บทที่ 674 สะท้านสะเทือนอย่างถึงแก่น
ไม่เพียงแต่นครเก้านรกภูมิและนครชิงชัยเท่านั้นที่ครึกโครมกันไปทั้งเมือง แม้แต่นครเทพจุติ (ชื่อเดิมนครหลิงหลิน) ก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าลูกหลานของราชาเทพจุตินั้นมีเยอะเกินไป ลำพังเพียงแค่สายตรงก็มากนับหมื่นคน พอแบ่งทรัพยากรกันแล้ว แม้จะยังมีผู้กล้าอันเป็นที่น่าภาคภูมิใจ ทว่าไม่มีใครที่พรสวรรค์เลิศล้ำเช่นกงซุนอี้ โจวหง มีเพียงแค่หญิงสาวคนเดียวเท่านั้นที่พอจะออกหน้าออกตาได้
ในเวลานี้นครผียักษ์ก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในนครจักรพรรดิแล้วเช่นกัน
เมื่อรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัว ในนครก็เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึง
ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ เขายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในหม้อกระดองเต่าด้วยอารมณ์เบิกบานสนุกสนาน ลำพองใจไปกับการฝึกบำเพ็ญตบะที่ไต่ทะยานอย่างรวดเร็วถึงขีดสุด ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นประกายไหวระริก ชี้นิ้วไปยังไฟสิบเอ็ดสี
“หึหึ ฝึกต่อล่ะนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเคลิบเคลิ้มอยู่กับตัวเอง ครั้งนี้แสงบนหม้อกระดองเต่าไม่ใช่สีเงินอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาเป็นสีทอง ท่ามกลางเสียงอึกทึก แสงสีเงินทั้งสิบบนร่างทารกก่อกำเนิดของเขาก็หายไป แทนที่มาด้วยลายเส้นสีทองหนึ่งเส้นที่ส่องประกายระยับ!
การปรากฏของลายเส้นสีทองนี้ทำให้ทารกก่อกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุนขยายใหญ่ทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันอ้าปากสูดลมเฮือก เพราะพอไพล่นึกไปถึงการเปลี่ยนแปลงหลังจากหลอมพลังจิตสิบครั้ง เขาก็อดจะกระวนกระวายไม่ได้
“ตัวอ่อนของข้าคงไม่เปลี่ยนไปเป็นแบบอื่นหรอกนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นอยู่นานจนกระทั่งลายเส้นสีทองหายไป เขาก็พลันสูดลมเฮือกใหญ่ รีบก้มหน้าลงมองตัวอ่อนของตัวเอง หลังจากเห็นว่าทารกก่อกำเนิดไม่ได้เปลี่ยนลักษณะไปจากเดิมถึงคลายใจ
“แข็งแกร่งไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว…หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หลังหลอมพลังจิตครบสิบสี่ครั้งข้าก็น่าจะบรรลุถึงจุดสูงสุดของก่อกำเนิดช่วงต้น หากฝึกตามวิธีปกติ ต่อให้มีสุดยอดวิชาก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลานับร้อยปีถึงจะสำเร็จ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่านี่คือโอกาสอันดีที่หาได้ยาก ด้วยความฮึกเหิมเขาจึงเริ่มหลอมครั้งที่สิบสองอย่างไร้ความลังเล!
เสียงตูมตามดังสนั่น เส้นสีทองที่สองปรากฏขึ้น และยังไม่สิ้นสุดเพราะเส้นที่สาม เส้นที่สี่ได้ตามมาติดๆ!!
เมื่อลายเส้นสีทองที่สี่ปรากฏ พลังแกร่งกร้าวระลอกหนึ่งก็พลันระเบิดออกมาจากร่างทารกก่อกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุน คล้ายจะฝ่าทะลุขอบเขตเปลี่ยนจากก่อกำเนิดช่วงต้นสู่ก่อกำเนิดช่วงกลาง!
พลังโจมตีนี้ไม่ใช่น้อยๆ แต่กระนั้นก็ยังขาดไปอีกส่วนหนึ่ง พอพยายามโจมตีอยู่หลายครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำต้องถอดใจไปก่อน เมื่อลืมตา นัยน์ตาของเขาก็ฉายประกายคมปลาบน่าหวาดหวั่น
สายตานี้เจิดจ้า หากเทียบกับเมื่อครู่ตอนที่เขาเพิ่งก่อกำเนิดสำเร็จก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!
