Skip to content

A Will Eternal 66

บทที่ 66 บุกน้ำลุยไฟเพื่อสำนัก

ในผืนป่า เนื่องจากการเดินรุดหน้าอย่างไม่หยุดพัก ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงค่อยๆ มองเห็นร่องรอยบางอย่าง การคาดเดาในใจของเขาก็ยิ่งแน่ชัดขึ้น จนกระทั่งออกจากเทือกเขา หลายวันต่อมา ภายใต้ความเร็วอย่างถึงขีดสุดเช่นนี้ เขาจึงกลับมาถึงเทือกเขาลั่วซิงและพบซากปรักหักพังของตระกูลลั่วเฉิน

“ดูท่าตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยจะส่งข่าวกลับไปยังสำนักได้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนคิดถึงความโหดเหี้ยมก่อนหน้านั้นก็ให้ถอนสะอื้น เนิ่นนานถึงได้หมุนตัวกลับ เรือบินปรากฏตัวขึ้นมา เขากระโดดขึ้นไปนั่งขัดสมาธิควบคุมเรือ

เสียงฮูมดังหนึ่งครั้ง เรือลำนี้ก็กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวหนึ่งเส้น ทะยานดิ่งไปไกล

“กลับสำนักล่ะน้า!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววคาดหวัง เขาครุ่นคิดว่าตอนนี้ตนน่าจะสร้างคุณความดีอย่างใหญ่หลวงให้กับสำนัก กลับไปคราวนี้ทางสำนักต้องมีรางวัลให้อย่างแน่นอน

คิดมาถึงตรงนี้เขาก็ยิ่งตื่นเต้น ก้มลงมองถุงเก็บของ ตลอดทางมานี้เขาได้จัดการกับถุงเก็บของที่ได้มาจากมือของคนตระกูลลั่วเฉินไปบ้างแล้ว ด้านในมีสิ่งของอยู่ไม่น้อย หินวิเศษก็มีอยู่บ้างบางส่วน

ที่สำคัญที่สุดคือเขาลืมไปแล้วว่าถุงเก็บของของผู้ใดกันแน่ที่เขาพบเมล็ดพันธุ์ขนาดเท่ากำปั้นหนึ่งเม็ด มันเต้นตุบๆ เหมือนหัวใจราวกับมีชีวิตแฝงอยู่ แต่กลับดูอ่อนแอลงเรื่อยๆ

หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองดูวัตถุชิ้นนี้แล้ว ด้วยความรู้พืชหญ้าที่เขามีก็ยังต้องพิศดูตั้งครึ่งค่อนวัน กว่าจะมองออกด้วยความตกตะลึงว่านี่ก็คือพืชวิเศษชนิดหนึ่งในตำนานที่มีมูลค่ามหาศาลซึ่งหายสาบสูญไปนานแล้ว และชื่อของมันคือเมล็ดกำเนิดสัตว์!

ในตำนานเล่าว่าเมล็ดพันธุ์ชนิดนี้ หลังจากดูดเอาส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสัตว์วิเศษมาแล้ว สามารถให้กำเนิดสัตว์ออกมาได้ด้วยตัวเอง สำหรับสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่ยากที่จะออกลูกออกหลานรุ่นต่อไปได้ เมล็ดกำเนิดสัตว์นี้จึงแทบไม่อาจประมาณค่าได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตที่มีสัตว์วิเศษแข็งแกร่งอยู่ข้างกาย พวกเขาคาดหวังว่าจะได้ครอบครองลูกหลานของสัตว์วิเศษ แต่ก็มักได้เป็นเจ้าของสัตว์เพียงตัวเดียว และในเวลาเช่นนี้ มูลค่าของเมล็ดกำเนิดสัตว์จะได้เผยตัวตนขึ้นอีกครั้ง

แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดวัตถุล้ำค่าเช่นนี้ถึงตกมาอยู่ในมือของคนตระกูลลั่วเฉินบางคนที่ไล่ฆ่าตนเอง แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็น่าจะเป็นเพราะความโชคดีหลายๆ ด้านของตน ยังไงซะสถานที่ตั้งของตระกูลลั่วเฉินก็อยู่ในเทือกเขาลั่วซิง และเทือกเขาลั่วซิงก็…เต็มไปด้วยความลึกลับ

