บทที่ 698 เวทลับราชวงศ์
ยามนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ทิ้งระยะห่างหายไปในกลุ่มหมอกอีกครั้ง
ซวี่ซานที่ตามมาข้างหลังไล่ตามมาเป็นครึ่งๆ วัน พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหนีไปได้อีกครั้ง นางก็กระทืบเท้าอย่างแรง
“ป๋ายฮ่าว ข้าต้องไล่ตามเจ้าให้ทัน เจ้าเป็นของข้า เป็นของข้า!!”
ข้างหูมีเสียงของซวี่ซานดังลอยมา ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยิ่งเพิ่มความเร็วมากกว่าเดิม พอนึกถึงท่าทางตามตื๊อไม่เลิกขององค์หญิงนครเทพจุติ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปวดหัวจี๊ด
“บนร่างผู้หญิงคนนี้มีหยกประดับ แล้วข้าจะตีกับนางได้อย่างไรเล่า…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ รู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก แต่กลับจนปัญญา ได้แต่หลีกเลี่ยงท่าเดียว แถมด้วยความกังวลว่าอีกฝ่ายจะตามมาทัน เขายังถึงกับวนอ้อมไปวงใหญ่ นั่นจึงทำให้เขาไปถึงจุดที่ตั้งของบุปผาราชาผีจากอีกทิศทางหนึ่ง
เวลานี้นอกม่านแสงตรงแอ่งบุปผาราชาผี กงซุนอี้นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนยอดเขาเตี้ยๆ แห่งหนึ่งเพียงลำพังคล้ายกำลังเข้าฌานให้ตัวเองอยู่ในสภาะพรั่งพร้อมถึงขีดสุด ดวงตาที่หลับลงนั้นมีปณิธานแห่งการต่อสู้ที่เหิมหาญลุกโชน ยิ่งเวลานานเข้า ปณิธานที่ว่านั้นก็ยิ่งแกร่งกร้าว
เขากำลังรอ เขาเชื่อว่าป๋ายฮ่าวต้องปรากฏตัวที่นี่แน่นอน
ห่างจากเขาไปไม่ไกลนัก องค์ชายรองและเฉินม่านเหยายืนอยู่ด้วยกัน
รอบกายพวกเขามีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจจากตระกูลผู้สูงศักดิ์สิบกว่าคน แต่ละคนสีหน้าไม่น่ามอง สำหรับการเดินทางมากาหลอมวิญญาณในครั้งนี้ พวกเขาล้วนรู้สึกย่ำแย่ถึงขีดสุด
เพราะไม่มีใครคาดคิดจริงๆ ว่าจะมีอุบัติเหตุใหญ่เทียมฟ้าอย่างป๋ายฮ่าวปรากฎขึ้น อันดับแรกก็ตราผนึกทางจิตวิญญาณที่ทำให้พวกเขารับมือไม่ถูก ตามมาด้วยความแข็งแกร่งของป๋ายฮ่าวที่ทำให้พวกเขาตระหนกตกใจ ห่างออกไปไกลพวกเขายังมองเห็นว่าคนสิบกว่าคนที่เหลืออยู่ล้วนไปรวมตัวรออยู่ตรงปากกาหลอมวิญญาณ เห็นได้ชัดว่ายอมแพ้แล้ว
อันที่จริงพวกเขาเองก็เคยคิดยอมแพ้ แต่กลับไม่เต็มใจนัก
ต่อให้รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่งมาก ทว่าในใจพวกเขาก็ยังมีความหวังว่าจะโชคดี เพราะอย่างไรซะ…ที่นี่ก็มีองค์ชายรองที่ก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ และยังมีกงซุนอี้ราชาชัยน้อยรุ่นนี้ที่เป็นอันดับหนึ่งไม่เป็นรองใคร และยังมีเฉินม่านเหยาที่เป็นลูกศิษย์ของต้าเทียนซือ หากสามคนนี้ร่วมมือกันก็อาจจะกำราบป๋ายฮ่าวได้
