Skip to content

A Will Eternal 68

บทที่ 68 ศิษย์หลานทั้งหลาย อย่าเพิ่งหนีสิ!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนถนัดหาความสุขจากเรื่องต่างๆ… ยามนี้เขาค้นพบความเบิกบานของการมีฐานะเป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนักแล้ว ดังนั้นจึงตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เดินวางมาดใหญ่โตไปตามเส้นทางภูเขาของสำนัก เขามองเห็นจุดภารกิจได้ไกลๆ แล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งที จัดระเบียบอาภรณ์ของตัวเองเล็กน้อยแล้ววางท่าราวผู้อาวุโส เชิดคางเล็กๆ ขึ้น มือทั้งสองข้างไพล่หลัง ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้

จุดภารกิจคนเยอะล้นหลาม ในฐานะที่เป็นที่ที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในหลายๆ สถานที่ของสำนักธาราเทพ ทุกวันที่นี่จึงมีลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนมากเข้าๆ ออกๆ สามารถได้ยินเสียงจอแจของผู้คนดังมาแต่ไกล

ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาถึงจุดภารกิจ เขายืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่ตัวเองคิดว่าเมตตาที่สุด มองไปยังลูกศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านั้น

แทบจะพริบตาที่เขาปรากฏตัวก็มีคนสัมผัสได้ทันที โดยเฉพาะลูกศิษย์ฝ่ายนอกกลุ่มนั้นที่อยู่เบื้องหน้าเขาซึ่งเดิมทีกำลังพูดคุยถึงภารกิจที่รับมา หลังจากสายตากวาดไปเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็พากันตะลึงงันไป

“นี่คือ…อาจารย์อาป๋าย คารวะอาจารย์อาป๋าย”

“คารวะอาจารย์อาป๋าย!”

พวกเขารีบกำมือประสานไปทางป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อเปล่งคำพูดออกมา คนจำนวนมากกว่าเดิมก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นไม่นานลูกศิษย์ฝ่ายนอกแทบทุกคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ ล้วนพากันหันไปคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนติดๆ กัน

“ทุกคนลำบากแล้ว” เสียงที่เรียกอาจารย์อาป๋ายแต่ละประโยคนั้น พาให้จิตใจป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานนัก ดังนั้นจึงหันไปทักทายทุกคนพร้อมรอยยิ้ม มือสองข้างไพล่หลัง เดินไปข้างหน้า

และลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่รอบด้านเหล่านั้น แต่ละคนพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ล้วนเผยความอิจฉาริษยา วิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา

“อาจารย์อาป๋ายเป็นถึงศิษย์น้องของท่านเจ้าสำนักเชียวนะ…”

โดยเฉพาะผู้ควบคุมหลายคนของจุดภารกิจที่หลังจากพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบลุกขึ้นยืน คารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำให้ตลอดทั้งจุดภารกิจไม่เป็นอันทำงานทำการกันอีกต่อไป ภาพเหล่านี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นยิ่งขึ้น

“พวกเจ้าทำงานกันต่อไปเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า วันนี้ข้าเป็นตัวแทนศิษย์พี่เจ้าสำนักมาดูลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักธาราเทพเสียหน่อย” ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่าแทบจะมีดอกไม้ผลิบานแล้ว เขาเอ่ยปากเช่นนี้ ลูกศิษย์รอบด้านจึงคารวะอีกครั้ง แม้แต่ผู้อาวุโสที่อยู่ในหอภารกิจก็ยังต้องเดินออกมาพยักหน้าให้ป๋ายเสี่ยวฉุน