อีกอย่างขนาดเขายังต้องวิเคราะห์อยู่ตั้งนาน ถ้าเช่นนั้นคนตระกูลลั่วเฉินที่ครอบครองเมล็ดกำเนิดสัตว์ชิ้นนี้ก็น่าจะไม่รู้จัก ดังนั้นจึงเก็บรักษาอย่างไม่ถูกวิธีเท่าไหร่นัก

ตลอดทางที่ผ่านมาป๋ายเสี่ยวฉุนเลือกไม้วิเศษบางประเภทที่มีพลังวิญญาณมาทำเป็นกล่องไม้หนึ่งกล่อง และนำเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์ใส่ไว้ในนั้น คลื่นชีวิตของเมล็ดกำเนิดสัตว์ถึงได้ค่อยๆ เต้นอย่างมั่นคง

เมื่อเก็บกล่องไม้นี้เรียบร้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ควบคุมเรือบินให้ทะยานไปตามเส้นขอบฟ้า กลับไปตามทางเก่าที่มา เข้าใกล้สำนักธาราเทพเรื่อยๆ

พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือน เนื่องจากตอนที่มาหินวิเศษมีไม่เยอะนัก ทั้งสามคนจึงทำได้เพียงใช้เรือบินเร่งเดินทางตอนกลางคืน แต่ตอนนี้ในกระเป๋าของป๋ายเสี่ยวฉุนตุงแน่น เขาถึงได้ไม่สนใจว่าต้องผลาญหินวิเศษไปเท่าไหร่ ดังนั้นใช้เวลาแค่หนึ่งเดือนก็สามารถมองเห็นประตูชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพได้ไกลๆ

“ออกไปข้างนอกครั้งนี้ ทั้งไปทั้งกลับก็ครึ่งปีกว่า ในที่สุดก็ได้กลับมาแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่บนเรือบิน เส้นผมปลิวไสว วางท่าเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทาน จากนั้นอยู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ รู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ดูไม่เหมาะสมนัก ดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนเอาชุดคลุมยาวของศิษย์ฝ่ายนอกที่ชำรุดเสียหายไปตั้งแต่ตอนสู้รบนองเลือดกับตระกูลลั่วเฉินขึ้นมาสวมใส่

วางท่าว่าเพื่อสำนักแล้วตนไม่ยี่หระต่อความตายใดๆ เศร้าอาดูรเหนือสิ่งใดจะเปรียบ รอยเลือดเป็นด่างเป็นดวงบนชุดคลุมยาวสามารถมองออกว่าทุกรอยที่ขาดชำรุด ล้วนมาจากวิกฤตความเป็นความตายทั้งสิ้น

เปลี่ยนเสร็จแล้วเขาถึงได้รู้สึกพอใจ บังคับเรือบินให้ลอยไปข้างหน้าเข้าใกล้ประตู และทันทีที่จะลอดผ่านนั้นเอง ทันใดนั้นกำแพงไร้รูปด้านหนึ่งพลันปรากฏขึ้น พริบตาเดียวก็ทำให้เรือบินถูกดีดออกมา

“อ๋า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนร่างโอนเอียงเกือบร่วงลงไป

เวลาเดียวกันนี้ ประตูชายฝั่งทิศใต้เบื้องหน้าเขาก็มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งบินพรวดออกมา ในรุ้งยาวเส้นนี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง สีหน้าเรียบเฉย หลังจากเดินออกมาก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างสงบ

“สหายนักพรตคือผู้ใด ไม่ทราบว่ามาที่สำนักธาราเทพของข้าด้วยเรื่องอันใด” ชายหนุ่มเพิ่งจะพูดถึงตรงนี้ก็พลันขมวดคิ้วฉับ มองเรือบินหนึ่งที แล้วก็มองเสื้อผ้าบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกหนึ่งที

