Skip to content

A Will Eternal 67

บทที่ 67 ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์ของพวกเราล่ะ?

สำนักธาราเทพมียอดเขาทั้งหมดแปดยอด ชายฝั่งทิศเหนือมีภูเขาสี่ลูก ชายฝั่งทิศใต้มีภูเขาสามลูก ส่วนตรงกลาง…คือภูเขาจ้งเต้า เป็นจุดศูนย์กลางพลังของสำนักธาราเทพ

วันธรรมดาเจิ้งหย่วนตงเจ้าสำนักธาราเทพจะอยู่ที่นี่เพื่อจัดการเรื่องทุกอย่างของสำนัก

ยามนี้เมื่อเสียงระฆังดังก้อง ผู้นำของทุกยอดเขาชายฝั่งเหนือใต้ก็ย่างกรายเข้ามานั่งอยู่กลางโถงใหญ่ เจ้าสำนักก็เป็นหนึ่งในนั้น นั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลาง

ไม่นานนัก หลี่ชิงโหวและโอวหยางเจี๋ยก็พาป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงนอกโถงใหญ่ ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรออยู่ด้านนอก พวกเขาสองคนเหยียบย่างเข้าไปในห้องโถง

นอกหอใหญ่ยังมีลูกศิษย์อีกสี่คน สี่คนนี้คอยเฝ้าอยู่ฝั่งละสองคน แต่ละคนล้วนมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความประหลาดใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มให้กับคนทั้งสี่ สถานที่แห่งนี้เขาเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เมื่อมองไปรอบด้านพบว่าพลังวิญญาณเข้มข้น พืชไม้ดอกไม้สิ่งกลิ่นหอมกำจาย ราวกับเป็นดินแดนของเซียน อีกทั้งยังไม่มีเสียงดังจอแจ เงียบสงบอย่างยิ่ง เขาเซียงอวิ๋นเทียบไม่ติดเลยทีเดียว

ที่นี่คือสถานที่สำคัญของสำนัก ปกติหากเป็นลูกศิษย์คนอื่นมาเยือน ทุกคนล้วนระมัดระวังตัวเต็มที่ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเหมือนไร้ซึ่งความกดดันใดๆ ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าปกติ

ภาพนี้ทำให้ลูกศิษย์สี่คนล้วนทอดถอนใจ แอบคิดว่าไม่เสียแรงที่เป็นบุคคลผู้สร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้กับสำนัก ลำพังแค่ลักษณะสุขุมเยือกเย็นที่แสดงออกมาก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปมีแล้ว

ในความเป็นจริงถึงแม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะกลัวตาย แต่พอเขาคิดว่าตนเองสร้างคุณงามความดีเอาไว้ เมื่อมาถึงที่นี่ตนเองย่อมไม่ตายอย่างแน่นอน จึงไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ ยืนหน้าเชิดอกตั้ง ในสมองเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าตนเองจะได้รับรางวัลแบบใด

‘ด้วยความดีที่ข้าสร้างไว้ จะยังไงก็ต้องให้ยาเพิ่มอายุขัยร้อยปีกับข้าสักเม็ดหนึ่งนั่นแหละ แล้วก็ให้คะแนนความดีอีกหนึ่งล้านคะแนน แล้วก็ให้ถ้ำสถิตที่ดีที่สุดกับข้า สถานะลูกศิษย์ฝ่ายในนี่ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน ฮ่าๆ’ ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น แต่รออยู่นานมากแล้วก็ยังไม่ได้ยินเสียงเรียกดังมาจากด้านในหอ

ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็รออีกนาน รอจนหาวหวอดติดต่อกันถึงได้ยินเสียงจนใจดังลอยมาจากข้างใน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าเข้ามานี่”

ป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคักขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามวางท่าว่าสามารถบุกน้ำลุยไฟเพื่อสำนักออกมา เดินก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องโถงใหญ่ เพิ่งจะเดินเข้ามาได้เขาก็กำมือประสาน

“ศิษย์ป๋ายเสี่ยวฉุนจากเขาเซียงอวิ๋น คารวะเจ้าสำนัก คารวะผู้อาวุโสทุกท่าน”

