Skip to content

A Will Eternal 692

บทที่ 692 เจ้าเล่นงานข้า ข้าก็เล่นงานเจ้า

“ข้าจะแก้แค้น!!” ใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนบึ้งตึงขึงโกรธ กำหมัดแน่น ในสมองมีความคิดมากมายแล่นฉิวไปมา ครุ่นคิดถึงวิธีที่จะใช้แก้แค้น

ฆ่าคนนั้นไม่ได้…ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่โง่ เขารู้ดีว่าตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเป็นเรื่องเปราะบางอย่างยิ่งในแดนทุรกันดารแห่งนี้ หากเขาฆ่าพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ คนหรือสองคนยังพอพูดกันได้ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็เท่ากับล่วงเกินคนทั้งแดนทุรกันดาร ถึงเวลานั้นเขาที่อยู่ในแดนทุรกันดารย่อมใช้ชีวิตอย่างลำบาก เต็มไปด้วยวิกฤตอันตราย

เพียงแต่หากจะให้ฆ่าแค่คนสองคน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่สะใจพอ

“อีกอย่างหากฆ่าคน ราชาผียักษ์ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มาก แม้ว่าเขาอาจจะเดือดร้อนไปด้วย แต่อย่างไรซะเขาก็ไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่าเอง…ถึงเวลานั้นตาแก่ราชาผียักษ์แค่กลับหน้า ก็เท่ากับว่าข้าขุดหลุมฝังตัวเอง…”

“ไม่ได้…ต้องคิดหาวิธีอื่น ทางที่ดีที่สุดคือได้ทั้งแก้แค้น แล้วก็ทำให้ราชาผียักษ์พูดไม่ออกด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนทึ้งผมตัวเองอย่างแรง ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ เค้นสมองคิดอย่างหนัก ผ่านไปครู่หนึ่งดวงตาทั้งคู่ของเขาพลันเป็นประกาย เงยหน้าขึ้นด้วยลมหายใจที่ถี่กระชั้นน้อยๆ

“คิดออกแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าฮึกเหิม ความคิดที่ลอยขึ้นมาในสมองยิ่งเด่นชัด

“ข้าไม่ฆ่าคน แต่ข้าจะจับตัวศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทุกคนส่งไปให้ราชาผียักษ์ ถึงเวลานั้นอันดับแรกเลยเขาต้องรู้สึกผิดกับเรื่องที่ก่อไว้ในกาหลอมวิญญาณแห่งนี้ เพราะเดิมทีนั่นก็ทำให้ทุกกลุ่มอิทธิพลไม่พอใจอยู่แล้ว แล้วถ้าพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจไปอยู่ในมือของเขาอีก นี่ก็เท่ากับเปิดทางให้เหล่าผู้สูงศักดิ์หาเหตุผลมาเอาเรื่องเขาได้…หากเขาปล่อยตัวคน นั่นก็จะทำให้เขาเสียหน้าอย่างยิ่ง แต่หากเขาไม่ปล่อย พวกผู้มีอำนาจทั้งหมดในแดนทุรกันดารก็จะร่วมมือกันไปหาเรื่องเขา…หึหึ…”

“ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้ก็คือเผือกร้อนที่หล่นใส่มือ ถึงเวลานั้นต่อให้ลำบากใจแค่ไหนราชาผียักษ์ก็พูดไม่ออก…อีกอย่างต่อให้ราชาผียักษ์จะเผด็จการแค่ไหนก็ไม่สามารถใช้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจไปรีดทรัพย์คนในตระกูลของพวกเขาได้ การที่ขี้โกงก่อนแล้วปล้นทีหลังอย่างนี้ย่อมสร้างความแค้นเคืองให้กับคนหมู่มาก นายท่านป๋ายอย่างข้าเป็นคนทำก็จริงแต่กลับไม่ได้รับผลกระทบ ทว่าราชาผียักษ์นั้นต่างออกไป หากเป็นฝีมือเขา เกรงว่าคงมีแต่จะนำหายนะที่ยิ่งใหญ่มาสู่ตัว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็แหงนหน้าหัวเราะร่า

เขารู้สึกว่าตัวเองช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนัก แม้แต่วิธีเช่นนี้ก็ยังนึกออกมาได้ อดไม่ได้ที่จะลำพองใจพร้อมปลงอนิจจังไปด้วย

เพื่อให้แผนการสมบูรณ์แบบมากขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกรอบ

“แต่ว่าข้าก็ต้องป้องกันไว้ก่อน หากตาเฒ่าราชาผียักษ์ไม่ต้องการรักษาหน้า ปล่อยคนออกมาโดยตรง…นี่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หึหึ แต่ต่อให้ราชาผียักษ์ปล่อยตัวคน นายท่านป๋ายก็จะต้องให้เขาจ่ายค่าตอบแทนที่เจ็บปวดอย่างสุดแสน!” สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความฮึกเหิม ในสมองก็มีแต่ความคิดที่ว่าควรจะแก้แค้นเช่นไร ผ่านไปพักใหญ่ หลังจากที่ไล่เรียงแผนการอยู่ในสมองอย่างเป็นระเบียบแล้ว นัยน์ตาของเขาก็เผยความรอคอย

“ราชาผียักษ์ นี่จะโทษข้าไม่ได้นะ เจ้าเล่นงานข้าก่อน ก็อย่าโทษที่ข้าเล่นงานเจ้ากลับ และข้าผู้อาวุโสก็จะได้อาศัยโอกาสนี้ฝึกวิชากระดูกคงกระพันไปด้วยกันเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจลึกๆ อยู่หลายที สายตาฉายแววเด็ดเดี่ยว ต่อให้แผนการนี้ยังมีช่องโหว่ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่สนใจอีกแล้ว แค่วิธีหลักๆ ไม่เกิดปัญหาก็พอ

“แค้นนี้จะรอนานไม่ได้ ไปเดี๋ยวนี้เลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดร่างหนึ่งครั้งก็พุ่งตัวเข้าไปในหมอกควัน อาศัยปราณแห่งการอำพรางของหน้ากากทำให้ผีร้ายในหมอกควันมองไม่เห็นเขา เขาจึงสามารถโลดแล่นไปท่ามกลางหมอกควันได้อย่างเงียบเชียบรวดเร็วประดุจวิญญาณดวงหนึ่ง

กลางหมอกควันของกาหลอมวิญญาณมีผีร้ายอยู่เยอะมาก วิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนเกาะกลุ่มกันห้อทะยานไปมา เมื่อได้เห็นผีร้ายวิญญาณพยาบาทบินผ่านข้างกายไปอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่คอยหลบหลีกมาตลอดทางก็ใจหายใจคว่ำไปเหมือนกัน

ยิ่งได้เห็นว่าในจำนวนนั้นมีผีร้ายหลายตนที่มีเขางอกขึ้นมาบนหัว แม้ว่าร่างกายจะเป็นภาพมายา ทว่าบางครั้งกลับจำแลงมาเป็นร่างจริงที่จับต้องได้ นั่นก็ยิ่งทำให้เขาอึ้งตะลึง

“กาหลอมวิญญาณนี้แปลกประหลาด วิญญาณพยาบาทข้างในก็ยิ่งพิลึกพิลั่น!”

ผีร้ายและวิญญาณพยาบาทเหล่านี้ดุร้ายกว่าด้านนอกมากนัก อีกทั้งยังมีบางส่วนที่สามารถร่ายเวทลับเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ยามใดที่เจอคนตัวเป็นๆ ก็มักจะร้องคำรามแล้วกระโจนเข้าใส่ หากพวกมันขยับเข้าไปใกล้ พลังชีวิตของคนผู้นั้นก็จะสลัวราง และหากถูกพวกมันกระโจนทับร่างเมื่อใด ไฟแห่งชีวิตก็จะส่ายไหวอย่างรุนแรง

หากเปลี่ยนมาเป็นนักพรตของเขตทงเทียน เมื่อเผชิญหน้ากับวิญญาณพยาบาทเหล่านี้ต้องตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกแน่นอน ต่อให้เป็นพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในแดนทุรกันดารที่มีวิธีรับมือกับกระแสวิญญาณ หรือบางคนที่เป็นอาจารย์หลอมวิญญาณเองก็ตาม เมื่อต้องเผชิญกับผีร้ายที่ดุดันกว่าด้านนอกมากเป็นพิเศษเช่นนี้ พวกเขาก็ยังกริ่งเกรง หากเลี่ยงการปะทะซึ่งๆ หน้าได้ก็จะหลีกเลี่ยงทันที

พวกเขารู้ดีถึงความพิเศษในกาหลอมวิญญาณแห่งนี้ แม้ว่าจะเก็บเอาวิญญาณพยาบาทและผีร้ายที่อยู่ในนี้ไปได้ แต่กลับยากที่จะกำราบแล้วเอามาใช้งาน ดังนั้นหากเจอเมื่อใด ถ้าไม่กำจัดก็ต้องหลบเลี่ยง

ตอนนี้ภายใต้การโจมตีของผีร้ายและวิญญาณพยาบาท เหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ตามไล่ล่าป๋ายเสี่ยวฉุนจึงแยกกระจายกันไปนานแล้ว ต่างคนต่างสู้รบปรบมือกับผีร้าย บ้างก็คอยหลีกเลี่ยง บ้างก็ใช้วิธีของตัวเองตามหาป๋ายเสี่ยวฉุน

พอหาเจอพวกเขาก็จะร้องตะโกนเสียงดังให้ทุกคนร่วมมือกันสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนให้ได้!