“ครอบครองเรือบินของสำนักธาราเทพ สวมชุดคลุมยาวของศิษย์ฝ่ายนอก แต่กลับถูกค่ายกลของประตูขัดขวางเอาไว้! เจ้าเป็นใคร!” นัยน์ตาชายหนุ่มเปล่งแววเย็นยะเยียบ เมื่อมือขวาทำมุทรา ตบะของเขาพลันแผ่ซ่านออกมา ซึ่งก็คือพลังรวมลมปราณขั้นแปด

“ศิษย์พี่ท่านนี้ นี่มันอะไรกัน เหตุใดถึงไม่ให้ข้าเข้าสำนักล่ะ ข้าคือศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋น ป๋ายเสี่ยวฉุนไง” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยหลังไปหลายก้าว มองเห็นภาพนี้ก็ให้รู้สึกไม่เข้าใจสถานการณ์นัก จึงรีบเอ่ยปากถาม

ชายหนุ่มขมวดคิ้วฉับ กำลังจะเอ่ยปากพูดก็พลันอึ้งตะลึง

“เจ้าคือป๋ายเสี่ยวฉุน?” เขามองประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนครู่หนึ่ง ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นตา พิธีศพของป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็ไปร่วมด้วย จึงเคยเห็นภาพวาดของป๋ายเสี่ยวฉุนบนป้ายหลุมศพ ยามนี้ร่างกายจึงพลันสั่นสะท้าน โดยเฉพาะรอยเลือดเป็นด่างดวงบนอาภรณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งทำให้เขาสูดลมหายใจเฮือก

“เจ้า…เจ้าตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ!!”

“ข้ายังไม่ตายสักหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไป ชายหนุ่มผู้นั้นสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที หยิบเอาแผ่นหยกออกมา รีบส่งข่าวไปแจ้งสำนัก

วินาทีที่ข่าวคราวเกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแพร่เข้าไปในสำนัก บนเขาเซียงอวิ๋น หลี่ชิงโหวที่กำลังปิดด่านพลันลืมตาพรึ่บ สะท้านไปทั้งร่าง เดินพรวดออกมา

เวลาเดียวกันนี้ ข่าวนี้แพร่ไปที่เจ้าสำนัก เจ้าสำนักธาราเทพอึ้งงัน แต่ไม่นานก็ใช้พลังจิตกวาดผ่านประตูชายฝั่งทิศใต้ เมื่อมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน เขาอึ้งไปก่อนจะตามมาด้วยความดีใจ รีบบอกข่าวกับทุกคนในสำนัก

และเวลาแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจ ทันใดนั้นในสำนักก็มีเสียงแห่งความไม่อยากเชื่อดังออกมาเป็นระลอก เสียงนี้ต่อให้เป็นนอกภูเขาก็ยังสามารถได้ยินแว่วๆ เวลาเดียวกันนั้น เสียงระฆังพลันดังก้อง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน? เขาตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่!!”

ตามมาติดๆ ด้วยเงาร่างจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมออกมาจากสำนัก ผู้ที่นำหน้าสุดคือโหวอวิ๋นเฟย เขาดิ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว หลังจากออกประตูมาได้ก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนทันที สีหน้าเผยความไม่อยากเชื่อ เขาผ่านการถูกไล่ฆ่าจากตระกูลลั่วเฉินมาก่อน แม้ที่ผ่านมาจะไม่อยากยอมรับว่าป๋ายเสี่ยวฉุนตายไปแล้ว แต่ความเป็นจริงในก้นบึ้งของจิตใจ เขาเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าไม่มีลูกศิษย์คนใดที่จะมีชีวิตรอดจากการไล่ฆ่าอันโหดเหี้ยมเช่นนั้นได้

ยามนี้เขาตื้นตันใจจนน้ำตาไหลพราก

“ศิษย์น้องป๋าย!!” เขาหัวเราะร่าเสียงดัง พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้และโอบกอดป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ ดีใจจนพูดอะไรไม่ออก

