บทที่ 70 ไฮ้ ศิษย์พี่หลี่
สถานที่ใกล้ยอดเขาของภูเขาชิงเฟิงมีถนนเดี่ยวเส้นเล็กเส้นหนึ่ง ปลายสุดถนนมีบ่อน้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ด้านในมีปลาสีทองแหวกว่าย
ข้างบ่อน้ำคือถ้ำสถิตแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้ตั้งตนโดดเดี่ยว เงียบสงบอย่างมาก พลังวิญญาณเข้มข้นล้ำหน้าที่พักของผู้ร่วมสำนักคนอื่นๆ
ยามนี้ด้านข้างบ่อน้ำมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดคลุมยาวของศิษย์ฝ่ายนอก รูปงามหล่อเหลา ผมสีนิลยาวประบ่า มองแล้วองอาจผ่าเผย
ผิวพรรณขาวผ่อง ถึงขนาดที่ว่าผู้หญิงบางคนเห็นก็ยังต้องถอนใจเพราะสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะดวงตาทั้งคู่ของเขา แม้จะตวัดหางดั่งตาหงส์ แต่นัยน์ตากลับมีความเฉียบคมวาบผ่านอยู่ตลอดเวลา ทำให้กลิ่นอายตลอดร่างของคนผู้นี้โดดเด่นอย่างถึงที่สุด
ในมือของเขาถือปลาตัวเล็กๆ เอาไว้ เมื่อใดที่ถูกโยนลงไปในบ่อน้ำก็จะโดนปลาสีทองเหล่านั้นรุมเข้ายื้อแย่งฉีกกระชากแล้วกลืนกินเป็นอาหาร
เวลานี้บนทางเส้นเล็ก ชายวัยกลางคนที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนตบหน้าจนตัวลอยกำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ เขาจำต้องผ่อนฝีเท้าช้าลง ในสีหน้าเผยความเคารพยำเกรง ประสานมือคารวะชายหนุ่มเบื้องหน้า
“คารวะนายน้อย”
“นายน้อย เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนั่นไม่เห็นหัวผู้ใด ข้าพูดอย่างแน่ชัดแล้วว่าให้เขามาเข้าพบท่าน แต่คนผู้นี้กลับอวดดี กำเริบเสิบสาน ใช้ฐานะของตนข่มผู้อื่นไปทั่ว” ชายวัยกลางคนกัดฟัน
“ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถอะ คนต่ำต้อยคนหนึ่ง ข้าให้เขามาพบก็เพราะเกิดความสนใจขึ้นมาชั่วครู่เท่านั้น” ชายหนุ่มไม่ได้เงยหน้า เอ่ยปากราบเรียบไม่ใส่ใจแม้แต่นิด
“นายน้อยพูดถูกแล้ว นายน้อยมีความมุ่งมาดปรารถนาแรงกล้า เป้าหมายคือได้เข้าไปอยู่ในอันดับผู้สืบทอดอันเป็นตำนาน ดังนั้นจึงคอยข่มตบะเอาไว้ตลอดมาไม่ยอมฝ่าทะลุขั้น ต้องการรอคอยให้ถึงการทดสอบประลองใหญ่ของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจซึ่งมีพลังรวมลมปราณขั้นแปด ของทั้งชายฝั่งเหนือใต้ที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษระหว่างฝ่ายในและฝ่ายนอก ใช้ตัวตนของผู้ครองอันดับหนึ่งเข้าเป็นฝ่ายใน เพื่อให้มีหวังได้เป็นหนึ่งในลำดับผู้สืบทอดของวันหน้า มิเช่นนั้นท่านซึ่งบำเพ็ญพลังรวมลมปราณขั้นแปดได้ตั้งนานแล้วคงยื่นเรื่องขอทดสอบเป็นฝ่ายในนานแล้ว เพราะยังไงซะเมื่อถึงรวมลมปราณขั้นแปด ส่วนใหญ่ก็จะสามารถทดสอบกลายเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในได้สำเร็จ”