แต่ดันกลายเป็นว่า…ถึงปากป๋ายเสี่ยวฉุนจะบอกทุกคนว่าไม่ต้องสนใจเขา แต่เขากลับไม่ยอมจากไป เดินไปเดินมาอยู่ในกลุ่มผู้คน เห็นใครก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม สถานที่ใดที่เดินผ่าน คำว่าอาจารย์อาป๋ายจะต้องออกมาจากปากของลูกศิษย์ฝ่ายนอกแต่ละคนไม่หยุด ถึงขั้นที่ว่าลูกศิษย์บางคนพูดไปแล้วถึงสิบกว่ารอบ…

ไม่นานสีหน้าของทุกคนก็เริ่มเหยเกกันขึ้นมา มองออกว่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่นี่ก็เพราะต้องการได้ยินคนเรียกเขาว่าอาจารย์อาป๋าย…ป๋ายเสี่ยวฉุนพอใจแล้วถึงได้โบกมือให้กับทุกคน เดินวางมาดจากไป จุดภารกิจถึงได้กลับคืนสู่สภาพปกติ

‘สถานะนี้ร้ายกาจแท้’ ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย ตลอดช่วงเช้านี้เขารู้สึกว่าร่างกายและจิตใจตนเองปิติสุขยิ่งนัก ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเขาพบว่าสถานะนี้ของตัวเองแตกต่างไปจากผู้อื่น

‘ศิษย์ผู้ทรงเกียรติ ศิษย์น้องเจ้าสำนัก สถานะนี้ไม่ได้แปลว่านับแต่นี้ไปในสำนักจะไม่มีใครกล้าหาเรื่องข้าอีกแล้วรึ?’ ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง รีบวิ่งไปทางหอหมื่นโอสถ

หอหมื่นโอสถ…มีคนเยอะเช่นเดียวกัน

ไม่นานนักป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาถึงหอหมื่นโอสถ มองไปยังป้ายศิลาทั้งสิบแผ่นเหล่านั้น หูได้ยินเสียงคนเรียกอาจารย์อาป๋าย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ถอนสะอื้น อิดออดอยู่ตรงนั้นอยู่ครึ่งค่อนวัน พอสีหน้าของทุกคนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด เขาถึงได้จากมาอย่างอาลัยอาวรณ์ แม้จะเป็นช่วงสายัณห์แล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เดินไปยังที่พักซึ่งมีศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนมากพักอยู่

สวีเป่าไฉเพิ่งจะเดินออกจากประตูก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน จึงรีบประสานมือคารวะ

“ที่แท้ก็เสี่ยวเป่านี่เอง ตบะของเจ้าตอนนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครึ่งปีก่อนตอนที่ข้าจากไปเลยนะ จะทำอย่างนี้ไม่ได้รู้ไหม ต้องมานะเพิ่มตบะของตัวเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบไหล่ของสวีเป่าไฉ เอ่ยปากวางมาดถือดีเป็นผู้อาวุโส

สวีเป่าไฉอึ้งไปครู่หนึ่ง กะพริบตาปริบๆ ได้ยินคนเรียกว่าเสี่ยวเป่า ในใจของเขาก็คันยิบๆ เขาโตมาขนาดนี้ มีพ่อเขาคนเดียวที่เรียกเขาแบบนี้ คนนอกไม่เคยมีใครเรียก ยามนี้ในใจรู้สึกพิลึกพิลั่นชอบกล แต่ไม่กล้าคัดค้าน ทำได้เพียงพยักหน้ารับคำว่าขอรับ

“ข้า…เอ่อ ตัวข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันค้นพบว่าด้วยสถานะของตัวเอง ไม่สามารถใช้คำว่า ‘ข้า’ ได้แล้ว ดังนั้นจึงคิดถึงคำที่หลี่ชิงโหวเรียกขานตัวเองแล้วเปลี่ยนเป็น ‘ตัวข้า’

“ตัวข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่เท่าไหร่นัก เสี่ยวเป่า เจ้าพาตัวข้าไปทำความคุ้นเคยสักหน่อยสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที สองมือไพล่หลัง เชิดคางขึ้น

สวีเป่าไฉจนใจ รีบพาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเตร่ไปรอบสถานที่แห่งนี้

