บทที่ 675 เจ้าผีหื่นกาม
พอนึกถึงใบหน้าที่ไม่ต้องแสดงความโกรธก็ยังน่าเกรงขามของราชาผียักษ์
รวมไปถึงดวงตาลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุดซึ่งเหมือนจะมองทะลุทะลวงเข้าไปยันหัวใจคนคู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัวสั่นเทิ้ม
“จบกันๆ …” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเปี่ยมไปด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง พันไม่ควรหมื่นไม่ควร ตนไม่ควรหลอมร่างก่อกำเนิดอย่างโอหังขนาดนั้นเลยจริงๆ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่จนคนรู้กันทั่วหล้า เขาก็หวาดกลัวถึงกับแข้งขาอ่อน
ยิ่งนึกถึงผลร้ายที่จะตามมา หัวใจก็ยิ่งเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง…ยังดีที่เขาสวมหน้ากาก อีกทั้งหลายปีมานี้ก็มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน แม้นิสัยกลัวตายยังมีอยู่ไม่เปลี่ยน ทว่ากลับมีพรสวรรค์และทักษะด้านการแสดงอย่างโดดเด่นโดยไม่ต้องให้ใครมาสอน
“ราชาผียักษ์น่าจะไม่รู้ตัวตนแท้จริงของข้า…หาไม่แล้วคงไม่สั่งให้คนมาเรียกข้าไปเข้าเฝ้า…อีกอย่างหน้ากากนี้ก็ยอดเยี่ยมนัก สวมไปแล้วคนอื่นมองคลื่นตบะของข้าไม่ออกเลยแม้แต่น้อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ปลอบใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทว่ากลับไม่เผยอารมณ์ใดออกมาทางสีหน้า เพียงเอามือไพล่หลัง พยักหน้ารับการคารวะอย่างนอบน้อมจากผู้ฝึกวิญญาณกองลาดตระเวนเบาๆ แล้วบินไปยังตำหนักราชาทันที
ตลอดทางป๋ายเสี่ยวฉุนมีท่าทีเป็นปกติ ทว่าในใจกลับมีความคิดนับไม่ถ้วนโลดแล่น สุดท้ายเขาก็มั่นใจได้ถึงเก้าส่วนว่าการที่ราชาผียักษ์เรียกพบตนในครานี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายรู้ตัวตนของตน
นั่นถึงทำให้ใจเขาสงบลงมาได้บ้าง แต่กระนั้นพอนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งส่วนที่อาจเป็นวิกฤตความตาย ความกระวนกระวายจึงไม่หายไปจากใจของเขาเสียทีเดียว
ยามนี้จึงได้แต่วางท่าสุขุม พยายามทำให้ตัวเองดูเหมือนเป็นปกติพลางติดตามพวกคนของกองลาดตระเวนไปยังตำหนักราชา
ผู้ฝึกวิญญาณกองลาดตระเวนกลุ่มนั้นพินอบพิเทาต่อป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก พอมาถึงนอกตำหนักราชาก็ก้มหน้าบอกลาแล้วพากันจากไปทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่นอกตำหนัก สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งก่อนเดินเร็วๆ เข้าไปด้านใน
เพิ่งจะเข้ามาก็ได้ยินเสียงของอู๋ฉางกงดังขึ้น
“หวังเหย่ บุปผาราชาผียังไม่ผลิบานเสียที…
เมื่อติดต่อไปหาต้าเทียนซือ ต้าเทียนซือยังไม่ยินยอมให้หลอมกาวิญญาณ เพียงแต่ให้อิสระกับพวกเรา…”
“ไปหาต้าเทียนซืออีกครั้ง บอกกับเขาว่าข้าราชาผียักษ์ยอมติดหนี้บุญคุณเขาครั้งหนึ่ง!”