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เป็นแค่คนต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น คุณูปการนั้นหากเปลี่ยนเป็นนายน้อยก็ย่อมทำได้เช่นเดียวกัน ส่วนฐานะลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรตินั่นก็มีไว้ให้คนตาย แล้วศิษย์น้องของเจ้าสำนัก ฐานะนี้ก็ยิ่งน่าตลกนัก ไหว้คนตายคนหนึ่งเป็นอาจารย์” ชายวัยกลางคนพยักหน้า ขณะที่กำลังหัวเราะเสียงเย็นใจก็พลันสะท้านเฮือก เขาพบว่ายามนี้ชายหนุ่มเบื้องหน้าได้เงยหน้าขึ้น มองมายังตนด้วยสายตาเย็นชา
“นาย…นายน้อย…” ชายวัยกลางคนรู้สึกกลัวเล็กน้อย
“เขาเป็นคนต่ำต้อย ไม่ต้องไปสนใจ แต่อาจารย์ของท่านเจ้าสำนักถือเป็นบรรพบุรุษของสำนัก เจ้ามีสิทธิ์กล่าวเรียกเช่นนี้ได้หรือ ไปที่บ่อเย็นตบปากตัวเองสามเดือน” ชายหนุ่มดึงสายตากลับมา ให้อาหารปลาสีทองต่อไป
ชายวัยกลางคนใจสั่นสะท้าน รีบพยักหน้าถอยหลังกรูดโดยเร็ว
จัดการกับเรื่องของเฉียนต้าจินเรียบร้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลับมายังเขาเซียงอวิ๋น ส่วนซ่างกวานเทียนโย่วนั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนใจแม้แต่นิด เขามีความดีความชอบติดตัว นอกจากจะทรยศสำนักแล้ว ก็ไม่มีทางได้รับภัยคุกคามต่อชีวิตใดๆ แน่นอน
อีกอย่างตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่สำนักธาราเทพมาหลายปีแล้ว เขาเข้าใจถึงวิธีการปลูกฝังอบรมศิษย์ของสำนักมานานแล้วว่า โดยทั่วไปก็คือห้ามให้เกิดเหตุการณ์เข่นฆ่ากันเอง ต้องให้กำลังใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และสนับสนุนการแข่งขันซึ่งกันและกัน มีกฎสำนักเป็นบทบัญญัติหลัก ผู้อาวุโสและผู้นำของแต่ละยอดเขาช่วยประสานจัดการ และมีศาลาพิพากษ์เป็นตัวสยบ ส่วนเจ้าสำนักควบคุมสถานการณ์โดยรวมทั้งหมด
และสำนักธาราเทพเมื่อรวมชายฝั่งเหนือใต้เข้าด้วยกันก็มีคนอยู่หลายแสน ในจุดเล็กๆ น้อยๆ ย่อมไม่อาจควบคุมได้ทั้งหมด การต่อสู้ปะทะกันระหว่างลูกศิษย์ หรือถึงขนาดที่ว่าคนไม่น้อยที่มีจิตใจคิดคดก็ไม่สามารถจัดการได้ทั่วถึง แต่มีรางวัลและการลงโทษอย่างชัดเจน หากมีใครทำเกินขอบเขตก็จะลงโทษอย่างเข้มงวด!
ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างคุณความดีใหญ่หลวงให้กับสำนัก ทั้งยังมีความรู้ด้านพืชหญ้าและพละกำลังสู้รบที่แข็งแกร่ง เรื่องเหล่านี้แน่นอนว่าสำนักย่อมรู้ และก็ให้ความสำคัญมากเช่นกัน แต่กลับไม่ได้คอยติดตามดูแลเขาทุกวันราวกับคนรับใช้ที่หากมีคนเย้ยหยันเขา มีคนยั่วยุหาเรื่องเขา แล้วจะต้องกระโดดออกมาขัดขวางเอาไว้…ไม่ว่าลูกศิษย์คนใดก็ตามล้วนไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ซ่างกวานเทียนโย่วก็ดี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ช่าง ล้วนเหมือนกันหมด
ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรู้สึกว่าซ่างกวานเทียนโย่วผู้นั้นที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ถึงแม้จะอวดดีอย่างบ้าระห่ำถึงขีดสุด อีกทั้งยังมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เป็นถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ หรือถึงขั้นที่ว่าตอนนี้ตัวเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอก แต่กลับมีศิษย์ฝ่ายในยอมยกให้เขาเป็นนายก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่สนใจใยดี เพียงแต่เห็นว่าตนเองมีฐานะเป็นอาจารย์อา ตอนนี้กลับค่อยๆ หาความรู้สึกภูมิใจเวลาคนเรียกขานไม่เจอ ทุกคนล้วนพากันหลบเลี่ยงเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งเขาเดินผ่านหอคัมภีร์โดยไม่ได้ตั้งใจ พลันเขาก็ฮึกเหิมขึ้นมา
เขาพบว่าขอแค่ตนเองมาที่นี่ก็จะได้รับที่นั่งประทานทันที ได้นั่งเคียงคู่กับผู้อาวุโสที่บรรยายคัมภีร์ มองลงไปยังลูกศิษย์จำนวนไม่ถ้วน
เรื่องเช่นนี้ หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนมีประสบการณ์แล้วหนึ่งครั้งก็ชื่นชอบขึ้นมาทันควัน ดังนั้นร่างของเขาจึงมักจะเข้าๆ ออกๆ ในหอคัมภีร์ของแต่ละยอดเขา
ถึงขั้นที่ว่าเวลานั่งอยู่ตรงนั้น บางครั้งเขาก็คอยอมยิ้มพยักหน้า บางครั้งก็มองไปยังลูกศิษย์ที่อยู่เบื้องล่าง นัยน์ตาเผยแววชื่นชมปลาบปลื้มเช่นเดียวกับผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานรากที่อยู่ข้างกาย
ภาพนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานรากข้างกายไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ลูกศิษย์ของแต่ละยอดเขาทั้งหลายเหล่านั้นแต่ละคนก็อัดอั้นตันใจถึงที่สุด ขณะที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนก็ล้วนพากันคับแค้นใจ แต่กลับทำอะไรไม่ได้
ขณะเดียวกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หาวิธีโอ้อวดศักดาของศิษย์พี่เจ้าสำนักตัวเองวิธีใหม่เจอ เขาจึงเริ่มปรากฏตัวอยู่ข้างกายของนักพรตขั้นสร้างฐานรากแต่ละคนของสำนักบ่อยขึ้น เพื่อได้ดื่มด่ำไปกับถูกปรนนิบัติพัดวีแบบเดียวกันทุกครั้ง
เวลาเห็นนักพรตขั้นสร้างฐานรากเหล่านั้น เขาก็จะรีบเดินหน้าเข้าไปหา ปากก็เอ่ยเรียกศิษย์พี่ชาย ศิษย์พี่หญิงด้วยท่าทางน่าเอ็นดูยิ่งนัก พอนักพรตขั้นสร้างฐานรากแต่ละคนเหล่านั้นเห็นเข้าก็ล้วนพูดไม่ออก เพียงแต่ว่าพอหลายครั้งเข้าก็อดที่จะมีสีหน้าปุเลี่ยนอย่างอดไม่ได้ ส่วนลูกศิษย์ข้างกายก็ทำได้เพียงเอ่ยปากเรียกขานอาจารย์อาป๋ายติดๆ กันด้วยความหน่ายใจ
หลังจากสถานการณ์เช่นนี้ยืดเยื้อไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง มีครั้งหนึ่งพอป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นหลี่ชิงโหวก็ดันอดกลั้นไม่ไหว ตะโกนเรียกอย่างสนิทสนมออกไป
“ไฮ้ ศิษย์พี่หลี่”