ความคิดนี้ลอยขึ้นกลางใจของทุกคนอย่างต่อเนื่อง พวกเขาคำนวณถึงผลได้ผลเสียพลางมองรอบด้านอย่างระแวงภัย
ดวงตาขององค์ชายรองเปล่งประกายวูบวาบ เขามีความคิดบางอย่าง ทั้งยังรู้สึกสนใจในตัวป๋ายฮ่าวอย่างมาก ในสายตาของเขา เรื่องราวในกาหลอมวิญญาณครั้งนี้ชัดเจนมากพออยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าป๋ายฮ่าวก็คือหมากที่ราชาผียักษ์สละทิ้งแล้ว…
“บางทีข้าอาจจะสามารถดึงคนผู้นี้ให้เข้าพวกด้วยได้…แต่ว่าคนผู้นี้ตบะสูงล้ำ ความภาคภูมิใจในตัวเองก็ย่อมสูงตามไปด้วย หากคิดจะดึงตัวเขาเป็นพวกก็จำเป็นต้องทำให้เขายอมศิโรราบเสียก่อน!” ขณะที่องค์ชายรองกำลังครุ่นคิด
เฉินม่านเหยาที่อยู่ด้านข้างกลับขมวดคิ้วแน่น ในสมองมีเงาร่างของป๋ายฮ่าวลอยขึ้นมา พยายามหาจุดคุ้นเคยบนร่างของคนผู้นี้ จากนั้นก็ขยายความคุ้นเคยนี้ให้เป็นวงกว้างไปเรื่อยๆ หมายจะหาเบาะแสให้เจอ
และขณะที่แต่ละคนมีความคิดแตกต่างกันออกไป ทันใดนั้นกงซุนอี้พลันเงยหน้าขึ้น องค์ชายรองและเฉินม่านเหยาก็มองตามไปทันทีเช่นกัน คนอื่นๆ พากันตกใจ สายตาทอดมองไปยังทิศไกล
สายตาของพวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าฟ้าดินที่ห่างไปไกล กลุ่มหมอกตรงนั้นกลิ้งซัดตลบ ก่อนที่เงาร่างหนึ่งจะทะยานเข้ามาตรงจุดนี้อย่างรวดเร็วพร้อมเสียงแหวกอากาศดังสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งลูกธนูที่พุ่งออกจากสาย
ผมยาวสยายของเงาร่างนั้น…ปลิวสะบัด อาภรณ์พัดกระพือไปตามลม นัยน์ตาฉายแสงคมกริบ ทั่วร่างคล้ายมีกลิ่นอายของความเผด็จการพวยพุ่งขึ้นอย่างยโสเย่อหยิ่ง
“ป๋ายฮ่าว!!”
“เขามาแล้ว!!” ทุกคนใจสั่นทันที ปณิธานแห่งการต่อสู้ในดวงตาของกงซุนอี้ระเบิดออกมา ทว่ากลับถูกฝืนระงับเอาไว้ เขายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น พอเหลือบตามองป๋ายเสี่ยวฉุนแวบหนึ่งก็หลับตาลงอีกครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าลมหายใจของเขาในเวลานี้เริ่มไม่มั่นคง แต่ไม่นานก็กลับคืนสู่ความสงบดังเดิม
“ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดศึกกับเขา…” กงซุนอี้กล่าวกับตัวเองในใจ เขากำลังรอ รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง ทั้งยังรอสั่งสมปณิธานในการต่อสู้ของตัวเองให้สูงขึ้นอีกครั้งจนถึงระดับที่สามารถระเบิดออกมาดั่งน้ำไหลเชี่ยวกราก
“ป๋ายฮ่าว เจ้าจะกลายมาเป็นหินขัดเกลาประสบการณ์ของข้า!!”