“ถึงขีดสุดแล้ว แต่ว่าหลังหลอมพลังจิตสิบห้าครั้งต้องสามารถฝ่าทะลุขั้นกลายเป็นก่อกำเนิดช่วงกลางได้แน่นอน” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำแผ่วเบา ก่อนที่ทารกก่อกำเนิดจะสะบัดร่างหวนกลับไปสู่เรือนกายของตัวเอง
เวลาเดียวกันนั้น วินาทีที่ลายเส้นสีทองเส้นที่สี่ของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏขึ้น บนศิลาของนครจักรพรรดิ ตัวเลขด้านหลังชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่อันดับหนึ่งก็พลันเปลี่ยนมาเป็นเลขสิบสี่ พริบตานั้นผู้ฝึกวิญญาณทุกคนที่มองเห็นภาพนี้ต่างก็มองตาค้างกันไปหมด หลายคนยืนเซ่อ
พวกเขานึกภาพไม่ออกเลยว่าหากสุดท้ายแล้วผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิงแห่งแดนทุรกันดารคือป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นจะกลายเป็นมรสุมลูกใหญ่ถึงเพียงไหน…แล้วจะเป็นเรื่องไร้สาระเท่าไหร่!
แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างนี้จะไม่มีอะไรให้ต้องพะวงอีกแล้ว…และเวลานี้เอง ในนครจักรพรรดิก็มีปราณคนฟ้าเส้นหนึ่งระเบิดพวยพุ่งขึ้นสู่นภากาศ!
ปราณนี้ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ก้อนเมฆสลายตัวออกจากกัน มังกรยักษ์ที่ว่ายวนอยู่ภายในก็ม่านตาหดตัว ก่อนจะรีบซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเงาร่างหนึ่งก็ทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าจากจุดที่ตั้งของกองทัพผียักษ์ นั่นคือหญิงสาวโฉมสะคราญคนหนึ่ง เรือนกายของนางอรชรอ้อนแอ้น ทว่าใบหน้ากลับดุดัน ดวงตาหงส์อวลไปด้วยปราณสังหารและความบ้าคลั่ง นางก็คือ…สตรีธุลีแดง!
ตบะของนางฟื้นตัวกลับมานานแล้ว เดิมทีนางกำลังปิดด่าน ไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายนอก
แต่ลูกน้องใต้บังคับบัญชาของนางรู้ดีว่าระหว่างสตรีธุลีแดงกับป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นมีความแค้นลึกล้ำเพียงใด ดังนั้นถึงได้ส่งข้อความเสียงมารายงานให้นางทราบ
เมื่อได้ยินข่าวของเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนที่สมควรถูกแร่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น สตรีธุลีแดงก็คลุ้มคลั่งทันที ยามนี้นางจึงตรงดิ่งไปยังป้ายศิลาจักรพรรดิหมิง ชั่วพริบตาที่เยื้องกรายมาถึงนางก็จ้องเขม็งไปยังชื่อบนบรรทัดแรก ด้วยร่างที่สั่นเทิ้ม ปราณสังหารแผ่ซ่านออกมาราวกับจะกลายเป็นของจริง
ทุกคนที่อยู่โดยรอบพอเห็นว่าสตรีธุลีแดงมาก็พากันหน้าเปลี่ยนสี รีบก้มหน้าประสานมือคารวะ ทุกคนล้วนรู้ดีว่าสตรีธุลีแดงผู้นี้คือคนฟ้าที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ พรสวรรค์ของนางเป็นเอกเลิศล้ำ แม้ว่าจะเป็นคนฟ้ารุ่นใหม่ ทว่าพลังในการต่อสู้กลับไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง!
“ป๋ายเสี่ยวฉุน…ป๋ายเสี่ยวฉุน…” สตรีธุลีแดงเงยหน้าขึ้นทันควัน ใบหน้ามืดทะมึนของนางมีไอเย็นเยียบหนาวสะท้าน วินาทีที่มองเห็นป้ายศิลานี้นางก็เข้าใจทันทีว่า ป๋ายเสี่ยวฉุน…ต้องก่อกำเนิดวิถีฟ้าแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ใจของนางก็ร้อนรนผิดปกติจึงรีบหยิบแผ่นหยกมาออกคำสั่งกับกองทัพใต้บังคับบัญชาของตัวเอง
“หาตัวป๋ายเสี่ยวฉุนให้เจอ ไม่เสียดายค่าตอบแทน ข้าต้องการตัวเขาเป็นๆ!!”