“รับพระบัญชา ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” อู๋ฉางกงประสานมือคารวะราชาผียักษ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พอหมุนตัวกลับมาก็เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดินเข้ามาในตำหนักใหญ่จึงส่งยิ้มบางๆ พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทายแล้วถึงได้จากไป
จนกระทั่งอู๋ฉางกงจากไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหันไปมองราชาผียักษ์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ราชา ข่มกลั้นความวุ่นวายในใจแล้วรีบเดินรุดหน้าไปหลายก้าว ก่อนจะโค้งตัวคารวะต่ำๆ พูดเสียงดังกังวาน
“ข้าน้อยคารวะหวังเหย่!” ราชาผียักษ์สีหน้ามืดคล้ำคล้ายมีเรื่องในใจ ยามนี้พอกวาดสายตามองป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ปราดเดียวเขาก็ร้องเอ๊ะเบาๆ
“ฝ่าทะลุขั้นแล้ว?” นัยน์ตาของราชาผียักษ์มีแววชื่นชม แต่พอมองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้งแววชื่นชมนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นคลางแคลงใจ ด้วยประสบการณ์และความสามารถในการสังเกตที่เฉียบคมของเขา เขาพอจะมองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนจะตื่นเต้นน้อยๆ
นี่จึงทำให้เขาสงสัย ต้องรู้ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าตน ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยปกปิดความตื่นเต้นของตัวเอง แต่มาตอนนี้กลับพยายามที่จะระงับมันไว้…นี่จึงทำให้ดวงตาของราชาผียักษ์เปล่งแสงวาบ
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองออกถึงความกังขาในดวงตาของราชาผียักษ์ได้ทันที หัวใจเขาพลันสั่นเยือก ตระหนักได้ถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง ตอนนี้ตบะของเขาฝ่าทะลุแล้ว สีหน้าไม่ควรเรียบเฉย นี่ไม่สอดคล้องกับนิสัยของเขา…พอคิดได้ก็ใจหายวาบ ความตื่นเต้นยิ่งมากกว่าเดิม ความคิดในสมองหมุนเร็วจี๋ ก่อนที่เขาจะรีบแสดงความตื่นเต้นของตัวเองออกมาเด่นชัดยิ่งกว่าเดิมอย่างไม่ลังเล ทำให้ยิ่งมองดูกระวนกระวาย หวาดกลัวไม่เป็นสุข และถึงขั้นไม่กล้ามองสบตากับราชาผียักษ์
ราชาผียักษ์ใช้สายตาล้ำลึกจ้องมองป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่เอ่ยคำใด ความรู้สึกกดดันแผ่ไปทั่วทั้งตำหนักใหญ่ ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มตัวสั่น หน้าผากมีเหงื่อไหลลงมาเป็นสายคล้ายใกล้จะทนไม่ไหวเข้าไปทุกขณะ…และในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าความเงียบงันของราชาผียักษ์ทำให้อากาศรอบด้านกลายมาเป็นความบีบคั้นและกดดันจนตนแทบจะบี้แบน
“หวังเหย่ นี่ไม่ใช่ความผิดของข้าน้อยจริงๆ นะ…” ท่ามกลางความกดดันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มคร่ำครวญตัวสั่น
“ข้าน้อยเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ แต่เป็นเพราะสามตระกูลใหญ่ลงมือกับข้าน้อยเหี้ยมโหดเกินไป หากไม่เพราะข้าน้อยดวงแข็ง เกรงว่าชีวิตน้อยๆ นี่คงสูญสิ้นไปนานแล้ว…โดยเฉพาะตระกูลป๋ายที่ยิ่งร้ายกาจกว่าใคร”
“ดังนั้นข้าน้อยจึงทนไม่ไหว ทั้งๆ ที่รู้ว่าหวังเหย่มีแผนการอย่างอื่น แต่ก็ยังส่งคนไปกำราบ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อยคล้ายหวาดกลัวสุดขีด