หลังจากคารวะเสร็จป๋ายเสี่ยวฉุนก็เงยหน้าขึ้นมา มองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลาง ผู้เฒ่าคนนี้แผ่บารมีน่าเกรงขาม สวมชุดคลุมยาวสีขาว ตบะทั้งร่างลึกล้ำมิอาจประเมินได้

รอบด้านของเขารายล้อมไปด้วยคนแปดคน ชายหกคนหญิงสองคน หลี่ชิงโหวและโอวหยางเจี๋ยก็เป็นหนึ่งในนั้น ยามนี้คนเหล่านี้ล้วนใช่สายตาตกตะลึงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีชีวิตรอดกลับมาได้ประเมินมองตัวเขา

สำหรับเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น พวกเขามองกันอยู่หลายที ด้วยความสามารถในการมองของพวกเขาย่อมมองออกว่ารอยชำรุดเสียหายเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการจงใจฉีกขาด แต่เป็นร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้จากการสู้รบโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะขาวสะอาดสะอ้านของป๋ายเสี่ยวฉุน แค่มองก็รู้ได้ว่าเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาท ยามนี้ยังมีสีหน้าสุขุม ไม่หยิ่งยโสแต่ก็ไม่ทำตนต่ำต้อยเกินไป

ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่ถึงแม้ว่าจะมีสีหน้าเป็นปกติ แต่ความประทับใจที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยิ่งมีมากขึ้น เพียงแต่ส่วนลึกในจิตใจก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่มากก็น้อย

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าช่วยอธิบายถึงภารกิจที่ไปยังตระกูลลั่วเฉินครั้งนี้อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบหน่อย” หลี่ชิงโหวมองป๋ายเสี่ยวฉุน เอ่ยปากอย่างอ่อนโยน

ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเคร่งขรึม เล่าเรื่องราวทุกอย่างตลอดการเดินทางครั้งนี้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างสงบหนึ่งรอบ แต่ไม่ได้พูดถึงผู้เฒ่าชุดดำ เพราะนี่คือความลับของตัวเขา

นอกจากนี้เขายังพูดถึงการเสียสละของเฝิงเหยียน และความยากลำบากตลอดการเดินทาง เดิมทีเขาก็เป็นคนฉลาดอยู่แล้ว ยามนี้ไม่ได้พูดถึงคุณความดีของตัวเองแม้แต่นิด กลับกันคือพยายามพูดถึงความดีของเฝิงเหยียน ตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟย

“ต้องโทษที่ข้าไร้ประโยชน์ ศิษย์พี่เฝิงตายเพราะช่วยข้า ต้องโทษข้าเอง…”

ยิ่งเขาทำเช่นนี้ ความชื่นชมในดวงตาของพวกผู้อาวุโสก็ยิ่งมีมากขึ้น เพียงแต่คนเหล่านี้บำเพ็ญตบะมานานหลายปี ความคิดจิตใจดั่งปีศาจ ดูจากเสื้อผ้าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเลือกสวมก็พอจะมองออกถึงนิสัยของเจ้าตัว แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็ยังรู้สึกชื่นชมอยู่ดี

“หลังจากสลบไป ตื่นขึ้นมาก็หายดีเลยรึ?” เจ้าสำนักยิ้ม ไม่ได้ใส่ใจกับคำอธิบายของป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะยังไงซะลูกศิษย์ทุกคนล้วนมีความลับของตัวเอง สิ่งที่สำนักต้องการคือความภักดี ไม่ต้องการควบคุมไปซะทุกสิ่งอย่าง มิเช่นนั้นย่อมเกิดความไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน รางวัลของเจ้าได้แจกแจงไปตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน เจ้าก็คือ…ศิษย์ผู้ทรงเกียรติของสำนักธาราเทพ!” ตอนที่เจ้าสำนักพูดคำว่าศิษย์ผู้ทรงเกียรติออกมา ก้นบึ้งของหัวใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาเป็นระลอก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นศิษย์ผู้ทรงเกียรติที่ยังมีชีวิตอยู่

ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ปรึกษากันมาก่อนแล้ว ต่างฝ่ายต่างรู้สึกลำบากใจ เพราะสถานะศิษย์ผู้ทรงเกียรติช่างสำคัญยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ล้วนมอบให้กับผู้ที่สู้รบจนตัวตาย ยังไม่เคยมอบให้คนที่มีชีวิตอยู่มาก่อน แต่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยืนอยู่เบื้องหน้าของตนเอง เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา…

นี่ทำให้ตอนที่พวกเขาเพิ่งทราบข่าว ล้วนพากันอึ้งงันไป

อีกอย่างสถานะนี้ก็เอากลับคืนมาไม่ได้ด้วย พิธีศพก็จัดไปแล้ว คุณความดีก็มี นี่ทำให้พวกเขาทุกคนล้วนกลัดกลุ้ม ดังนั้นก่อนหน้านี้ถึงได้ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรออยู่ข้างนอกเสียนาน

หลังจากปรึกษากันแล้วก็ยังคงไม่มีวิธีแก้ไข ตามกฎของสำนักแล้ว ทำได้แค่เพียงมอบสถานะนี้ให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนต่อไป

“ศิษย์ผู้ทรงเกียรติ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน เขาไม่เคยได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้มาก่อน ยืนรอคอยอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน มองพวกเจ้าสำนักตาปริบๆ หลังจากพบว่าผู้อาวุโสทุกท่านในห้องโถงแห่งนี้ แต่ละคนล้วนมีสีหน้าแปลกประหลาด แต่กลับไม่ได้พูดถึงรางวัลอื่นๆ ตามมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป

“เอ่อ…ไม่มีแล้ว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยถาม

“ไม่มีแล้ว” เจ้าสำนักฝืนยิ้ม

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจโดยพลัน กำลังจะเอ่ยปากพูดอธิบายเหตุผล เล่าว่าตลอดทางมานี้ตนเองลำบากลำบนเพียงใด แทบจะเอาชีวิตไม่รอดเพียงใดสักหน่อย หลี่ชิงโหวกลับไอแห้งๆ ออกมาหนึ่งครั้ง เขารู้จักนิสัยป๋ายเสี่ยวฉุนดียิ่งกว่าใคร

“ยังไม่รีบขอบคุณท่านเจ้าสำนักอีก สมญานามศิษย์ผู้ทรงเกียรตินี้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ สำนักธาราเทพมีเพียงสิบคนเท่านั้น เจ้าเป็นคนแรกในรอบหนึ่งพันปี และก็เป็นคนเดียวที่ครอบครองสมญานามนี้ในปัจจุบัน

ตัวเป็นศิษย์ผู้ทรงเกียรติ เลิศล้ำกว่าฝ่ายใน เป็นเกียรติสูงสุดของสำนักธาราเทพ คนรุ่นหลังที่มีสายเลือดนี้สามารถใช้ทรัพยากรตลอดทั้งสำนักธาราเทพ เกิดมาก็เป็นฝ่ายใน อีกทั้งสำนักธาราเทพจะยังคอยปกป้องคุ้มครองคนในตระกูลไปชั่วกาลนาน!

ในสำนักธาราเทพของเรามีตระกูลใหญ่เก้าตระกูล ล้วนเป็นตระกูลผู้ทรงเกียรติทั้งสิ้น นี่เป็นฐานะอันทรงเกียรติที่สร้างความรุ่งโรจน์มาให้!” หลี่ชิงโหวอธิบาย

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินคำอธิบายนี้ก็ให้หน้านิ่วคิ้วขมวด ราศีตลอดทั้งร่างหายไปทันที มองหลี่ชิงโหวแล้วก็มองเจ้าสำนักด้วยท่าทางหงอยเหงาน่าสงสาร

เขาไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไร สถานะศิษย์ผู้ทรงเกียรตินี้เขาพอเข้าใจแล้ว มองดูเหมือนจะไม่เลว แต่ความจริงแล้วล้วนเตรียมไว้เพื่อผู้ตาย รางวัลทั้งหมดมอบให้กับคนรุ่นหลัง แต่เขายังมีชีวิตอยู่นี่นา…ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นพบอย่างเศร้าโศกว่าตนเองอยู่ในขั้นที่ดันไปอิจฉาลูกหลานของตัวเองเสียแล้ว