นอกบุปผาราชาผี เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง บรรยากาศก็ชะงักงันทันที นัยน์ตาขององค์ชายรองเปล่งแสงวาบ เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ความเร็วนั้นทำให้กลายเป็นภาพติดตาที่พุ่งฉิวเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
การขยับตัวของเขาครั้งนี้ทำให้พวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่อยู่รอบด้านฮึกเหิมรีบบินตามไปองค์ชายรองตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
มีเพียงกงซุนอี้และเฉินม่านเหยาเท่านั้นที่ไม่ได้ขยับตัว
แตกต่างไปจากกงซุนอี้ที่หลับตา
ดวงตาทั้งคู่ของเฉินม่านเหยาเปล่งแสงเจิดจ้า จ้องเขม็งไปที่เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายต้องการจะจดจำทุกการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนให้ขึ้นใจ
ภาพนี้ก็อยู่ในการจับตามองของคนสิบกว่าคนที่ห่างออกไปไกลตรงปากกาหลอมวิญญาณเช่นกัน แม้พวกเขาแต่ละคนจะแสดงท่าทีว่ายอมแพ้ ทว่าจริงๆ แล้วในใจยังมีความไม่ยินยอมหลงเหลืออยู่ ยามนี้จึงพากันหันมามอง
ขณะที่ทุกคนล้วนจับตามองอย่างไม่ละสายตา
บนนภากาศ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปะทะเข้ากับองค์ชายรองจนเสียงกัมปนาทกึกก้องสะท้อนไปทั้งฟ้าดิน
องค์ชายรองมีตบะก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ ยามนี้ตบะของเขาระเบิดออกมาทุกด้าน มือสองข้างที่ทำมุทราก็ยิ่งทำให้รอบกายของเขามีเงามายาเจ็ดร่างขนาดพอร้อยจั้งเยื้องกรายลงมาพร้อมเสียงอึกทึก
เงามายาทั้งเจ็ดร่างนี้ทุกร่างล้วนสวมชุดคลุมจักรพรรดิ สวมมงกุฎจักรพรรดิ ทั้งยังมีความกลิ่นอายของบรรพกาลอันเก่าแก่ระเบิดออกมาปิดผนึกสี่ทิศอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นที่ที่ถูกปิดผนึกกลายมาเป็นเขตพิเศษ ส่วนองค์ชายรองที่อยู่ในเขตพื้นที่แห่งนี้ก็มีพลังอำนาจของจักรพรรดิแผ่ออกมาจากบนร่างของเขาเช่นกัน!
ภายใต้พลังอำนาจนี้ ทุกครั้งที่เขาลงมือก็คล้ายจะแฝงเร้นไว้ด้วยการชักนำบางอย่าง ไม่ใช่คนฟ้า แต่คลับคล้ายคลับคลายว่าเหมือนคนฟ้าซึ่งสามารถชักนำฟ้าดินได้
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มังกรทองตัวหนึ่งจำแลงกายออกมาจากในร่างขององค์ชายร้อง มันร้องคำรามด้วยความเดือดดาลแล้วกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี วิชาอภินิหารขององค์ชายรองทำให้เขาตกใจอย่างมาก วิชาอภินิหารนี้มีความคล้ายคลึงกับหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ แต่หากว่ากันโดยแก่นแท้แล้วกลับไม่เหมือนกัน หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญของเขาคือการดึงเอาพลังในร่างที่ถูกบีบอัดมาค้ำประคองให้ระเบิดกำลังอย่างต่อเนื่อง แต่ขององค์ชายรองเห็นได้ชัดว่าอาศัยพลังจากภายนอก
โดยเฉพาะการชักนำพลังฟ้าดินเช่นนี้ทำให้เมื่อปะทะเข้ากับองค์ชายรอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองได้เห็นภาพมายาของชาวประชาจำนวนนับไม่ถ้วนในแดนทุรกันดารที่กำลังหมอบกราบจักรพรรดิขุย
และนี่ยังเป็นเพียงเรื่องรอง ที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึงได้มากที่สุดก็คือรูปปั้นเจ็ดรูปรอบกายเขานั้น ไม่ว่ารูปปั้นไหนก็ล้วนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนชาไปทั้งหนังศีรษะ แรงกดดันมหาศาล
ส่วนองค์ชายรองกลับอาศัยเวทอภินิหารนี้มาต้านทานหมัดหลายหมัดของตนได้!
“นี่มันวิชาอภินิหารอะไร!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังพรั่นพรึง ทุกคนที่อยู่รอบด้านกลับฮึกเหิมกันขึ้นมาโดยพลัน
“วิชาจักรพรรดิขุย นี่คือเวทลับของราชวงศ์!!”
“นานแล้วที่ไม่ได้เห็นเวทลับของราชวงศ์ ไม่เสียแรงที่องค์ชายรองถูกขนานนามว่าเป็นคนที่มีสิทธิ์ได้รับสืบทอดราชบัลลังก์มากที่สุดรองจากองค์ชายใหญ่!!”