เมื่อลูกศิษย์ฝ่ายนอกแต่ละคนกลับมา พวกเขาทุกคนล้วนประหลาดใจที่ได้เจอป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง ถึงขั้นที่ว่าในนี้มีคนไม่น้อยที่เจอกับป๋ายเสี่ยวฉุนมาแล้วตรงจุดภารกิจและหอหมื่นโอสถเมื่อตอนกลางวัน ยามนี้แต่ละคนจึงมองหน้ากัน จำต้องโค้งคำนับอีกครั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงความรุ่งโรจน์ของตัวตนนี้อีกครั้ง มองเห็นการคารวะจากลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกคน เขาก็ปลื้มปริ่มเบิกบานใจ จนกระทั่งถึงกลางดึก ถึงได้จากไปอย่างพึงพอใจ

ระหว่างทางเดินผ่านสถานที่เลี้ยงไก่หางวิเศษ เขาจึงถือโอกาสเดินเข้าไป ไม่นานน้ำเสียงเรียกอาจารย์อาป๋ายก็ดังออกมาเป็นระลอกอีกครั้ง ตอนที่เขาจากมา ในมือก็หิ้วไก่หางวิเศษมาด้วยอีกสองตัว

“นี่ก็คือข้อดีของสถานะนี้ไง เมื่อก่อนเวลาจะกินไก่ข้าต้องขโมยกิน ตอนนี้เดินไปหยิบเอามาตรงๆ ได้เลย หึๆ ขนาดเจ้าสำนักยังเป็นศิษย์พี่ของข้า ใครหน้าไหนจะกล้ามาหาเรื่องข้าล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนคลอเพลงไปตลอดทาง กลับมายังที่พักด้วยความลำพองใจ

เช้าตรู่วันที่สอง พระอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตื่นขึ้นมาพร้อมจิตใจกระปรี้กระเปร่า จัดการกับเสื้อผ้าเล็กน้อย วางมาดหน้ากระจกทองแดง จนกระทั่งเลือกเอาท่าทางที่รู้สึกว่าเหมาะสมกับสถานะของตัวเองมากที่สุดได้แล้วจึงเดินออกไปข้างนอก

ดูเหมือนว่าเขาจะมองเรื่องนี้เป็นเหมือน…อาชีพของตัวเองไปแล้ว…

คราวนี้เขาไม่ได้ไปที่จุดภารกิจ แต่ไปยังสถานที่อื่นๆ ของเขาเซียงอวิ๋นที่มีคนอยู่เยอะ ถึงขั้นที่ว่ายังไปชมการประลองเล็กของเขาเซียงอวิ๋นด้วย…

ตลอดทั้งวันมานี้ เขาได้ยินเสียงเรียกขานว่าอาจารย์อาป๋ายมานับไม่ถ้วน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนนักพรตที่บำเพ็ญตนจนกลายเป็นเซียน ท่าทางเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ดังนั้น…วันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้า…

เขาก็เดินเตร่อยู่อย่างนี้สิบกว่าวันติดกัน จนถึงท้ายที่สุด ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมดตลอดทั้งเขาเซียงอวิ๋นแทบจะทุกคน หลังจากที่ต้องเรียกอาจารย์อาป๋ายอย่างน้อยวันละหลายสิบรอบ ทุกคนล้วนใกล้จะบ้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มที เรียกเด็กคนหนึ่งว่าอาจารย์อาครั้งเดียวก็ยังพอทน แต่หลายๆ ครั้งเข้า พวกเขาก็ยิ่งอึดอัดขัดใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ชีวิตเช่นนี้ทุกวันด้วยความสุขใจอย่างยิ่ง เขาชอบเวลาที่เจอคนรู้จักเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่เจอก็จะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปทักทาย…