“ขอบคุณ…ท่านเจ้าสำนัก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อย เอ่ยปากอย่างไร้เรี่ยวแรง

“นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าสามารถเรียกข้าว่าศิษย์พี่เจ้าสำนักได้” เจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงไอแห้งๆ หนึ่งที ในใจรู้สึกจั๊กจี้ชอบกล ก่อนหน้านี้ที่เขาเสนอเรื่องกราบอาจารย์ เป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนได้พลีชีพไปแล้ว แต่ตอนนี้อีกฝ่ายมีชีวิตกลับมา พอเขาคิดว่าตัวเองอายุมากปูนนี้แล้วยังต้องมาเรียกศิษย์พี่ศิษย์น้องกับเจ้าเด็กน้อยที่อายุไม่ถึงยี่สิบปีคนหนึ่ง ก็ให้ถอนหายใจอยู่ข้างในติดๆ กัน

“อ๋า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ยามนี้อารมณ์ของเขาขึ้นๆ ลงๆ มากเกินไป ตอนที่เข้ามาในโถงใหญ่ใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่สิ่งที่ค้นพบภายหลังช่างโหดร้าย อารมณ์ก็ดำดิ่งลงสู่ก้นเหวทันที แต่ตามมาติดๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อีก

“ด้วยคุณความดีที่เจ้าสร้าง บวกกับที่เจ้ายังไม่มีอาจารย์ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจให้เจ้าไหว้อาจารย์ของข้าเป็นอาจารย์ของตัวเอง ดังนั้นนับตั้งแต่วันนี้ไป ข้าก็คือศิษย์พี่ของเจ้า” ในใจของเจ้าสำนักยิ่งกระอักกระอ่วน

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาเผยความตื่นเต้นออกมาในชั่วพริบตา เขารู้สึกว่าทางสำนักช่างดีกับตนเองเหลือเกิน พอคิดขึ้นมาได้ว่าอาจารย์ของเจ้าสำนักต้องเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างอันดับหนึ่งแห่งสำนักแน่นอน เขาก็ฮึกเหิมขึ้นมาอย่างฉับพลัน ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายวิบวับ

‘นับแต่นี้เป็นต้นไปใครจะกล้ารังแกข้าอีกล่ะ ท่านอาจารย์ของข้าร้ายกาจขนาดนี้ ฮ่าๆ!!’ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนปลื้มปิติอย่างบ้าคลั่ง รีบกำมือประสานโค้งตัวต่ำ

“ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าสำนัก ศิษย์พี่ อาจารย์ของพวกเราล่ะ ข้าจะไปคารวะท่านเดี๋ยวนี้เลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความรอคอย พูดอย่างเป็นสุข

“ไม่ต้องรีบ รูปภาพของท่านผู้อาวุโสตั้งอยู่ที่หลังเขา ข้าส่งคนไปเตรียมแล้ว อีกครู่จะให้พาเจ้าไป” เจ้าสำนักสีหน้าเหยเก เอ่ยปากเนิบช้า

“รูปภาพ…ตั้งอยู่ที่หลังเขา…” ร่างทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับถูกสายฟ้าฟาด ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ในสมองเต็มไปด้วยเจ็ดคำนั้น เนิ่นนานเขาถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา…อาจารย์ที่ตนเองต้องคำนับกราบเป็นศิษย์ ได้…ลาจากโลกนี้ไปแล้ว

“ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงความเดือดดาล เสียงปังๆ ดังลั่นในสมองมากยิ่งขึ้น ใจของเขาร่วงหล่นสู่หุบเหวอีกครั้ง อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เขาถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจากมายังไง เดินตามเจ้าสำนักไปหลังเขาด้วยจิตใจที่ล่องลอยไปตลอดทาง หลังจากไหว้รูปภาพหนึ่งแล้ว ก็ออกมาจากภูเขาจ้งเต้าด้วยความฉงนฉงายและกลับมายังภูเขาเซียงอวิ๋น