“ศิษย์พี่โหว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา ยามนี้ก็เข้าใจแล้วว่าทางสำนักคงนึกว่าตัวเองตายไปแล้ว ตอนนี้เห็นว่าโหวอวิ๋นเฟยปลอดภัยดี ก็ให้ดีใจอย่างมาก

“ไป พวกเรากลับสำนักกัน!” โหวอวิ๋นเฟยตื่นเต้น ดึงมือป๋ายเสี่ยวฉุนดิ่งทะยานผ่านประตูภูเขา มีเขาคอยนำ ทำให้ครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านเข้าประตูได้อย่างราบรื่น ชายหนุ่มคนนั้นที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็ตามมาด้วย ขณะที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขาเข้าร่วมการกำจัดตระกูลลั่วเฉินด้วยตัวเอง ได้เห็นภาพสนามรบอันโหดร้ายแต่ละแห่ง และศพของคนตระกูลลั่วเฉินแต่ละศพในผืนป่า การที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีชีวิตรอดกลับมาได้ จึงทำให้เขาสะท้านสะเทือนอย่างไร้สิ่งใดเปรียบ

แทบจะทันทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบย่างเข้าประตูนั้นเอง เงาร่างจำนวนมากกว่าเดิมก็ถลันเข้ามาจากรอบด้าน

“จิ่วพัง?!” จางต้าพั่ง เฮยซานพั่ง และยังมีศิษย์พี่อ้วนคนอื่นๆ จากฝ่ายนักการ ยามนี้แต่ละคนล้วนฮึกเหิมสั่นสะท้าน ทุกคนพากันเข้ามาใกล้ โดยเฉพาะจางต้าพั่งที่พุ่งมาข้างหน้า โอบกอดป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้พร้อมน้ำตาไหลริน

ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจ เขามองผู้คนรอบด้าน เวลานี้จึงพลันรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนทำไปก่อนหน้านี้ช่างคุ้มค่านัก

ยามนี้มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งเข้ามาใกล้ ในรุ้งเส้นยาวก็คือหลี่ชิงโหว เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไม่อยากเชื่อ ตรงหน้าอกของเขามีถุงผ้าอยู่หนึ่งใบ ในนั้นบรรจุเศษเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้

สามารถพูดได้ว่าในบรรดาคนทั้งหมด เขาคือคนที่เข้าใจได้ดีที่สุดว่าวิกฤตที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเผชิญมันอันตรายมากเพียงใด

“คารวะท่านผู้นำ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเดินมาข้างหน้า คารวะหลี่ชิงโหวหนึ่งครั้ง

“มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว” หลี่ชิงโหวที่ปกติมักจะสงบนิ่งเคร่งขรึม ยามนี้กลับตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว มือขวายกขึ้นมาวางไว้บนศีรษะของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาเผยแววตื่นเต้น

“ที่นี่คือบ้านของข้า ศิษย์ยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อสำนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืดอกหน้าเชิด พูดเสียงดัง แถมยังจงใจสะบัดปลายแขนเสื้ออีกหนึ่งครั้ง เผยให้เห็นรอยเลือดแต่ละรอยบนเสื้อผ้า

ยอดเขาทั้งสามของชายฝั่งทิศใต้มีคนมาเยือนอย่างต่อเนื่อง หลังจากมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนจากที่ไกลๆ ทุกคนล้วนตะลึงลานไปกับรอยเลือดบนเสื้อผ้าของป๋ายเสี่ยวฉุน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดังไปทั่วทิศ พอทุกคนได้ยินแล้วในใจก็สั่นไหว ขณะที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนล้วนรู้สึกว่านี่ต่างหาก…ถึงจะเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักอย่างแท้จริง

มองเห็นว่ามีคนมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงร่ำไห้ด้วยความดีใจอย่างถึงขีดสุดของผู้หญิงคนหนึ่งดังลอยมาแต่ไกล ตู้หลิงเฟยนั่นเอง หลายวันมานี้นางใช้น้ำตาอาบหน้าทุกวัน ร่างกายทรุดโทรมอย่างถึงที่สุด พอได้ยินคนพูดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาแล้ว ในใจนางก็พลันเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หมุนตัวละทิ้งทุกอย่างวิ่งเข้ามาหา