“ศิษย์หลานอี้ตัว เจ้าอย่าเพิ่งไปสิ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” วันหนึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นจ้าวอี้ตัว ดวงตาก็เป็นประกายรีบรุดหน้าเข้าไปดึงรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ จ้าวอี้ตัวได้ยินคำว่าศิษย์หลานอี้ตัวสี่คำนี้ หนังหน้าก็กระตุกยิกๆ

“อาจารย์อาป๋าย พวกเรา…หลายวันมานี้เจอหน้ากันหลายครั้งแล้วนะ…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา ไอแห้งๆ หนึ่งที กำลังจะเอ่ยปากก็พลันพบว่าห่างออกไปไม่ไกลมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา ร่างนั้นพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนปุ๊บก็หันหลังเตรียมจากไปปั๊บ

“เอ๋ นี่มันศิษย์หลานจื่ออ๋างไม่ใช่เหรอ ไม่เจอกันนานเลยนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนยอมปล่อยจ้าวอี้ตัว รีบเดินไปรั้งเฉินจื่ออ๋างเอาไว้ สีหน้าเผยความยินดี

เฉินจื่ออ๋างใกล้บ้าเต็มที หลายวันมานี้ แทบทุกวันเขาต้องเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุนสามครั้งเป็นอย่างต่ำ…เท่าที่เขารู้มา ตลอดทั้งเขาเซียงอวิ๋นไม่ว่าใครก็ตามที่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนเป็นเหมือนตัวเอง และยังมีเจ้าคนดวงซวยที่ชอบเรียกตัวเองว่าท่านหมาป่านั่นอีกคน ได้ยินว่าทุกวันต้องเจอป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างน้อยสิบกว่าครั้ง…

“อาจารย์อาป๋าย เอ่อ…ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อนนะ” เฉินจื่ออ๋างรีบหลบฉากราวกับหนีเอาชีวิตรอดก็ไม่ปาน

สิบกว่าวันต่อมา ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นแทบทุกคนที่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์ ดังนั้นจึงยิ่งเป็นฝ่ายรุกมากขึ้น

“เอ๋ ตัวข้ารู้สึกคุ้นหน้าเจ้านัก มาๆๆ ช่วยบอกข้าหน่อยสิว่าพวกเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนจับผู้ชื่นชอบโจวซินฉีคนหนึ่งเอาไว้ได้ ท่ามใต้ใบหน้าหงอยซึมหน้าม่อยคอตกของลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนนี้ เขาถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดึงรั้งเอาไว้ข้างทาง พูดคุยกันเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป จนกระทั่งลูกศิษย์คนนี้พูดว่าอาจารย์อาป๋ายติดต่อกันสามสิบกว่าครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้พอใจปล่อยให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่หน้านิ่วคิ้วขมวดคนนี้ไป

แต่นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นหลายคนหลบเลี่ยงตัวเอง ก็รู้สึกว่าตัวเองควรเป็นฝ่ายรุกให้มากกว่านี้ ดังนั้นวันต่อๆ มา เขาจึงใช้วิธีกระแอมหนึ่งครั้งเพื่อเตือนให้อีกฝ่ายรู้ถึงการดำรงอยู่ของตัวเอง

เพียงแต่ว่าผลที่ได้ไม่ดีนัก ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเสียใจอย่างมาก ยังดีที่ภูเขาเซียงอวิ๋นแห่งนี้ นอกจากตู้หลิงเฟยแล้ว ยังมีเด็กหญิงอีกคนหนึ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าน่ารักอย่างมาก

นางคือโหวเสี่ยวเม่ย โหวเสี่ยวเม่ยผู้นี้เป็นฝ่ายมาปรากฏกายตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนวันละหลายๆ ครั้งแทบทุกวัน ไม่ต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมไอก็กระโดดโลดเต้นใช้น้ำเสียงหวานเลี่ยนคอยตามเรียกป๋ายเสี่ยวฉุนว่าอาจารย์อา

ลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านพอเห็นภาพนี้ล้วนรวดร้าวใจ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยิ่งดีใจ ภาคภูมิใจมากขึ้น อีกทั้งโหวเสี่ยวเม่ยผู้นี้ยังเคยได้รับการสั่งสอนจากป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อน เลื่อมใสบูชาเจ้าเต่าน้อยผู้ลึกลับของสำนักอย่างถึงขีดสุด มีครั้งหนึ่งตอนที่เดินตามหลังป๋ายเสี่ยวฉุน ยังได้ซักถามความคิดเห็นของป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีต่อเจ้าเต่าน้อยด้วย

“เจ้าเต่าน้อย? นั่นคือผู้ที่ลึกลับเกินคาดเดา พรสวรรค์ล้ำเลิศ เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งในรอบหมื่นปีของสำนักธาราเทพ คนประเภทนี้ก็เหมือนเมฆขาวบนท้องฟ้า ทำให้ทุกคนต้องแหงนหน้ามอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งครั้ง คุยโม้เต็มที่ ไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะสะกดกลั้นความใจร้อนที่อยากจะบอกโหวเสี่ยวเม่ยว่าตนคือเจ้าเต่าน้อยเอาไว้ได้ เขาวางแผนไว้แล้วว่าต้องหาช่วงเวลาที่มีสายตาคนนับหมื่นจ้องมอง บอกให้โหวเสี่ยวเม่ยรู้ถึงตัวตนที่ยิ่งใหญ่นี้ของตัวเอง

“ข้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ข้าเคยพูดกับคนหลายคนด้วยนะว่าเจ้าเต่าน้อยไม่ยินดียินร้ายกับชื่อเสียง แสวงหาความเป็นสุดยอดในวิถีโอสถ รักความสงบสุข คือบุคคลที่เป็นดั่งเมฆขาวบนท้องนภา” โหวเสี่ยวเม่ยพอได้ยินแล้วดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายระยิบระยับ

ในสำนักเคยมีช่วงหนึ่งที่มีคนเล่าลือว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือเจ้าเต่าน้อย แต่ข่าวลือนี้ก็ถูกทุกคนปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เพราะในใจทุกคนล้วนมีภาพเจ้าเต่าน้อยตามจินตนาการของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่สามารถเอามาทับซ้อนกับภาพของป๋ายเสี่ยวฉุนได้เลย ยังไงซะบนป้ายศิลาทั้งสิบของพืชหญ้าและสัตว์วิเศษล้วนไม่มีการบันทึกชื่อเอาไว้ มีเพียงใช้สัญลักษณ์เป็นตัวแทนของใครของมัน ยากที่จะแยกแยะออกมาได้ว่าเป็นใคร

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินโหวเสี่ยวเม่ยพูดเช่นนี้ก็ไม่สนใจเท่าไหร่นัก ความคิดเอาไปวางไว้บนตัวโจวซินฉี หนึ่งในสาวงามทั้งห้าของชายฝั่งทิศใต้เสียมากกว่า

‘ไม่รู้ว่าโจวซินฉี ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้หยิ่งทระนง เมื่อต้องเรียกข้าว่าอาจารย์อาป๋ายจะมีท่าทางยังไง’ ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ให้ฮึกเหิมขึ้นมาทันที ดังนั้นทุกวันจึงตั้งใจตามหาโจวซินฉีเป็นพิเศษ

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ในที่สุดก็มีวันหนึ่งที่เขามองเห็นโจวซินฉีเหยียบอยู่บนผ้าต่วนสีฟ้า บินผ่านท้องฟ้าไป

“ศิษย์หลานซินฉี!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบตะโกนเสียงดัง

โจวซินฉีที่อยู่บนแพรต่วนสีฟ้าสีหน้าน่าเกลียดในพริบตา นางเองก็ได้ยินเรื่องราวตลอดหนึ่งเดือนมานี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเช่นกัน รู้ว่าช่วงนี้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ยามนี้พอได้ยินคำว่าศิษย์หลานซินฉีเข้ามาในหู นางก็รู้สึกถึงขนทั่วกายที่พากันลุกชัน รีบแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพิ่มความเร็วพุ่งไปข้างหน้า แต่กลับนึกไม่ถึงว่า…ป๋ายเสี่ยวฉุนจะดึงดันห้อทะยานวิ่งตามมาอยู่บนพื้นดิน

“ศิษย์หลานซินฉี มาๆๆ มาพูดคุยเรื่องราวชีวิตกับอาจารย์อาอย่างข้าหน่อยสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นดีใจ ฮึกเหิมเป็นกำลัง เขาตามหาโจวซินฉีมานานมากแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็ได้เจอ จะยอมปล่อยไปง่ายๆ ได้ยังไง

โจวซินฉีกัดฟัน เพิ่มความเร็วเป็นห้อทะยาน ไม่นานก็บินออกไปจากเขาเซียงอวิ๋น ถึงได้หนีป๋ายเสี่ยวฉุนพ้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเงาร่างของโจวซินฉีที่ห่างไปไกล ถอนหายใจหนึ่งครั้งอย่างรู้สึกเสียดาย

“ไม่เป็นไร ก็แค่บินได้ไม่ใช่เหรอ ต่อไปเดี๋ยวข้าก็บินได้ มีโอกาสให้เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์อาป๋ายอีกเยอะนักล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์เสีย มองเห็นว่าฟ้ามืดแล้วจึงหมุนตัวไปหาตู้หลิงเฟย

ตู้หลิงเฟยพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปิดปากหัวเราะเสียงเบา

“อาจารย์อาป๋าย อาจารย์อาป๋าย อาจารย์อาป๋าย…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจขึ้นมาทันควัน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าตู้หลิงเฟยน่ารัก เพียงแต่ผ่านไปไม่กี่วัน เนื่องจากตู้หลิงเฟยสร้างความดีความชอบใหญ่หลวงเอาไว้จึงถูกผู้อาวุโสท่านหนึ่งรับเป็นศิษย์ จัดให้นางไปยังเมืองตงหลิน เป็นผู้ควบคุมสำนักสาขาในเมืองนี้ สำหรับตู้หลิงเฟยแล้วนี่คือโอกาสอันดียิ่ง ขอแค่อยู่เมืองตงหลินหลายปีก็สามารถได้รับประสบการณ์ที่มากเพียงพอ เมื่อบวกกับคุณงามความดี ก็ถึงขั้นเลื่อนเป็นฝ่ายในได้โดยตรงเลย

อีกอย่างที่เมืองตงหลินนางก็มีอำนาจมาก ทรัพยากรในการบำเพ็ญตบะของตัวเองย่อมดีกว่าตอนอยู่ในสำนักเยอะมาก

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเสียดาย หลังจากบอกลากับตู้หลิงเฟยแล้วก็ไปหาความสนุกในเขาเซียงอวิ๋นต่อไป

เวลาผันผ่านไปเช่นนี้ และก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ตลอดทั้งเขาเซียงอวิ๋น คำว่าอาจารย์อาป๋ายได้กลายเป็นคำต้องห้าม เพราะเวลาทุกคนคิดถึงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ล้วนยิ้มขื่นไม่หยุด

ยังดีที่เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้สึกว่าทำอย่างนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนักธาราเทพ เป็นอาจารย์อาของลูกศิษย์ทุกคน ไม่ใช่แค่เขาเซียงอวิ๋นแห่งเดียวเท่านั้น จะเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ ข้าควรจะไปเยี่ยมเยียนที่ยอดเขาอื่นเสียหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดเล็กน้อย ท่าทางมุ่งมั่นน่าเกรงขาม มุ่งหน้าไปเขาจื่อติ่ง…

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version