สีหน้าหลี่ชิงโหวดูซีดเซียวเล็กน้อย จนกระทั่งถึงวันนี้ ในที่สุดเขาก็หลอมยาเก้าล้ำเลิศออกมาได้ ยามนี้กำลังจะออกจากสำนัก พอได้ยินเสียงเรียกเช่นนั้นก็อึ้งงัน กวาดตามองไปรอบด้าน หลังจากเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วผิวหน้าก็กระตุกยิกๆ ช่วงหลายวันมานี้เรื่องที่เกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุน แม้ว่าเขาจะหลอมยา แต่ก็ยังได้ยินเข้าหู รู้สึกปวดหัวยิ่งนัก ตอนนี้พบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้นกล้าเรียกขานตัวเองเช่นนี้ หลี่ชิงโหวจึงถลึงตาใส่
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเรียกจบก็ให้เสียใจขึ้นมา เวลานี้มองเห็นว่าหลี่ชิงโหวถลึงตาใส่ เขาก็สูดลมหายใจเฮือกทันที ในสำนักแห่งนี้ผู้ที่เขาเกรงกลัวที่สุดก็คือหลี่ชิงโหวนี่แหละ
“ท่านอาหลี่…ข้า…ข้าผิดไปแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อยคอตก รีบพูดปากคอสั่น
หลี่ชิงโหวมองป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจมีความหน่ายใจเพิ่มขึ้นสูงขึ้นเป็นระลอก จึงถลึงตาโกรธๆ ใส่อีกครั้ง และสั่งสอนป๋ายเสี่ยวฉุนไปรอบหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เขาก่อไว้เมื่อไม่นานมานี้
“ข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย เร็วสุดก็หลายเดือน ช้าสุดก็ปีหนึ่ง ช่วงเวลานี้เจ้าอย่าเอาแต่เที่ยวเล่น ควรพยายามมุมานะบำเพ็ญเพียรถึงจะถูก” หลี่ชิงโหวกำชับอีกหลายประโยคถึงได้หมุนตัวจากไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวพรืด นัยน์ตาของเขาแม้จะมีความหวาดกลัว แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความอบอุ่นและเคารพนับถือที่มีต่อผู้อาวุโส ตู้หลิงเฟยเล่าให้เขาฟังแล้วว่าหลังจากที่ตนหายตัวไป หลี่ชิงโหวก็ออกตามหาตนเพียงลำพังถึงสองเดือน ตอนกลับมาได้ถือเอาเศษเสื้อผ้าของเขากลับมาด้วย แถมยังโทษตัวอยู่ตลอดเวลา
ความอบอุ่นเช่นนี้เป็นสิ่งที่ตลอดชีวิตนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้น้อยนักหลังจากที่พ่อแม่ป่วยและเสียชีวิตจากไป ในใจของเขามองเห็นหลี่ชิงโหวเป็นเหมือนญาติของตัวเองโดยไม่รู้ตัวมานานแล้ว
ได้รับการตักเตือนและตำหนิจากหลี่ชิงโหว ป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดไปได้ครึ่งเดือน เวลาเห็นใครก็ไม่กระแอมไออีกแล้ว เพียงแต่ว่าบางครั้งเมื่อไปอยู่นอกถ้ำของโจวซินฉีก็คิดขึ้นมาได้ว่าตลอดทั้งสำนัก ในกลุ่มคนที่ตัวเองรู้จัก มีเพียงโจวซินฉีคนเดียวที่ยังไม่เคยเรียกตนว่าอาจารย์อาป๋าย
จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกหลายเดือน เขาเห็นโจวซินฉีอีกครั้ง นางยังคงเหยียบอยู่บนแพรต่วนสีฟ้า บินทะยานจากไปด้วยความรวดเร็วเช่นเดิม ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อาจบินตามไปได้ จึงได้แค่มองอีกฝ่ายบินไปไกลตาปริบๆ ในใจก็อึดอัดคับข้องนัก
“อาวุธที่ทำให้ลูกศิษย์รวมลมปราณสามารถบินได้ ในสำนักมีคนจำนวนน้อยนักที่จะมี นอกจากจะมีวิชาพิเศษพวกนั้นติดตัวแบบเฉินเหิงแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ทำได้แค่พึ่งอาวุธวิเศษเท่านั้น”
“ไม่ยุติธรรมเลย อาวุธพวกนี้ไม่ใช่ว่าอาจารย์ต้องมอบให้หรอกเหรอ ข้า…อาจารย์ของข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจติดต่อกัน หลังจากเดินได้สองสามก้าวก็ชะงักกึก ลูกตากลิ้งกลอกอยู่ไม่กี่ทีก็หมุนตัวดิ่งทะยานไปยังภูเขาจ้งเต้า
ด้วยฐานะศิษย์น้องเจ้าสำนักของเขา การเข้าภูเขาจ้งเต้านั่นจึงไม่มีอุปสรรคใดๆ และก็ถึงยอดเขาอย่างรวดเร็ว มาหยุดอยู่หน้าหอใหญ่ที่อยู่ของเจ้าสำนัก เจิ้งหย่วนตง
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ศิษย์พี่เจ้าสำนักที่รัก!!”