ยามนี้มองเห็นร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน น้ำตาของนางก็ยิ่งไหลมากขึ้น รุดหน้าเข้าไปกอดป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะด้วยท่าทางไม่กล้าเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง ทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนอบอุ่นนัก

มือของเขากำลังจะคลำไปยังส่วนโค้งงอนตามจิตใต้สำนึก แต่พอนึกขึ้นได้ว่ารอบด้านมีคนอยู่มากมายจึงพยายามอดกลั้นเอาไว้

“ศิษย์พี่หญิงตู้ ข้าเคยบอกแล้ว ขอแค่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีลมหายใจ จะไม่ยอมให้ท่านได้รับบาดเจ็บแม้แต่รอยขีดข่วนเด็ดขาด” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากราบเรียบ เชิดคางขึ้นด้วยท่าทางทระนงตน พูดประโยคชวนขนลุกออกมา

แต่พอตู้หลิงเฟยฟังประโยคนี้แล้วกลับรู้สึกอ่อนระทวยไปทั้งตัว ในส่วนลึกของดวงตาคู่งามซุกซ่อนอารมณ์ลึกซึ้ง หวามไหวเข้มข้น

ไม่นาน แม้แต่เงาร่างของคนจากศาลาพิพากษ์ก็ยังปรากฏตัวขึ้นด้วย ผู้นำก็คือโอวหยางเจี๋ย ตอนที่เขามองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจก็ตะลึงไปเช่นกัน ดวงตาเผยความสนใจรุนแรง โดยเฉพาะอาภรณ์บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน รวมไปถึงคำพูดที่เขาเพิ่งพูดกับหลี่ชิงโหวเมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้เขาพยักหน้าอยู่กับตัวเอง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าคือโอวหยางเจี๋ยแห่งศาลาพิพากษ์”

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินคำว่าศาลาพิพากษ์ ในใจก็สั่นไหวขึ้นมาทันที แต่พอนึกได้ว่าตัวเองสร้างคุณความดีใหญ่หลวง ดังนั้นจึงเชิดอกต่อไป กำมือประสานให้กับโอวหยางเจี๋ย

“เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลลั่วเฉิน เจ้าตามข้าไปพบกับท่านเจ้าสำนักหน่อย” ใบหน้าโอวหยางเจี๋ยเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งออกมา มือขวายกขึ้นชี้ไปทางป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง พลันใต้ฝ่าเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปรากฏหมอกวิเศษขึ้นมา พาร่างเขารุดหน้าออกไปไกลพร้อมโอวหยางเจี๋ย

ดวงตาหลี่ชิงโหวเผยแววปลื้มปิติ และก็แปลงร่างเป็นรุ้งเส้นยาวรุดหน้าไปเช่นกัน

ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ ยามนี้มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป ทุกคนก็ถอนหายใจอย่างตกตะลึงและวิพากษ์วิจารณ์กันออกมา ไม่นานก็แยกย้าย แต่ข่าวที่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ตายกลับแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว

จนถึงท้ายที่สุด ตลอดทั้งสำนักธาราเทพแทบจะรู้เรื่องนี้กันหมด มีทั้งคนดีใจ มีทั้งคนทุกข์ใจ เฉียนต้าจินอยู่ในถ้ำของตัวเอง ตัวเขาสั่นขึ้นมา สีหน้าเผยแววหวาดผวา

“แม่งเอ้ย ทำไมมันถึงไม่ตายวะ! ถูกไล่ฆ่าอย่างเหี้ยมโหดอันตรายถึงขนาดนั้นดันไม่ตายได้ยังไง!”

“มันน่าจะไม่รู้ว่าข้าคือคนที่จัดหาภารกิจนี้ให้มัน…ใช่ มันน่าจะไม่รู้…” สีหน้าเฉียนต้าจินเดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง วิตกกังวลอยู่กับผลได้ผลเสีย

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version