ตลอดทั้งกองทัพจึงเริ่มเคลื่อนไหว เงาร่างมากมายบินทะยานออกมาจากฐานทัพ คำสั่งมากมายถูกถ่ายทอดต่อออกไป คนทั้งกองทัพผียักษ์ระเบิดกำลัง เห็นได้ชัดว่ากำลังไปหาตัวป๋ายเสี่ยวฉุนตามคำสั่งของสตรีธุลีแดง!
เวลาเดียวกันนั้น ในนครจักรพรรดิแห่งนี้ยังมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่จับตามองป้ายศิลาจักรพรรดิหมิงเช่นกัน ทว่านางแตกต่างไปจากสตรีธุลีแดง ดวงตาของหญิงสาวผู้นี้ไม่มีความเย็นชา มีเพียงความร้อนใจและเป็นห่วง
นางก็คือ…เฉินม่านเหยาจากสำนักสยบธาร!
ในฐานะที่เป็นคนของแดนทุรกันดาร อีกทั้งอาจารย์ของนางยังมีที่มายิ่งใหญ่ ฐานะของนางที่อยู่ในนครจักรพรรดิจึงสูงส่ง แต่นางก็ไม่เคยลืมเลือนภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสำนักสยบธาร ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไม่ได้ รวมไปถึงทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือรบลำนั้น…
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่หวนคืนสู่แดนทุรกันดาร ในสมองของนางมักจะมีภาพของคนคุ้นเคยในอดีตลอยขึ้นมาคนแล้วคนเล่า และภาพของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือภาพที่ปรากฏขึ้นมาบ่อยครั้งที่สุด
ตอนแรกที่นางรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหายตัวไป หรือมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเขาจะตายไปแล้ว ยามนั้นนางได้แต่เงียบงัน ในใจปวดร้าวและเศร้าอาดูร ทำให้นางเงียบขรึมอยู่เป็นนาน แต่นางก็ไร้หนทางใด
ทว่าก่อนหน้านี้หลังจากที่นางได้ยินว่าชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏบนป้ายศิลา ลมหายใจของนางก็ถี่รัว นัยน์ตาของนางก็ยิ่งฉายประกายแสงแห่งความมีชีวิตชีวาอย่างแรงกล้า
“เสี่ยวฉุน…เจ้าอยู่ที่ไหนกันนะ…”
นครจักรพรรดิเวลาเดียวกัน กลางตำหนักใหญ่ในพระราชวัง ต้าเทียนซือที่ก่อนหน้านี้เคยออกคำสั่งให้จักรพรรดิขุยรุ่นนี้ปิดด่านซึ่งเห็นได้ว่าฐานะของเขาสูงส่งยิ่งกว่าจักรพรรดิขุย และเขาก็เหมือนจะคุมตัวโอรสสวรรค์ไว้ในโอวาท ส่วนตัวเองเป็นผู้ออกคำสั่งบงการเรื่องราว บัดนี้เขาได้ลืมตาขึ้นช้าๆ
ชั่วขณะที่ดวงตาทั้งคู่ของเขาลืมขึ้น มังกรยักษ์บนท้องฟ้าตัวสั่นสะท้าน พื้นดินก็สั่นไหว ผู้แข็งแกร่งทุกคนในนครจักรพรรดิต่างตัวสั่นเทิ้ม พากันเก็บอำนาจจิตกลับคืนมา ไม่กล้าไปล่วงละเมิดอานุภาพของอีกฝ่าย
ส่วนสายตาของต้าเทียนซือก็เหมือนจะมองต่ำลงมาจากฟากฟ้า มาตกอยู่บนป้ายศิลาจักรพรรดิหมิง ตกลงบนรายชื่อที่อยู่ดันดับหนึ่ง!
เนิ่นนานถึงได้ถอนสายตากลับคืน ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ออกคำสั่งที่ดังไปทั่วใต้หล้าแดนทุรกันดาร
“ตามหาตัวป๋ายเสี่ยวฉุน พาเขามาพบข้า!”