บนเขาเซียงอวิ๋น ลูกศิษย์ไม่น้อยที่เห็นเขา แต่ละคนล้วนรีบคารวะ นัยน์ตาเผยความแปลกใจ ยังมีคนถึงขั้นพาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยังงงงันไปดูหลุมศพของตัวเขาด้วยความหวังดีอีกด้วย

ระหว่างมองป้ายหลุมศพตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าฟ้ามืดแล้ว

“ข้า…ข้าไหว้รูปภาพใบหนึ่งเป็นอาจารย์…” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าตัวเองกลับมายังที่พักอย่างไร นั่งเหม่ออยู่หน้าบ้านไม้ ความเดือดดาลก็ปะทุขึ้นมา

หลายวันผ่านไป เขานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งครึ่งเดือนให้หลัง ท่ามกลางการปลุกระดมตัวเอง เขาถึงได้ฟื้นคืนสติกลับมา

เขาถอนหายใจอย่างเศร้าโศกเดินออกไปจากห้องพัก เตรียมจะไปพูดคุยรื้อฟื้นความหลังกับจางต้าพั่งเสียหน่อย แต่เพิ่งจะเดินออกไป ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่เดินสวนมา หลังจากเห็นเขาแล้วก็รีบประสานมือโค้งคำนับต่ำทันที

“คารวะอาจารย์อาป๋าย”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็ชะงักเท้ากึก หันหน้ามาด้วยดวงตาเปล่งประกาย ดึงรั้งลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนนั้นเอาไว้

“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”

“อาจารย์อาป๋ายขอรับ ท่านเป็นศิษย์น้องของท่านเจ้าสำนัก ศิษย์…ศิษย์ย่อมต้องเรียกท่านว่าอาจารย์อาป๋ายอยู่แล้ว” ลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนนั้นอึ้งงัน รีบพูดอธิบาย

ป๋ายเสี่ยวฉุนปล่อยมือ ดวงตาทั้งคู่ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น หัวใจเต้นโครมคราม เขาพบว่าสถานะนี้ของตัวเองใช่ว่าจะแย่ไปเสียหมด ลำดับศักดิ์ยิ่งใหญ่เสียจนน่าตกใจ…

เขาเลียริมฝีปาก พลันหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง เสียงหัวเราะนั้นดังก้อง ทำเอาลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนนั้นตกใจจนถอยหลังกรูด ไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นบ้าอะไรขึ้นมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเก็บเสียงหัวเราะแล้วไอแห้งๆ หนึ่งที วางท่าของผู้อาวุโสพยักหน้าน้อยๆ ให้กับอีกฝ่าย ไม่ได้ไปหาจางต้าพั่งอีก แต่ไปยังจุดรับภารกิจด้วยใจที่เต็มไปด้วยการรอคอย

เพราะว่า…ที่นั่นมีคนอยู่เยอะ

เวลาเดียวกันนี้ บนยอดเขาเซียงอวิ๋น หลังจากหลี่ชิงโหวกลับมาแล้วก็ปิดด่านทันที เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงจุดปิดด่าน ครุ่นคิดลึกซึ้งเนิ่นนานก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เริ่มหลอมยา

‘เสี่ยวฉุนเจ้าเด็กคนนี้นิสัยดื้อรั้นเกเร จำเป็นต้องช่วยเขาเตรียมอาวุธไว้ปกป้องตัวเองสักชิ้น เสียดายที่ข้าไม่ถนัดหลอมอาวุธ ทำได้เพียงหลอมยาเก้าล้ำเลิศเอาไปแลกกับสำนักธาราโอสถ…การเตรียมอาวุธให้กับลูกศิษย์พลังรวมลมปราณเช่นนี้ แค่มองก็รู้ว่าทำเพื่อรุ่นลูกรุ่นหลานตัวเอง สำนักธาราโอสถย่อมเรียกร้องสูงอย่างแน่นอน’ หลี่ชิงโหวส่ายหน้า ไม่ได้สนใจในจุดนี้ ต่อให้สำหรับเขาแล้วยาเก้าล้ำเลิศจำเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างมากถึงจะหลอมออกมาได้ แต่พอคิดขึ้นมาได้ว่าคราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด เขาก็รวบรวมสมาธิ เตรียมหลอมยา

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version