“เจ้าป๋ายฮ่าวสมควรตาย หากเขาไม่ตาย พวกเราก็ไม่มีโอกาสได้ผลราชาผี!”

“เวลากระชั้นชิดนัก…” ทุกคนที่กระจายตัวกันออกไป แต่ละคนต่างก็มีไอสังหารตลบอบอวล ยามนี้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมยาวสีฟ้าสีหน้ามืดทะมึน เขากำลังห้อตะบึงไปท่ามกลางกลุ่มหมอก ด้านหลังของเขามีวิญญาณพยาบาทกลุ่มหนึ่งไล่กวดตามมาติดๆ ทว่าในด้านความเร็วกลับสู้ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้จึงทิ้งระยะห่างไปเรื่อยๆ

คนผู้นี้ก็คือเสี่ยวหลางเสิน เพราะมีตบะก่อกำเนิดช่วงท้าย นั่นจึงทำให้เขาที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกยังคงรักษาความเร็วได้ดังเดิม ขอแค่ไม่เจอกับกระแสวิญญาณที่มีขนาดใหญ่หรือเจอกับผีร้ายที่มีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ เขาก็ยังสามารถบุกตะลุยไปในหมอกควันแห่งนี้ได้อย่างกำเริบเสิบสาน

“เจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้หนีเร็วยิ่งนัก แต่ถูกพวกเราทุกคนตามหาเช่นนี้ ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะซ่อนตัวได้นาน!” เสี่ยวหลางเสินแค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ เขามากาหลอมวิญญาณครั้งนี้ เดิมคิดว่าจะอาศัยตบะของตัวเอง ต่อให้ไม่สามารถได้ผลราชาผีมาครอบครองด้วยตัวเองก็ยังได้ช่วยซื่อจื่อ พอเป็นเช่นนี้ เมื่อทำภารกิจที่ตระกูลมอบให้สำเร็จ กลับบ้านไปต้องได้รับรางวัลแน่นอน

ทว่าทั้งหมดนี้กลับถูกป๋ายฮ่าวทำลายจนพังยับเยิน การปรากฏของผนึกนั้นทำให้ทุกคนซึ่งรวมถึงเขาต่างก็เข้าใจว่าคราวนี้พวกตนถูกป๋ายฮ่าวปั่นหัวเข้าให้แล้ว คนผู้นี้ไม่ตายพวกเขาก็ไม่มีหวังว่าจะได้ผลราชาผีมาครอง

“แม้ว่าพวกเราไม่มีแค้นต่อกัน แต่เจ้าก็ต้องตายสถานเดียว!”

เสี่ยวหลางเสินหัวเราะเสียงเย็น เพิ่มความเร็วมากขึ้นทั้งยังแผ่อำนาจจิตออกไปตรวจสอบอย่างละเอียด เมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ขณะที่เสี่ยวหลางเสินกำลังทะยานไปข้างหน้า ในกลุ่มหมอกด้านหน้าของเขาก็พลันมีวิญญาณพยาบาทหลายตัวปรากฏขึ้นกะทันหัน พอวิญญาณพยาบาทเหล่านี้มองเห็นเสี่ยวหลางเสิน ดวงตาของพวกมันก็เผยแสงรุบรู่ดำมืดแล้วพุ่งเข้าใส่เขาทันที

เสี่ยวหลางเสินมองข้ามไปอย่างสิ้นเชิง เขาไม่เห็นวิญญาณพยาบาทหลายร้อยตัวนี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ความเร็วไม่เพียงไม่ลดน้อยลง กลับยิ่งเร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำ เขาเผ่นโผนแหวกไปกลางวงฝูงวิญญาณพยาบาท ทว่าขณะที่เขากำลังจะฝ่าออกไปได้นั้น เสี่ยวหลางเสินก็พลันหน้าเปลี่ยนสี ในใจเขาบังเกิดความรู้สึกถึงวิกฤตรุนแรง อีกทั้งตบะของเขายังเหมือนถูกลดทอนไปประมาณสามส่วน ตบะที่แผ่ออกมาจึงเกิดการติดขัดอย่างน่าประหลาด อีกทั้งการโคจรตบะยังเปลี่ยนมาเป็นเชื่องช้าอย่างยิ่ง