ราชาผียักษ์นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง เรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบอกเป็นนัยให้คนอื่นไปกำราบสามตระกูลใหญ่นั้นเขาได้ยินมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
พอมาเห็นท่าทางตื่นตระหนกของป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เข้าใจแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคงเข้าใจผิดคิดว่าตนจะเอาความเรื่องนี้ถึงได้มีท่าทางตื่นเต้นแบบนั้น
“เหลวไหล!” ราชาผียักษ์ถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที
สายตานี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคลายใจโดยพลัน ทว่าภายนอกเขากลับยังคงมองราชาผียักษ์ตาปริบๆ
ราชาผียักษ์เห็นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ดีว่าเขาคงน้อยใจ แต่กลับไม่ได้พูดมาก เพียงแค่เอ่ยไปเรื่องอื่นอย่างไม่ใส่ใจ
“ที่เรียกเจ้ามาพบครั้งนี้ก็เพราะจักรพรรดิขุยมีราชโองการประกาศจับป๋ายเสี่ยวฉุนผู้บังคับกองหมื่นแห่งกำแพงเมืองสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เรื่องนี้เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน หากเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ปรากฏอยู่ในพื้นที่อิทธิพลของข้าราชาผียักษ์ เจ้าก็จงไปจับตัวเขามา”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเคร่งเครียด พลันเงยหน้ายืดอกพูดเสียงดังฟังชัดอย่างไร้ความลังเล
“หวังเหย่โปรดวางใจ ตอนที่มาที่นี่ข้าน้อยก็ได้ยินทุกคนพูดถึงเรื่องเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้แล้ว หึหึ ขอแค่เจ้ามารป๋ายกล้ามาปรากฏตัวอยู่ในขอบเขตของนครผียักษ์เรา ข้าน้อยจะต้องจับตัวเขามาให้ได้อย่างแน่นอน!” ประโยคนี้พูดได้หนักแน่นมีพลังจนราชาผียักษ์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากไม่เจอตัวเขาก็ช่างเถิด แต่ถ้าเจอก็จงระวังตัวเสียหน่อย แต่ตอนนี้ตบะของเจ้าฝ่าทะลุแล้ว นี่คือเรื่องดี ต่อให้เจอตัวเขา ความมั่นใจของเจ้าก็เพิ่มขึ้นมาอีกไม่น้อย” ราชาผียักษ์เอ่ยกำชับ
“พูดถึงเรื่องตบะฝ่าทะลุ นี่ยังต้องขอบคุณท่านหวังเหย่…หากไม่เพราะหวังเหย่ให้ข้าน้อยปิดด่านก็ยากที่ข้าน้อยจะฝ่าทะลุได้ หวังเหย่ทรงพระปรีชา ใต้หล้าไร้ผู้ใดเทียมทาน
คำพูดของหวังเหย่ในวันนั้นทำให้ข้าน้อยเกิดความฮึกเหิมประดุจได้กินยาวิเศษ วันหน้ายังคงต้องขอให้หวังเหย่เรียกข้าน้อยมาเข้าเฝ้าบ่อยๆ แบบนี้ตบะของข้าน้อยจะได้ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วไงขอรับ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยประจบอย่างไม่มีเก้อเขิน คำพูดพรั่งพรูโดยไม่ต้องผ่านการคิด
ได้ยินคำป้อยอของป๋ายเสี่ยวฉุน ราชาผียักษ์ก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งที ทว่าในใจกลับปลื้มปริ่มไม่น้อย เพราะอย่างไรซะเจ้าหมอนี่ก็เป็นพวกโอหังถือดี ตอนแรกที่ตบหัวตน อีกฝ่ายผยองพองขนยิ่งนัก ทว่าการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง ราชาผียักษ์เองก็เห็นอยู่ในสายตา เขาคือครึ่งเทพ สูงส่งเกินผู้ใด มีศักยภาพในการควบคุมทุกอย่างให้อยู่ในกำมือ เรื่องในอดีตเขาในฐานะที่เป็นครึ่งเทพก็มีน้ำใจมากพอ เมื่อจบแล้วก็ให้จบกันไป แม้แต่พวกอาวุธวิเศษเหล่านั้น พอตบะเขาฟื้นคืน แค่ความคิดเดียวก็ล้วนเอากลับคืนมาได้ทั้งหมดแล้ว
