!

“ผิดปกติ!!” แต่เห็นได้ชัดว่ามิอาจปกปิดความจริงได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อร่างของราชาผียักษ์ปรากฏเงามายาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง หลังจากที่นิ้วมือของเขาพร่าเลือน บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายเป็นคนแรกที่พบความผิดปกติ หน้าเขาเปลี่ยนสีไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังร้องอุทานเสียงหลง

“เขา…เขาคือร่างจำแลง!!!”

“บัดซบ เขาคือร่างจำแลง ไม่ใช่ตัวจริงของราชาผียักษ์ นี่คือร่างจำแลงที่สามารถละทิ้งได้ตลอดเวลา!!!”

บุรพาจารย์ของอีกสองตระกูลใหญ่ต่างก็ตัวสั่นสะท้าน มองภาพนี้ด้วยสายตาเหลือเชื่อ หนังหัวเหมือนจะระเบิดออก ร้องอุทานไม่ต่างกัน

“เป็นไปไม่ได้ ผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพเนื่องจากความพิเศษด้านพลังจิต ดังนั้นจึงไม่มีร่างจำแลงอย่างตอนที่เป็นก่อกำเนิด ขอบเขตครึ่งเทพไม่มีร่างจำแลง นี่คือข้อกำหนดที่แน่นอน!!”

“เจ้ามีร่างจำแลงได้อย่างไร อีกอย่าง…หลายปีมานี้ข้ากลับไม่ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย!!”

ไม่เพียงแต่บุรพาจารย์คนฟ้าสามคนเท่านั้นที่ตะลึงลาน แม้แต่โยวหมิงกงที่กำลังประมืออยู่กับอู๋ฉางกงห่างออกไปไม่ไกลก็ยังรู้สึกหวาดผวาอย่างลึกล้ำ สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

“นี่…ก็คือไพ่ตายของเจ้า นี่…ก็คือสิ่งที่ทำให้เจ้ามั่นใจในตัวเอง…” ในปากของบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายขมปร่า กัดฟันมองไปยังราชาผียักษ์ ในที่สุดเขาก็เข้าใจเสียทีว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ราชาผียักษ์ถึงได้เยือกเย็นนัก…พอย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นอย่างที่ราชาผียักษ์พูดไว้จริงๆ ในสายตาของอีกฝ่าย นี่เป็นเพียงแค่การละเล่นครั้งหนึ่งเท่านั้น

การละเล่นที่อีกฝ่ายเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางพ่ายแพ้…

ไม่ว่าจะเป็นการหยั่งเชิง ท้าทาย ประนีประนอม หรือแสร้งทำเป็นอ่อนแอก็ดี ปลอบโยนก็ช่าง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นเพียงการปั่นหัวอย่างหนึ่ง…

ขณะที่หัวใจของทุกคนกำลังสั่นสะท้าน ราชาผียักษ์เปล่งเสียงหัวเราะ ยามนี้ร่างของเขาพร่าเลือนไปเกินครึ่ง เสียงหัวเราะของเขาแฝงไว้ด้วยอานุภาพสยบ แฝงไว้ด้วยความสูงส่งเกินทัดเทียม ดังก้องสะท้อนไปทั้งฟ้าดิน

“เพิ่งจะเข้าใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว สำหรับข้าผู้เป็นราชา นี่เป็นเพียงแค่การละเล่นอย่างหนึ่งเท่านั้น…พวกเจ้ารู้ระยะเสื่อมถอยของข้าผู้เป็นราชาแล้วอย่างไร รู้ว่าพลังไม้สามารถพิชิตข้าผู้เป็นราชาได้ แล้วอย่างไร?”

“ระยะเวลาเสื่อมถอยของข้าผู้เป็นราชาไม่ใช่เพิ่งเริ่มต้น แต่ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว อีกสามเดือนให้หลังก็จะผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์แบบ…เมื่อถึงเวลานั้น…ข้าจะกลับมารำลึกความหลังกับพวกเจ้าทุกคน”

ราชาผียักษ์หัวเราะพลางโคลงหัว มองรอบด้านด้วยสายตาดูหมิ่น ความโอหังและเหยียดหยามในสีหน้านั้นประหนึ่งมือที่มองไม่เห็นซึ่งตบลงบนหน้าของทุกคนที่ก่อกบฏฉาดใหญ่

“พวกเจ้ามีเวลาเพียงแค่สามเดือน ดูสิว่าพวกเจ้าจะหาตัวจริงของข้าเจอหรือไม่…นี่คือการละเล่นครั้งที่สองของพวกเรา” ราชาผียักษ์แหงนหน้าหัวเราะร่า ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยๆ พร่าเลือนไปท่ามกลางเสียงหัวเราะนี้ จนกระทั่งสลายไประหว่างฟ้าดิน