“ผิดปกติ!” ไม่มีเวลาให้คิดมาก เสี่ยวหลางเสินชะงักกึก กำลังจะถอยหลัง ทว่าวินาทีที่เท้าของเขาก้าวถอยนั้นเอง เสียงหัวเราะเย็นเยียบโอหังก็พลันดังก้องอยู่ข้างกายเขา

“สายไปแล้ว!” เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น เงาร่างหนึ่งก็พุ่งวูบมาถึงรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ เงาร่างนี้ก่อนหน้านั้นซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มของวิญญาณพยาบาท ไม่ว่าจะมองด้วยตาเปล่าหรือมองด้วยอำนาจจิตก็ล้วนไม่มีความต่าง ตอนนี้กลับโผล่ออกมาอย่างกะทันหัน พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าเสี่ยวหลางเซิง ยกมือขวาขึ้นอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง พลังกล้ามเนื้อผสานรวมกับตบะในร่างเหวี่ยงหมัดต่อยออกมา

วิกฤตคับขัน เสี่ยวหลางเสินคำรามกร้าว ระเบิดพลังแฝงออกมาอย่างไม่เสียดาย กำลังจะกลายร่างเป็นครึ่งคนครึ่งหมาป่า ทว่าการแปลงกายนี้ยังไม่ทันสิ้นสุด หมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับร่วงลงมาก่อนแล้ว

เสียงตูมดังสนั่นสะเทือนไปสี่ทิศก่อเกิดเป็นคลื่นการโจมตีที่ซัดตะลุยผลักวิญญาณพยาบาทรอบด้านกระเด็นลิ่วไปไกล ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ร่างของเสี่ยวหลางเสินสั่นเทิ้ม คิดจะหลบเลี่ยงแต่มิอาจทำได้ หมายจะโจมตีกลับก็ยากจะทำได้เช่นกัน ทำได้เพียงปล่อยให้หมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนกระแทกลงมาบนหน้าอกประดุจขุนเขาที่กดทับลงมา สัมผัสได้ถึงพละกำลังมหาศาลไร้คำบรรยายที่ตกกระทบลงบนร่างของตัวเองประหนึ่งการทำลายล้างทุกอย่างให้พินาศ ทำให้ในร่างของเขาบาดเจ็บสาหัส กระอักเลือดสายออกมาเป็นสายติดต่อกันหลายคำ ตบะในร่างแตกยับ เรือนกายที่มีเลือดเนื้อก็ยิ่งเหมือนจะระเบิด กระดูกหักหลายท่อน

“ป๋ายฮ่าว!!” เสี่ยวหลางเสินร้องโหยหวน หนังหัวชาหนึบ ตะลึงพรึงเพริดเกินจะเปรียบ หมัดเหี้ยมโหดที่พุ่งเข้ามาปานพายุบ้าคลั่งเช่นนี้ทำเอาเขางุนงงเพราะไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิต ในใจหวาดกลัวตะลึงลาน เลือดก็ยิ่งทะลักออกมาไม่หยุด ดูเหมือนว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้จะต่างไปจากก่อนหน้านั้น อีกฝ่ายแข็งแกร่งจนเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

เพียงแค่หมัดเดียว ร่างของเขาก็แทบจะแหลกสลาย บาดเจ็บสาหัส ดวงตาทั้งคู่พร่าเลือน ทารกก่อกำเนิดเกือบจะหลุดออกจากร่าง จิตวิญญาณแทบจะดับหาย หรือแม้แต่วิชาอภินิหารแปลงกายของเขาก็ยังถูกหมัดนี้ขัดจังหวะจนหยุดชะงักกลางคัน! ร่างถูกต่อยกระเด็นไปไกลร้อยจั้งราวว่าวที่สายป่านขาด

“ใครใช้ให้เจ้าแปลงกาย ก่อนหน้านี้เจ้าตีข้าอย่างเบิกบานใจมากใช่ไหม แปลงกายรึ ข้าต่อยก็เพราะเจ้าแปลงกายนี่แหละ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเสียงหึขึ้นจมูก เดินหนึ่งก้าวขยับไปร้อยจั้ง

“ป๋ายฮ่าวอยู่ตรงนี้…” เสี่ยวหลางเสินอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง สูญเสียพลังในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ รีบตะโกนดังขอความช่วยเหลือโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง ทว่ายังไม่ทันพูดจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับโบกมือขวาหนึ่งครั้ง ปิดผนึกร่างของเสี่ยวหลางเสินที่บาดเจ็บสาหัสในพริบตา ก่อนจะคว้าร่างอีกฝ่ายโยนไปไว้ในถุงเก็บของ ครั้นจึงหมุนกายห้อทะยานหายไปในหมอกควัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version