Skip to content

A Will Eternal 69

บทที่ 69 ป๋ายเสี่ยวฉุน นายน้อยให้เจ้าไปพบ

หนึ่งเดือนต่อมา ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเขาจื่อติ่งล้วนใกล้บ้ากันเต็มที ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ การปรากฏตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้พวกเขารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเห็นการเรียกอาจารย์อาเป็นอาชีพ

พวกเขาพบว่าไม่ว่าจะอยู่สถานที่ใดก็ตาม ขอแค่อยู่บนเขาจื่อติ่งแห่งนี้ล้วนต้องมองเห็นหนุ่มน้อยร่างขาวสะอาดสะอ้าน หุ่นออกไปทางผอมแห้ง ใบหน้ามีความภาคภูมิใจที่อยากจะปกปิด แต่กลับเห็นได้ชัดว่าปกปิดเอาไว้ไม่มิด เดินวางท่าไปทั่ว เห็นใครก็กระแอมไอหนึ่งที หากมีใครไม่รู้จักเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายเข้าไปแนะนำตัวเอง…

คำว่าอาจารย์อาป๋ายสี่คำนี้ พวกเขาพูดกันจนปากจะฉีกอยู่แล้ว แต่การณ์กลับเป็นว่า…พวกเขาทำอะไรไม่ได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนคือศิษย์น้องของเจ้าสำนัก ลำดับศักดิ์เหนือกว่าลูกศิษย์ทุกคน หากมีลูกศิษย์คนใดกล้าไม่แสดงความเคารพต่อเขา นั่นก็เท่ากับละเมิดกฎสำนัก

สุดท้ายแล้วทุกคนจึงพากันไปหาจางต้าพั่ง ให้จางต้าพั่งออกหน้าพูดเกลี้ยกล่อม กว่าจะส่งป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนส่งบรรพบุรุษคนหนึ่งให้ไป…ภูเขาชิงเฟิงได้

ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ลูกศิษย์ของเขาชิงเฟิง…ก็บ้ากันไปหมดเช่นกัน

โดยเฉพาะพวกเฉินเฟยสามคนที่ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ยิ่งขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่บนภูเขาชิงเฟิงก็มักจะมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาเป็นประจำ ทุกครั้งหากพวกเฉินเฟยสามคนไม่เรียกว่าอาจารย์อาป๋ายติดต่อกันร้อยครั้งขึ้นไป เขาก็จะไม่เลิกรา

ถึงขั้นที่ว่าระหว่างที่พูดคุยกัน ป่าเสี่ยวฉุนทำท่าทางว่า ถ้าหากพวกเฉินเฟยสามคนแสดงความไม่เคารพแม้เพียงนิด เขาก็จะฟ้องศาลาพิพากษ์ทันที ทำให้พวกเฉินเฟยสามคนอกสั่นขวัญแขวน คอยระแวดระวังอยู่ทั้งวี่วัน สุดท้ายก็แทบจะร้องไห้อ้อนวอน พูดชื่อเฉียนต้าจินออกมา แถมยังถูกทรมานจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ปล่อยพวกเขา ถอนหายใจจากเขาชิงเฟิงไป ตัวเขาเองก็โทษตัวเองขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

‘ลูกศิษย์ฝ่ายนอกล้วนรู้จักข้ากันหมดแล้ว แต่ลูกศิษย์ฝ่ายในยังไม่มีใครเคยเจอข้าเลยนี่นา โดยเฉพาะเจ้าเฉียนต้าจินนั่น นึกจริงๆ รึว่าข้าลืมไปแล้ว?’ ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก็พยักหน้าแรงๆ รู้สึกว่านับแต่นี้ไปชีวิตจะมีความสนุกสนานเพิ่มขึ้นมาอีกไม่น้อย จึงรีบไปหาพวกลูกศิษย์ฝ่ายในทันที

วันเวลาหลังจากนั้นบนยอดเขาทั้งสามลูก แม้ว่าร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจะยังคงเข้าๆ ออกๆ แต่ส่วนใหญ่ล้วนไปอยู่ในเขตที่พักของลูกศิษย์ฝ่ายใน ด้วยสถานะของเขาทำให้เข้าออกได้แทบทุกสถานที่ในสำนักธาราเทพแห่งนี้