กลางอากาศ บุรพาจารย์คนฟ้ารวมไปถึงพระยาสวรรค์ทั้งหกต่างก็ลมหายใจยุ่งเหยิง นัยน์ตามีความตะลึงและหวาดกลัวอย่างปกปิดไม่มิด พวกเขามิอาจไม่เชื่อในคำพูดของราชาผียักษ์ เวลาของพวกเขามีแค่สามเดือนเท่านั้น

สามเดือนให้หลัง หากยังหาร่างจริงของราชาผียักษ์ไม่เจอ พวกเขา…จะต้องถูกสังหารทั้งชั่วโคตร ต่อให้หนีไป แดนทุรกันดารกว้างใหญ่แค่ไหน แต่เมื่อราชาผียักษ์กลับคืนสู่สภาพพร้อมรบสูงสุด ใครเล่าจะหนีรอดไปได้!

“หา ทุ่มพลังทั้งหมด ทุ่มทุกอย่างที่มี ยังไงก็ต้องหาตัวจริงของราชาผียักษ์ให้เจอ ระยะเสื่อมถอยของเขายังอยู่ ร่างจริงของเขาตอนนี้ก็ต้องแก่ชราตามไปด้วย หาเขาเจอ พวกเราก็รอด หาไม่เจอ พวกเราก็ต้องตายกันหมด!!

เขาบอกว่าสามเดือน แต่เราจะเชื่อไม่ได้ หนึ่งเดือน พวกเรามีเวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้น!”

“อีกอย่างต่อให้เขาทำลายกฎ ครอบครองร่างจำแลง ทว่าข้ามั่นใจว่าหากเขาคิดจะควบคุมร่างจำแลง ตัวจริงของเขาก็มิอาจจากไปได้ไกลนัก มีความเป็นไปได้มากว่าจะอยู่ในนครผียักษ์แห่งนี้!” บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายตาแดงก่ำ แผดเสียงตะโกนก้อง

ในใจเขาสิ้นหวังไปเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้พวกเขาแพ้แล้ว การเตรียมการตลอดหลายปี ความพยายามทั้งหมด สุดท้ายกลับต้องมาพ่ายแพ้อย่างราบคาบเช่นนี้ น่าขันเช่นนี้ เขาไม่ยินยอม แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ใครจะไปคาดคิดว่ากฎที่กำหนดว่าครึ่งเทพไม่มีร่างจำแลงจะถูกราชาผียักษ์ทำลายทิ้ง…

“เขามีร่างจำแลงได้อย่างไร!!” ดวงตาทั้งคู่ของบุรพาจารย์ตระกูลเฉินแดงก่ำ คำรามกร้าวแล้วก็ออกทำสั่งเหมือนกัน และยังถึงกับบินออกไปเริ่มตามหาด้วยตัวเอง

บุรพาจารย์ตระกูลไช่และพระยาสวรรค์อีกหกคนต่างก็กัดฟันออกตามหาไปทั่วด้านพร้อมหัวใจที่สั่นสะท้าน ทุ่มเทสุดกำลังเพื่อตามหาตัวจริงของราชาผียักษ์ อันดับแรกที่พวกเขาไปหาก็คือนครผียักษ์แห่งนี้!

โยวหมิงกงก็ไม่มีใจอยากจะประมือกับอู๋ฉางกงอีกต่อไป เขาถอยกรูดออกห่างด้วยความร้อนรน ส่วนอู๋ฉางกงเองก็ไม่มีใครอยากหันมาเล่นงานเขา เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นจึงแหงนหน้าหัวเราะดังลั่น

ไม่มีใครมาถามเขาว่าตัวจริงของราชาผียักษ์ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เพราะทุกคนล้วนรู้ดีว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ราชาผียักษ์ไม่มีทางเชื่อใจใคร หากจะเอาเวลาไปสอบถามก็สู้ไปตามหาเองยังจะดีกว่า

อันที่จริงก็เป็นอย่างที่พวกเขาคาดการณ์ อู๋ฉางกงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าก่อนหน้านี้คนที่ปรากฏตัวต่อหน้าตนจะเป็น…ร่างจำแลง!

ขณะที่คนของสามตระกูลใหญ่รวมไปถึงพระยาสวรรค์ทั้งหกคนพยายามเต็มกำลังเพื่อค้นหาตัวจริงของราชาผียักษ์ ในคุกมาร ห้องขังเขตติง ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนั่งอยู่ในห้องขังของตัวเองมองไปยังเพื่อนนักโทษที่อยู่ไม่ไกลด้วยความเบื่อหน่าย

ผู้เฒ่าที่ใบหน้ามีปานแดงหนึ่งดวงซึ่งปีนั้นล่วงเกินราชาผียักษ์จนถูกจับขังอยู่ที่นี่