“ข้าต้องการไปจุดธูปไหว้ท่านอาจารย์” ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินวางมาดเข้ามา ตะโกนพูดเสียงดัง ในโถงใหญ่ เจิ้งหย่วนตงลืมตาขึ้นมาจากการนั่งสมาธิ ถอนหายใจหนึ่งที
ช่วงนี้มีคนมากมายมาหาเขาที่นี่ ฟ้องให้ฟังถึงการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจเขารู้สึกเสียใจอยู่นานแล้ว แต่ในเมื่อไม้ก็กลายมาเป็นเรือแล้วจึงทำอะไรไม่ได้อีก ทำได้เพียงแสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะถึงแม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีนิสัยร้ายๆ เช่นนี้ แต่กลับไม่มีใจคิดทำร้ายผู้ใด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ยามนี้ได้ยินเสียงป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเรียก เจิ้งหย่วนตงจึงค่อยๆ เดินออกไป กระแอมไอหนึ่งที สีหน้าเคร่งขรึม
“พอแล้ว ได้ยินแล้ว”
“ศิษย์น้องคารวะศิษย์พี่เจ้าสำนัก” ท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุนดูเป็นเด็กดี พอเห็นเจิ้งหย่วนตงก็รีบทำความเคารพ
มองเห็นท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุน เจิ้งหย่วนตงก็ถอนหายใจอยู่ในใจ วันนี้เขาได้รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแท้จริงแล้ว ขณะที่ส่ายหัวยิ้มเจื่อนก็พาป๋ายเสี่ยวฉุนไปยังพื้นที่ต้องห้ามด้านหลังเขา
ในถ้ำสถิตแห่งหนึ่งหลังภูเขา บนกำแพงมีภาพวาดภาพหนึ่งแขวนเอาไว้ ในนั้นเป็นภาพของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ ดวงตาจ้องมองไปไกล ตลอดทั้งภาพเต็มไปด้วยกลิ่นอายปราณที่พิเศษอย่างมาก ทำให้คล้ายว่าบุคคลในภาพไม่ได้ตายไป แต่ดูคล่องแคล่วปราดเปรียวราวกับยังมีชีวิตอยู่
ใต้ภาพคือแท่นบูชา ด้านบนวางผลไม้วิเศษและเทียนวิเศษเอาไว้ ตลอดทั้งถ้ำแม้จะเรียบง่ายสง่างาม แต่กลับให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอย่างหนึ่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนพอเข้ามาในถ้ำได้ก็รีบมาหยุดอยู่ใต้ภาพวาด คุกเข่าอยู่ตรงนั้นดังตุ๊บ เอาหัวโขกพื้นติดต่อกันเก้าครั้งด้วยสีหน้าเคารพนบน้อบ
“อาจารย์ ศิษย์มาเยี่ยมเยียนท่าน” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองอาจารย์ที่อยู่ในภาพวาด นัยน์ตาของเขาเผยความเลื่อมใสบูชา
เจิ้งหย่วนตงที่อยู่ด้านข้างแอบพยักหน้ากับตัวเอง รู้สึกว่าถึงแม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเกเรไปบ้าง แต่ก็ยังมีใจที่ซื่อสัตย์กตัญญู ด้วยประสบการณ์ของเขาย่อมมองออกในครั้งเดียวว่าสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นคือความจริงใจอย่างแท้จริง ไม่มีการเสแสร้งแกล้งทำแม้เพียงนิด