เพียงแต่ว่าไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมดความสนใจ ลูกศิษย์ฝ่ายในพวกนั้นส่วนใหญ่ล้วนปิดด่าน หลายเดือนมานี้เขาได้เห็นแค่ไม่กี่คนเท่านั้น โดยเฉพาะเฉียนต้าจินที่วางค่ายกลจำนวนไม่ถ้วนไว้นอกถ้ำ หวาดผวาเสียจนไม่กล้าออกมาข้างนอก ป๋ายเสี่ยวฉุนดักอยู่หน้าทางเข้าถ้ำของเฉียนต้าจินหนึ่งเดือนเต็มก็ไม่เห็นอีกฝ่าย ไม่ว่าจะตะโกนเรียกแบบไหนก็ล้วนไม่มีการตอบรับ

“ข้าไม่เชื่อหรอก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่หน้าทางเข้าถ้ำของเฉียนต้าจิน พยายามที่จะทลายค่ายกล แต่ค่ายกลของลูกศิษย์ฝ่ายในยากที่จะฝืนให้เปิดออกได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นว่าตนเองทำไม่ได้ก็คิดจะไปหาคนมาช่วยรวมพลังเปิดถ้ำของเฉียนต้าจิน

แต่เวลานี้เองทันใดนั้นก็มีเงาร่างสองเส้นบินจากที่ไกลเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว นั่นคือลูกศิษย์ฝ่ายในสองคน คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย หลังจากที่มาถึงพวกเขาก็มองมาทางป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ได้แสดงท่าคารวะ แต่เป็นเปิดปากพูดอย่างนิ่งสงบ

“อาจารย์อาป๋าย เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉียนต้าจิน ช่วยเห็นแก่หน้าของนายน้อยตระกูลข้าหน่อยได้หรือไม่ จบสิ้นกันตรงนี้”

“นายน้อยตระกูลข้า ซ่างกวานเทียนโย่ว” ลูกศิษย์ฝ่ายในตัวสูงคนนี้จงใจเน้นประโยคหนึ่ง

ซ่างกวานเทียนโย่ว นั่นคือผู้นำในสามศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของทั้งสามเขาชายฝั่งทิศใต้!

เขามีสติปัญญาและพรสวรรค์อย่างที่หาได้ยากยิ่งในรอบพันปีของชายฝั่งทิศใต้สำนักธาราเทพ แม้จะเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอก แต่วันหน้าย่อมกลายเป็นนักพรตขั้นสร้างฐานรากอย่างแน่นอน ทำให้ผู้อาวุโสของสำนักจำนวนไม่น้อยล้วนมองซ่างกวานเทียนโย่วต่างไปจากลูกศิษย์คนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนผู้นี้ถูกชายฝั่งทิศใต้มองเห็นเป็นความหวังที่จะสามารถข่มชายฝั่งทิศเหนือเอาไว้ได้ จึงได้รับการปลูกฝังอย่างเต็มกำลัง

และผู้ที่ติดตามซ่างกวานเทียนโย่วก็ยิ่งมีมากบนเขาชิงเฟิงแห่งนี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเป็นปกติ หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาคงหวาดกลัว แม้ว่าเขาจะกลัวตาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะขี้ขลาด ขอแค่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับความตาย ใจของเขากล้านักล่ะ

ยามนี้ด้วยฐานะของเขาทำให้เมื่ออยู่ในสำนักแทบจะไม่มีเรื่องที่ถึงขั้นคอขาดบาดตายเกิดขึ้น เวลานี้จึงมองเหยียดไปยังสองคนที่พูด ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มน้อยๆ

“เห็นตัวข้าแต่ไม่คารวะ พวกเจ้าสองคนใจกล้าไม่เบา ใครกันที่หนุนหลังให้พวกเจ้าโอหัง มองไม่เห็นหัวผู้อาวุโสได้ถึงเพียงนี้ คือซ่างกวานเทียนโย่วนั่นรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อ เอ่ยปากราบเรียบ

คำพูดเขาพอปล่อยออกมา สีหน้าของลูกศิษย์ฝ่ายในสองคนพลันเปลี่ยนสี ดวงตาลูกศิษย์ฝ่ายในตัวสูงเผยแววมาดร้ายออกมาทันควัน

“อาจารย์อาป๋าย พูดอะไรควรระวังหน่อย”

เขาเพิ่งจะพูดมาได้ถึงตรงนี้ ยังไม่ทันได้พูดต่อ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ตรงหน้าพลันหายวับไป ขณะที่ลูกศิษย์ฝ่ายในตัวสูงคนนี้กำลังตะลึงงันก็มีลมแรงพุ่งปะทะหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว

ความเร็วที่มีไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และถึงขั้นที่ว่าทั้งสองคนยังไม่ทันได้ตั้งตัว มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกขึ้น ฝ่ามือหนึ่งแหวกอากาศก่อให้เกิดเสียงดุจฟ้าผ่า ตกกระทบลงมาบนใบหน้าของศิษย์ฝ่ายในตัวสูงผู้นี้

ชุดคลุมยาวของศิษย์ฝ่ายในตัวสูงพลันแผ่แสงคุ้มกันออกมา นี่คือหนึ่งในอาวุธของผู้ที่เป็นศิษย์ฝ่ายใน แต่แสงนี้เพิ่งจะปรากฏขึ้นเท่านั้น วินาทีที่กระทบเข้ากับฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ พังทลายลงไป ไม่สามารถสกัดกั้นเอาไว้ได้ ปล่อยให้ฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนที่แฝงฝังไว้ด้วยพลังไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับภูเขาหนึ่งลูกตกกระทบลงไปทันที

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เบื้องหน้าลูกศิษย์ฝ่ายในตัวสูงคนนั้นมีดาวสีทองลอยระยิบระยับ ในสมองเกิดเสียงดังสนั่น รู้สึกแค่เพียงเหมือนถูกภูเขาลูกหนึ่งกระแทกใส่แรงๆ กระอักเลือดสด ร่างถูกเหวี่ยงกระเด็นออก ราวกับว่าวที่ถูกตัดสายป่าน ถูกพัดออกไปไกลหลายสิบจั้ง แม้แต่เสียงร้องโหยหวนก็ยังไม่มีดังลอยมาให้ได้ยิน เจ็บปวดจนหมดสติสลบไสลไปทันที

ภาพนี้เกิดกะทันหันเกินไป ลูกศิษย์ฝ่ายในตัวเตี้ยที่อยู่ด้านข้างผู้นั้นเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ในสมองมีเสียงดังตูมตาม ร่างถอยกรูดไปโดยไม่รู้ตัว มองสหายที่ถูกฝ่ามือป๋ายเสี่ยวฉุนตบจนสลบไสล แล้วก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกที เขาสูดลมหายใจเฮือก พยายามกลืนน้ำลายลงคอ

“เจ้า…เจ้า…” เขาชี้มาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างกายสั่นสะท้าน สมองทึ่มทื่อ ไม่ว่ายังไงเขาก็นึกไม่ออกว่าพละกายของป๋ายเสี่ยวฉุนจะเขย่าขวัญได้ถึงเพียงนี้

ต้องรู้ว่า คนผู้นั้นมีพลังรวมลมปราณขั้นแปดเชียวนะ…

“ผู้อาวุโสอย่างข้า ลูกศิษย์ฝ่ายในอย่างเจ้ามีสิทธิ์มาชี้นิ้วใส่อย่างนี้ได้รึ” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันหน้ามามองลูกศิษย์ฝ่ายในตัวเตี้ยคนนั้น ขณะที่เอ่ยปากก็เดินรุดหน้าไปด้วย

ลูกศิษย์ฝ่ายในตัวเตี้ยผู้นี้เปล่งเสียงร้องโหยหวน ร่างถอยกรูด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถอยไปไกลเท่าไหร่ เสียงลมก็คำราม ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้ในชั่วพริบตา ตวัดฝ่ามือดังอู้ออกไปอีกครั้ง

และในเวลานี้เอง น้ำเสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งพลันลอยมาจากตีนเขา

“หยุดนะ!” ขณะที่เสียงดังลอยมา เงาร่างหนึ่งก็เคลื่อนมาใกล้อย่างรวดเร็ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มองแม้แต่หางตา ฝ่ามือยิ่งตวัดไว เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ฟันมากมายหลายซี่ของลูกศิษย์ฝ่ายในตัวเตี้ยคนนี้บินกระเด็นออกมา เลือดสดพุ่งทะลัก คอแทบจะบิดหัก ร่างกระเด็นลอยออกไปร่วงลงสลบเหมือดอยู่อีกข้าง

ทำเรื่องพวกนี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้สะบัดมือเล็กของตัวเองหนึ่งครั้ง เงยหน้ามองคนที่ทะยานจากตีนเขาขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว นี่คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ตบะรวมลมปราณขั้นเก้าสูสีกับเฉินเหิง

เขาจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ยกยิ้มขึ้นมาอย่างแค้นเคือง

“เจ้าไม่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของข้ารึ สมควรตายนัก ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้า…”

“ศิษย์หลานผู้นี้ เจ้าเองก็อยากโดนตบเหมือนกันรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้า เอ่ยปากด้วยรอยยิ้มน้อยๆ สองคนก่อนหน้านี้ บวกกับคนที่อยู่ตรงหน้า แค่มองป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ว่าพวกเขาไม่มีความเคารพยำเกรงต่อตนเองแม้แต่นิด ถึงขั้นยังมีความดูหมิ่นแฝงฝังอยู่ในกระดูกด้วยซ้ำ ราวกับตัวเองสูงส่งเกินผู้ใด ลูกศิษย์ฝ่ายในเช่นนี้ เขาล่ะเกลียดนัก

คำพูดของเขาพอปล่อยออกไป ชายวัยกลางคนสีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวเสีย เสียงขาดหายไปโดยพลัน พละกำลังในร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาหวาดหวั่น เมื่อครู่เพราะอารมณ์โกรธล้วนๆ ยามนี้พอมาย้อนคิดดูจึงสูดลมหายใจเข้าลึกทันที ด้วยสถานะของป๋ายเสี่ยวฉุน บวกการกระทำทุกอย่างก่อนหน้านี้ ต่อให้เป็นศาลาพิพากษ์เองก็ยังพูดอะไรไม่ได้

“ป๋ายเสี่ยวฉุน นายน้อยของข้าให้เจ้าไปเข้าพบ” ชายวัยกลางคนจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสะกดกลั้นไฟโทสะเอาไว้ พูดเป้าหมายที่ตัวเองมาในครั้งนี้ เขาได้รับคำสั่งจะซ่างกวานเทียนโย่ว ให้มาบอกป๋ายเสี่ยวฉุนให้ไปหา

ในสายตาของเขา นายน้อยของตัวเองทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อย ป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้ก็เป็นแค่ลูกศิษย์ที่สร้างความชอบได้เพราะโชคช่วย เป็นบุคคลที่ไม่ต่างไปจากตัวตลกเท่านั้น ฆ่าคนตระกูลผู้บำเพ็ญตบะที่อ่อนแอแค่ไม่กี่คน หากไม่เป็นเพราะโชคดี ก็ไม่มีทางที่สำนักจะยกย่องถึงเพียงนี้ ช่างไม่ควรค่าแก่การได้รับตำแหน่งใดๆ และถึงขั้นที่ว่าไม่สมควรให้นายน้อยที่วันหน้ามีโอกาสฝึกถึงขั้นยาอายุวัฒนะต้องส่งคนมาตามแบบนี้ด้วยซ้ำ

ต่อให้เป็นแค่การให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปเข้าพบ ในสายตาของชายวัยกลางคนผู้นี้ก็รู้สึกว่าเป็นการลดตัวโดยแท้

“ลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่ง ต่อให้เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจแล้วยังไง จะให้ข้าไปพบ? เขาต่างหากที่ควรมาพบข้า!” จากเรื่องนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นถึงความยโสโอหังของซ่างกวานเทียนโย่วได้อย่างชัดเจน ด้วยฐานะของตนเอง อีกฝ่ายไม่มาด้วยตัวเองก็ยังพอว่า ไม่ส่งคำเชิญด้วยตัวเองก็ยังพอทำเนา แต่นี่ถึงขั้นให้ตนไปเข้าพบ

สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ลมวูบใหญ่พัดกระจาย นัยน์ตาชายวัยกลางคนเผยไฟโทสะขึ้นมาทันควัน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน นายน้อยของข้าให้เจ้าไปเข้าพบถือว่าให้เกียรติเจ้ามากแล้ว คนมากมายอยากไปเข้าพบก็ยังไม่มีแม้แต่โอกาส เจ้า…” เขาเพิ่งพูดได้ถึงตรงนี้หน้าก็ถอดสี ถอยหลังกรูด แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง พริบตาเดียวร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ฝ่ามือเสียงดังสนั่นฟาดกระทบลงมาดังเดิม

“เจ้ากล้ารึ!!” ตบะรวมลมปราณขั้นเก้าของชายวัยกลางคนระเบิดออกมาพร้อมกัน เมื่อทำมุทรามีดวายุแต่ละเล่มกลายร่างออกมาสกัดกั้นไว้เบื้องหน้าของเขา แต่วินาทีที่มีดวายุนี้ปรากฏตัวก็เกิดเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ภายใต้ฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนที่รวดเร็วราวพายุ มีดวายุเหล่านั้นก็ล้วนพลังทลาย มิอาจช่วยกั้นขวางสิ่งใดไว้ได้

ฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนทลายการสกัดกั้นทุกอย่างเสียราบคาบ ตกกระทบลงบนใบหน้าของชายวัยกลางคน

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เสียงร้องโหยหวนดังออกมา ร่างของชายวัยกลางคนผู้นี้กระเด็นออกไปไกลหลายสิบจั้งแล้วถึงได้ฝืนพยายามยืนให้มั่นคงได้

“ขนาดเฉินเหิงก็ยังเทียบไม่ติด มิน่าถึงยอมให้คนมาเป็นเจ้าชีวิต ไสหัวไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที ทำเสียงหึอย่างโอหังหนึ่งครั้ง

ชายวัยกลางคนมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความตะลึงพรึงเพริด ร่างกายสั่นสะท้าน ใบหน้าฝั่งซ้ายของเขาบวมขึ้นมา รีบถอยร่นกลับไปพร้อมเลือดที่ไหลทะลักออกมาตามร่องฟัน

จนกระทั่งอีกฝ่ายจากไปไกล ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้หันหน้ามามองถ้ำของเฉียนต้าจิน หรี่ตาลง นิสัยของเขากลัวตาย ดังนั้นสำหรับใครก็ตามที่คิดจะฆ่าเขาให้ตาย เขาจึงต้องล้างแค้นให้ได้

แม้เฉียนต้าจินผู้นี้จะหาซ่างกวานเทียนโย่วมาช่วย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไป ช่วงเวลาหลายวันมานี้ดูเหมือนว่าเขาจะทำอะไรตามอำเภอใจอยู่ในสำนัก แต่ในความเป็นจริงได้ตรวจสอบเรื่องราวของเฉียนต้าจินมานานแล้ว

“คิดว่าหลบอยู่ในนี้แล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้งั้นรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่งเสียงหึเย็นชา หมุนกายจากไป ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้ ไม่นานเท่าไหร่แผ่นหยกภารกิจแผ่นหนึ่งก็ลอยออกมาจากศาลาพิพากษ์ ลอดทะลุเข้าไปในถ้ำของเฉียนต้าจิน ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเจ้าตัว

เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยโดน นี่คือภารกิจเสี่ยงภัยที่บีบบังคับให้ต้องไปทำ เฉียนต้าจินกล้ำกลืนความขมปร่าอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายจำเป็นต้องออกไปทำภารกิจภายนอก…และก็มีความคิดที่จะออกไปหลบภัยเช่นกัน

แต่เขาดูถูกความแค้นฝังกระดูกของป๋ายเสี่ยวฉุนมากเกินไป ภารกิจเช่นนี้ เขาได้จัดหาไว้หลายสิบรายการเพื่อเฉียนต้าจิน แอบติดต่อลับๆ กับโหวอวิ๋นเฟย ตระกูลโหวคือตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร มีผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานราก เส้นสนกลในลึกล้ำและให้ความสำคัญกับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างยิ่ง ยิ่งเมื่อรวมกับการคงอยู่ของโหวอวิ๋นเฟยและโหวเสี่ยวเม่ย จึงยิ่งถือเป็นพันธมิตรอันดีต่อกัน

จึงย่อมออกหน้าช่วยเรื่องนี้ และรับรองว่าท่ามกลางการออกไปปฏิบัติภารกิจแต่ละครั้งของเฉียนต้าจินคราวนี้ จะต้องตายตกเพราะอุบัติเหตุอย่างแน่นอน

เกี่ยวกับเรื่องของเฉียนต้าจิน ใช่ว่าศาลาพิพากษ์จะไม่รู้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นคิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตายไปแล้ว อีกทั้งเรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะแพร่งพราย ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้สืบสาวราวเรื่องทันที แต่ก็มีการบันทึกเอาไว้

ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมา คิดจะจัดการด้วยตัวเอง ศาลาพิพากษ์จึงไม่คิดขัดขวาง เพราะแอบรู้สึกติดค้างอยู่ภายใน ดังนั้นจึงปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือ ถึงขั้นที่ว่าฝ่ายในได้จัดเฉียนต้าจินไว้ในรายชื่อคนตายแล้วด้วยซ้ำ

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version