ดังคำที่ว่าผู้มีศักยภาพคือผู้สูงศักดิ์ เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวเอง ต่อให้ป๋ายฮ่าวผู้นี้จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ยังต้องคอยติดตามปรนนิบัติเขา การที่ได้ยินอีกฝ่ายคอยพูดจาประจบเอาใจตลอดเวลาจึงถือว่าใช้ได้ผลกับเขาไม่น้อย
ส่วนเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรวมตัวอ่อนได้สำเร็จ เขาก็ไม่ได้ซักไซ้เอาความ และยิ่งไม่คิดไปโยงกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ไม่ใช่เพราะเขาสมองกลวง แต่ที่มาของป๋ายฮ่าวนั้นชัดเจน ยากที่จะเอาคนทั้งสองมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
แม้ว่าระยะเวลาในการก่อกำเนิดจะตรงกัน แต่ราชาผียักษ์ก็เข้าใจดีว่าเมื่อเคยได้รับประสบการณ์จากเลือดวิญญาณของตนในคราวนั้น การที่อีกฝ่ายจะก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ขณะเดียวกันในฐานะที่เป็นลูกน้องของตน อำนาจก็ล้วนเกิดขึ้นเพราะความกรุณาของตนทั้งสิ้น ดังนั้นยิ่งอีกฝ่ายมีฝีมือแข็งแกร่งจึงยิ่งเป็นเรื่องดี แม้แต่เจ้าเต่าประหลาดตัวนั้นเขายังไม่คิดสืบหาที่มา ยามนี้พอเอ่ยสั่งความจบจึงโบกมือบอกให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยออกไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนวางใจได้อย่างเต็มที่จึงถอยหลังไปหลายก้าวและกำลังจะจากไป ทว่ากลับเกิดลังเล คิดว่าในเมื่อแสดงละครแล้วก็ต้องแสดงให้สมจริงสักหน่อย ดังนั้นจึงหันกลับมาแอบปรายตามองราชาผียักษ์หนึ่งที อ้าปากทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้เอ่ยออกมา
“มีอะไรอีกรึ” ราชาผียักษ์เองก็มองสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนออก
“หวังเหย่ สามตระกูลใหญ่นั่นควรจะกำราบสักหน่อยดีหรือไม่?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองราชาผียักษ์ตาปริบๆ คล้ายไม่ยินยอมเล็กน้อย
ราชาผียักษ์มองป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเผยแววครุ่นคิด อันที่จริงเขามีแผนการอย่างอื่นในการจัดการกับสามตระกูลใหญ่ เพราะอย่างไรซะบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายและตระกูลเฉินต่างก็มีตบะคนฟ้า ถือว่ามีประโยชน์ต่อเขา แม้จะถูกเขาขังเอาไว้ แต่ก็เข้าใจดีว่าต่อให้กำจัดสามตระกูลนี้ ต่อไปก็ยังต้องมีตระกูลอื่นๆ ปรากฏขึ้นมาอยู่ดี อีกอย่างในใจเขาก็รู้สึกว่าด้วยตัวตนของตนย่อมไม่เหมาะที่จะไปหาเรื่องกับตระกูลเล็กๆ พวกนั้น
แต่เขาก็ต้องพิจารณาความต้องการของป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะที่กำลังครุ่นคิดในสมองก็มีภาพที่สามตระกูลใหญ่ไล่ฆ่าตนในวันนั้นลอยขึ้นมา ดังนั้นนัยน์ตาจึงเปล่งแสงวาบ
“เจ้าได้รับความอยุติธรรมจริงๆ …สามตระกูลใหญ่นี้ก่อตั้งมาหลายพันปี รากฐานลึกล้ำ บางทีนี่ต่างหากถึงเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขามีความมั่นใจจนกล้าก่อกบฏครั้งนี้…” ราชาผียักษ์มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาแฝงความหมายลึกล้ำ
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน พอครุ่นคิดคำพูดประโยคนี้อย่างละเอียด ดวงตาของเขาก็พลันเปล่งประกาย หัวใจเต้นรัวเร็ว คำว่ารากฐานลึกล้ำนี้คงไม่ได้หมายความถึงสมบัติก้อนโตของทั้งสามตระกูลหรอกกระมัง?