แต่ที่ตามมาติดๆ …ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เอ่ยปากอีกครั้ง
“อาจารย์ ศิษย์ลำบากยิ่งนัก บินอย่างคนอื่นเขาไม่ได้…ลูกศิษย์คนอื่น อาจารย์ของพวกเขาล้วนมอบอาวุธวิเศษให้ ทั้งยังมีวัตถุคุ้มกันตัวเอง มีแต่ข้าเท่านั้นที่ไม่มี…”
“อาจารย์ขอรับ ศิษย์ไม่สนใจวัตถุนอกกายเหล่านั้นหรอกนะ แค่ได้มาจุดธูปไหวท่าน ศิษย์ก็พอใจมากแล้ว ไม่แน่ว่าวิญญาณของท่านที่อยู่บนสวรรค์อาจจะเอาของวิเศษมาฝากศิษย์ในฝันก็ได้…”
ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน เจิ้งหย่วนตงที่อยู่ด้านข้างก็พลันตาเหลือกถลน
“อาจารย์ ตอนแรกนั้นเพื่อปกป้องสำนัก เพื่อให้สำนักได้สืบทอดต่อไปอีกหลายหมื่นปี เพื่อสำนัก ศิษย์ต้องถูกไล่ฆ่ามาตลอดทางจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ของวิเศษทั้งหมดล้วนระเบิดพังไปหมดตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ตอนนี้กลับมายังสำนักจึงไม่เหลืออะไรสักอย่าง ถุงผ้าแฟบแบน ของทุกอย่างไม่เหลือหลอ แม้แต่นักการก็ยังสู้ไม่ได้…”
“อาจารย์ ท่านไม่ต้องกดดันหรอกนะ ไม่เป็นไรขอรับ ต่อให้ศิษย์ไม่มีของวิเศษป้องกันตัวเอง ต่อให้ไม่มีอาวุธช่วยให้บินได้ ศิษย์ก็พร้อมบุกน้ำลุยไฟ ปฏิบัติภารกิจทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงงอนเพื่อสำนัก! เพียงแต่หากมีช่วงหนึ่งที่ข้าไม่ได้มาจุดธูปไหว้ท่านผู้อาวุโส นั่นก็หมายความว่าเนื่องจากข้าไม่มีของวิเศษคุ้มกันตัว เพราะไม่มีอาวุธช่วยให้บินหนีได้เร็ว จึงต้องเอาชีวิตน้อยๆ นี่ไปทิ้ง…ถึงเวลานั้นข้าจะไปหาท่านด้วยตัวเอง ไปอยู่ร่วมกันกับท่านผู้อาวุโสที่ข้างล่างนั่น” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไปพลางผินหน้าไปมองศิษย์พี่เจ้าสำนักที่รักซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังตาปริบๆ
ในหน้าเจิ้งหย่วนตงกระตุกหงึกหงัก คราวนี้เขาถูกป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้อึ้งจนเซ่อเข้าแล้วจริงๆ เขาบำเพ็ญตบะมาหลายปีขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอศิษย์แปลกประหลาดอย่างป๋ายเสี่ยวฉุน
ยามนี้เขาหัวเราะขื่นอยู่ในใจ ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ในภาพวาดก็คิดถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย โดยเฉพาะตอนที่ตนเองเพิ่งจะกราบอาจารย์คำนับเป็นศิษย์ในปกครองของท่าน อาจารย์เองก็มอบอาวุธคุ้มกันตัวให้เขาเช่นกัน