คำสั่งนี้ไม่ได้ออกในนามของต้าเทียนซือ แต่เป็นพระราชโองการที่ออกแทนจักรพรรดิขุยรุ่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้เป็นสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังได้แต่ยอมรับไปโดยปริยาย…
พายุลูกใหญ่แห่งการตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนที่พัดตลบไปทั่วทั้งแดนทุรกันดารจึงได้เริ่มขึ้น ณ บัดนั้น
และตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กำลังลืมตาขึ้นช้าๆ วินาทีที่ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปิดขึ้นในห้องลับ ตลอดทั้งห้องลับก็ราวกับมีสายฟ้าวาบผ่าน อานุภาพสยบแห่งก่อกำเนิดแผ่ออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าเผยความปิติยินดี หลังจากที่เขาตรวจสอบดูร่างกายของตัวเองอย่างละเอียดก็พบว่าตนอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของก่อกำเนิดช่วงต้นอย่างแท้จริง นี่จึงทำให้เขายิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะพอมองเห็นเส้นสีทองทั้งสี่ที่อยู่บนร่างทารกก่อกำเนิด เขาก็อดไม่ได้ที่จะฮึกเหิมลำพองใจ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่ของห้องลับพลันเปิดออก
ก่อนจะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเดินอาดๆ ออกมาพร้อมไปโอ้อวดบารมี
ขณะที่คิดว่าจะออกไปเรียกความสนใจจากทุกคนให้รู้กันสักหน่อยว่ายามนี้ตนไม่ใช่รวมโอสถอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว เขาก็ได้แผ่อำนาจจิตออกไปปกคลุมสี่ทิศ ทว่าทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ในอำนาจจิตของเขาได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนมากมาย และชื่อที่เอ่ยถึงในเสียงสนทนาเหล่านี้ก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนสั่นไปทั้งร่าง ใจที่อยากโอ้อวดตัว ความปิติยินดีทุกอย่าง บัดนี้หายวับไม่มีเหลือ เหลือแค่เพียงความลนลานและหวาดกลัว
“ได้ยินหรือยัง ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัวแล้ว! เจ้าไม่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนหรือ? เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง…”
“หลอมพลังจิตให้แก่ทารกก่อกำเนิดสิบสี่ครั้งเชียวนะ นี่มันบ้าระห่ำเกินไปแล้ว คนผู้นี้ต้องมีของวิเศษล้ำค่าอย่างแน่นอน!”
“จักรพรรดิขุยออกราชโองการแล้วว่าต่อให้ต้องพลิกทั้งแดนทุรกันดารก็ต้องหาคนผู้นี้ให้เจอแล้วจับตัวเขามาทั้งเป็นให้ได้…ก็ต้องทำเช่นนี้แหละ หาไม่แล้วเขาจะต้องกลายมาเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิง นั่นจะไม่เป็นเรื่องน่าขันหรอกหรือ”
การสนทนาเหล่านี้ทำให้สีเลือดบนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนหายไปเกลี้ยง เขาตกใจจนเกือบจะสะดุ้งโหยง ก่อนจะเซถอยไปหนึ่งก้าว พริบตานั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าตนลืมเรื่องสำคัญข้อหนึ่งไปเสียสิ้น…การหลอมพลังจิตให้กับก่อกำเนิดจะไปปรากฏอยู่บนป้ายศิลาจักรพรรดิหมิง!!
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ในใจให้เสียใจสุดประมาณ คิดว่าครั้งนี้ตนรนหาที่ตายเข้าแล้วจริงๆ …เพราะความกระวนกระวายไม่เป็นสุขเขาจึงรีบล้มเลิกความคิดที่จะออกไปโอ้อวดตนทันที และยิ่งตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าต่อให้ตายตนก็ไม่มีทางเปิดเผยตัวอ่อนก่อกำเนิดของตัวเองให้คนอื่นรู้เด็ดขาด ยังดีที่หน้ากากของเขาหลอมพลังจิตมาแล้วหลายครั้งจึงแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม พลังในการอำพรางน่าตะลึง และเขาก็ไม่เคยวางใจในด้านการปกปิดตัวเอง ดังนั้นแม้ยามนี้จะกลายมาเป็นก่อกำเนิดแล้ว แต่คนนอกกลับมองไม่ออกแม้แต่น้อย
เขาจึงรีบปรับพลังการซ่อนแฝงของหน้ากากตัวเองอย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวเองมองดูเหมือนไม่ใช่ก่อกำเนิดช่วงต้นขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ลักษณะเหมือนคนที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ก่อกำเนิด เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น ทันใดนั้นห่างออกไปไกลก็มีรุ้งยาวหลายเส้นทะยานเข้ามา นั่นก็คือผู้ฝึกวิญญาณกองลาดตระเวน เพิ่งจะเข้ามาใกล้พวกเขาก็พุ่งเข้ามาประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนทันที
“หวังเหย่มีคำสั่งว่าเมื่อผู้กำกับการป๋ายออกจากด่านแล้วให้รีบไปเข้าเฝ้าทันที!”
“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น ใจหายวาบ ตกใจจนใบหน้าเล็กๆ ซีดขาวอีกครั้ง