“ตาแก่ ข้ามาอยู่ในนี้ก็ไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ แล้ว แถมยังพูดอะไรกับเจ้าไปตั้งมากมาย เจ้าช่วยตอบรับข้าสักคำไม่ได้หรือไง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าตาแก่นี่น่าสงสาร ถึงได้หาเรื่องมาพูดคุยด้วย ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะเงยหน้า ตาก็ไม่ลืมมามองเขา ทำเป็นหูทวนลมใส่เขาซะงั้น

หากแค่นี้ก็ยังพอทน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้คิดจะสนใจอะไรอีก ทว่าวันนี้ตาแก่นั่นกลับลืมตาขึ้นมา เขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นแล้วก็ให้ใคร่รู้ยิ่งนักเลยเอ่ยถามไปหลายคำ แต่อีกฝ่ายกลับยังไม่สนใจตน นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที

“ตาแก่ เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร จงฟังให้ดี ข้าคือแส้ทมิฬอันดับหนึ่งของคุกมาร ทำให้ข้าอารมณ์เสียแล้วเจ้าจะมีแต่ซวย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเสียงดัง

ทว่าผู้เฒ่าคนนั้นกลับยังไม่เงยหน้า เพียงขมวดคิ้วมุ่นคล้ายตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังหยามตนจึงทำเสียงฮึขึ้นจมูกด้วยความไม่พอใจหนึ่งที ขณะที่กำลังจะพูดต่อ ทว่ายามนี้เองประตูคุกที่ห่างออกไปไกลก็ถูกคนผลักเปิด ก่อนที่หัวหน้ากองเก้าและยังมีพวกผู้คุมที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสนิทสนมด้วยหลายคนเดินเร็วๆ มาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“ป๋ายฮ่าว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เจ้ารีบไปกับพวกเราเร็วเข้า!”

“สามตระกูลใหญ่ก่อกบฏ หกพระยาสวรรค์คิดคด ทั้งนครผียักษ์ปั่นป่วนกันไปหมด…” หัวหน้ากองที่เก้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนเล่าสถานการณ์ด้านนอกอย่างรวบรัดพลางดึงตัวป๋ายเสี่ยวฉุนหมายจะให้ไปพร้อมกัน

“ตระกูลป๋ายไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ เจ้าอยู่ในนี้ไม่สามารถหนีได้ สิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือช่วยให้เจ้าหนีไปตอนนี้!” หัวหน้ากองพูดเสียงร้อนรน

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน สูดลมหายใจหนึ่งครั้ง แม้เขาจะคำนวณมาล่วงหน้าแล้วว่าไม่ช้าก็เร็วสามตระกูลใหญ่ต้องก่อกบฏ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าข้างนอกจะเกิดเหตุการณ์พลิกฟ้าพลิกดินขนาดนี้

ราชาผียักษ์ถึงช่วงแห่งการเสื่อมถอย ตบะลดลงต่ำ…และราชาผียักษ์ที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าทุกคนกลับเป็นร่างจำแลง ส่วนสามตระกูลใหญ่ก็กำลังตามหาตัวจริงของราชาผียักษ์ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง

และในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดราชาผียักษ์ถึงไม่จัดการสามตระกูลใหญ่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ เพียงแต่ราชาผียักษ์ที่อยู่ในระยะแห่งการเสื่อมถอย ทำไม่ได้…

และก็เพราะเขาอยู่ในระยะแห่งการเสื่อมถอยถึงได้ทำให้ทั้งสามตระกูลใหญ่กล้าหาญชาญชัยขนาดลุกขึ้นก่อกบฏ ทว่าสุดท้ายแล้ว…กลับพบว่านี่เป็นเพียงแค่การละเล่นครั้งหนึ่งของราชาผียักษ์เท่านั้น

“เจ้าราชาผียักษ์สมควรตาย เจ้าอยากเล่นก็เล่นไปคนเดียวสิ ดึงข้าเข้ามามีเอี่ยวด้วยทำไม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหงุดหงิด แต่กลับจนปัญญา เขาเองก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้อันตรายต่อตนอย่างมาก ตระกูลป๋ายบ้าคลั่งกันขนาดนี้ย่อมไม่มีทางปล่อยตนไปแน่นอน เขาจำเป็นต้องรีบหนี

คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จับมือหัวหน้ากองด้วยความตื้นตันใจ

“พี่น้องทั้งหลาย บุญคุณครั้งใหญ่ ข้าผู้แซ่ป๋ายจะจดจำให้ขึ้นใจ พวกเราอย่ามัวพูดกันอีกเลย รีบไปเถอะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดขาว พูดรัวเร็ว ขณะที่กำลังจะจากไปพร้อมกับพวกหัวหน้ากอง ทว่าทันใดนั้น…ข้างหูของเขาก็มีเสียงเจ้าเต่าน้อยดังลอยมา!

“หึ ไอ้หนูป๋าย อย่าเพิ่งรีบร้อนไปสิ มีการซื้อขายครั้งใหญ่ เจ้ากล้าไม่กล้าทำ?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version