คิดมาถึงตรงนี้ เจิ้งหย่วนตงถอนหายใจ ขณะที่มองป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาก็ค่อยๆ เผยแววอบอุ่น
ไม่นานนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินออกมาจากถ้ำพร้อมเจิ้งหย่วนตง มองเจิ้งหย่วนตงตาปริบๆ มาตลอดทาง จนกระทั่งเดินมาถึงนอกหอใหญ่ของเขาจ้งเต้า ฝีเท้าของเจิ้งหย่วนตงก็หยุดชะงักลง หันหน้ามามองป๋ายเสี่ยวฉุน ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง พลันในมือของเขาก็ปรากฏแสงสองเส้น เส้นหนึ่งสีขาว เส้นหนึ่งสีทอง
เส้นสีทองนั้นคือกระบี่บินเล่มหนึ่ง ขนาดเท่าฝ่ามือ แต่ขณะเดียวกันกับที่ปรากฏตัวออกมา พื้นที่ว่างรอบด้านล้วนบิดเบี้ยว แผ่ไอร้อนออกมา มองดูแล้วไม่ธรรมดายิ่งนัก บนตัวกระบี่ยังมีอักษรจารึกซับซ้อนยากเข้าใจอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งกำลังค่อยๆ ปล่อยประกายแสง ทุกครั้งที่แสงกะพริบ ล้วนมีคลื่นเล็กๆ ปรากฏขึ้นรอบด้าน
ส่วนแสงสีขาวนั้นคือโล่เล็กด้านเดียว โล่นี้ขนาดเท่าฝ่ามือเช่นเดียวกัน ตลอดทั้งร่างเหมือนหยกสีขาว ด้านบนสลักรูปนกกระสาตัวหนึ่งเอาไว้ มีชีวิตชีวาเหมือนของจริง ความรู้สึกอบอุ่นเป็นระลอกแผ่ซ่านออกมาจากโล่หยกขาวอันเล็กนี้ตลอดเวลา
วัตถุสองชิ้นนี้ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ธรรมดา ดวงตาเขาเปล่งประกาย แม้แต่ลมหายใจก็ยังถี่กระชั้นขึ้นมา แต่ไม่นานเขาก็มองเห็นได้ถึงความต่าง ไม่ว่าจะเป็นบนกระบี่หรือบนโล่ ล้วนมีเส้นสีเงินสามเส้นปรากฏ
“กระบี่วิหคทอง กระบี่วิหคทองเล่มนี้ปิดผนึกวิหคทองตัวหนึ่งเอาไว้ มีพลังแผดเผาร้อนแรง สามารถแปลงกายออกมาเป็นวิหคทองได้ มีพลังเท่ากับพลังตบะของผู้ใช้ เชี่ยวชาญในการบิน พลังสูงสุดได้ถึงช่วงขั้นต้นของขั้นสร้างฐานราก หากระเบิดแตกออก พลานุภาพก็ยิ่งมีมาก”
“โล่กระสาเทพ เอาวิญญาณของนกกระสาตัวหนึ่งมาหลอมรวมเป็นอาวุธที่ใช้ป้องกันตัวชิ้นนี้ สามารถช่วยให้เจ้าใช้การป้องกันขั้นที่ต่ำกว่าสร้างฐานรากได้หนึ่งครั้ง ไว้ใช้ยามมีวิกฤตถึงชีวิต”
“วัตถุสองชิ้นนี้ล้วนถูกข้าเอาไปให้ปรมาจารย์หลอมพลังจิตมาแล้วสามครั้ง เสียดายที่ไม่กล้าเอาไปหลอมพลังจิตต่อ นี่เป็นของที่อาจารย์มอบให้ข้าตอนที่ข้าเข้าสำนักมา วันนี้ข้าขอเป็นตัวแทนอาจารย์มอบให้กับเจ้า” เจิ้งหย่วนตงมองป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าก็ยิ่งอ่อนโยน นัยน์ตามีแววให้กำลังใจ
“ขอบคุณท่านอาจารย์ ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าสำนักที่รัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น รีบรับเอามาถือไว้ ถูกใจจนไม่ยอมวาง
————-