หรือประโยคนี้จะเป็นการบอกเป็นนัยว่าตน…สามารถไปยึดทรัพย์อีกฝ่ายได้? นี่ก็คือรางวัลที่ราชาผียักษ์มอบให้ตนเพราะช่วยให้อีกฝ่ายรอดมาจากความตายก่อนหน้านี้?
“หวังเหย่โปรดวางใจ ข้าน้อยมีดวงตาคมปลาบ ต่อให้รากฐานของสามตระกูลนี้จะลึกล้ำแค่ไหนก็หนีไม่พ้นดวงตาของข้าน้อยไปได้ ต่อให้ต้องขุดลึกลงไปสามฉื่อก็ยังไม่มีปัญหา” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้สีหน้าก็พลันฮึกเหิม แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นักเลยหยั่งเชิงอีกหนึ่งประโยค
ราชาผียักษ์สีหน้าไร้อารมณ์ราวกับไม่ได้ยิน แถมยังหลับตาด้วย ทว่าในใจกลับชื่นชมที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ใจตนเป็นอย่างดี
ท่าทางเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคักขึ้นทันใด เขาเข้าใจแล้ว นี่ก็คือการยอมรับโดยปริยาย…พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงภาพที่สามตระกูลใหญ่ไล่ฆ่าตนก่อนหน้านี้ แล้วนึกถึงการที่ตนชีวิตพลิกผันกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง หัวใจเขาก็พลันเต้นรัว
“ยึดทรัพย์เชียวนา…ข้าไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย แถมยังยึดทรัพย์ของศัตรูด้วย สะใจจริงๆ …แต่เห็นได้ชัดว่าราชาผียักษ์ไม่ได้ออกคำสั่งตรงๆ นั่นหมายความว่าข้าจะทำเกินกว่าเหตุไม่ได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบกุมมือคารวะแล้วหมุนกายเตรียมออกไปจากตำหนักใหญ่ด้วยความกระปรี้กระเปร่า
ทว่าขณะที่เท้าของเขากำลังจะก้าวออกจากตำหนัก ราชาผียักษ์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ราชากลับพึมพำขึ้นมาเบาๆ เหมือนไม่ตั้งใจ
“ตระกูลเฉินช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก โดยเฉพาะประมุขตระกูลเฉินนั่น แม้ว่าจะมีวาสนาด้านความรักไม่น้อย แต่กลับกล้าหลอมธงต้องห้าม…หึ!” ประโยคนี้ฟังเหมือนพึมพำ แต่กลับดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ชะงักฝีเท้า กลอกตาไปมาหนึ่งรอบ พอคิดอย่างละเอียดก็รู้สึกได้ว่าจุดสำคัญของประโยคนี้นอกจากธงต้องห้ามแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นยังมีคำว่าวาสนาด้านความรักด้วย…
“เจ้าผีหื่นกาม!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจโดยพลันจึงพึมพำในใจหนึ่งประโยค ทว่าภายนอกกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงเดินต่อไปด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป ราชาผียักษ์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ราชาก็เงยหน้าทอดสายตามองออกไปไกล นิ้วมือทั้งห้าของมือเขาทำมุทราอย่างรวดเร็วคล้ายกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง
พักใหญ่เขาถึงได้ขมวดคิ้วพึมพำเบาๆ
“ยังคำนวณไม่ออก แต่หากอนุมานตามเวลา การหลอมกาวิญญาณนี้…ก็น่าจะถึงเวลาบุปผาราชาผีผลิบานแล้ว”