เสียงกัมปนาทกลบทับเสียงแห่งความดีใจของทุกคนไว้จนมิด เพียงแค่การปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนกับองค์ชายรองก็ทำให้เสียงเกริกกร้องสะเทือนแก้วหูดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“แข็งแกร่งกว่าโจวหงไม่น้อย!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแน่วนิ่งเล็กน้อย เมื่อยกมือขวาขึ้น ทวนยาวสีดำที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบหกครั้งพลันปรากฏ
องค์ชายรองสีหน้าไม่น่ามอง ถอยห่างออกไปไกลเหมือนกัน เขาไม่ได้ดูสบายๆ อย่างที่เห็นภายนอกเลยสักนิด เมื่อครู่นี้ที่ลงมือเขาก็ค้นพบด้วยความตะลึงลานเช่นกันว่าตบะของตัวเองถูกข่มลงไปบางส่วน และที่ยิ่งทำให้เขาตกใจก็คือการโคจรตบะของเขาเป็นไปอย่างยากลำบาก หากไม่เพราะเขาคือก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือเขามีเวทลับของราชวงศ์นี้ หาไม่แล้วเกรงว่าการประมือกันเมื่อครู่นี้ตนต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน เวลานี้เลือดลมในร่างของเขาพลุ่งพล่าน เขากระอักเลือดออกมาจากปากอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัว ความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้อีกฝ่ายไม่ร่ายใช้หมัดอันเป็นท่าไม้ตายนั้นก็ยังคงทำให้เขากริ่งเกรงได้ถึงที่สุดอยู่ดี
“ป๋ายฮ่าวผู้นี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ขนาดข้าร่ายใช้เวทลับของราชวงศ์ เขาก็ยังข่มพลังของข้าได้…” เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเอาทวนยาวออกมา องค์ชายรองก็สูดลมหายใจเข้าลึก มือทั้งคู่พลันยกขึ้น ทันใดนั้นรูปปั้นทั้งเจ็ดรอบกายก็ล้วนเปล่งแสงสีเหลืองทองวูบวาบ ทำให้สี่ทิศถูกอาบไล้ไปด้วยสีทองอร่าม ขณะเดียวกันบนร่างของเขาก็มีมังกรทองสองตัวบินพรวดออกมาพร้อมร้องคำรามตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ทุกคนที่มองศึกระหว่างองค์ชายรองและป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฝีมือกินกันไม่ลง สายตาของแต่ละคนก็เปล่งแสงวูบวาบ ไม่นานก็มีหลายคนบินออกมาร่วมวงการต่อสู้ คนอื่นๆ พอลังเลอยู่ชั่วครู่ก็รีบลงมือล้อมโจมตีทันที พริบตาเดียวเวทลับอภินิหารห้าแสงสิบสีก็ล้วนกระแทกโครมออกมาพร้อมกัน
หรือแม้แต่คนสิบกว่าคนที่อยู่ตรงปากกาหลอมวิญญาณก็ยังเริ่มสองจิตสองใจ พอมองหน้ากันแล้วจึงทยอยกันบินออกมา เห็นได้ชัดว่าท่าทางยอมแพ้ก่อนหน้านี้หาด้วยเกิดจากความยินยอมพร้อมใจไม่ เมื่อเห็นโอกาสนี้ย่อมไม่ยอมปล่อยผ่าน
ป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตเห็นภาพนี้ในทันที ดวงตาของเขามีแสงเย็นเยียบวาบผ่าน รู้ว่าองค์ชายรองผู้นี้ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีรูปปั้นพวกนั้นอยู่ หากยังโรมรันพันตูกันต่อไปมีแต่จะยิ่งสร้างความรำคาญใจ
ทวนยาวในมือของเขาพลันเปล่งแสงวาบ กลับถูกเก็บลงไป เขามองเมินเวทอภินิหารจากรอบด้าน มือขวาที่กำเป็นหมัดต่อยโครมลงไปบนพื้นดินอย่างแรง
แผ่นดินสั่นไหว วินาทีที่หมัดนี้ต่อยลงไป พลังการอำพรางของหน้ากากบนใบหน้าเขาก็ระเบิดออกเต็มกำลัง ในใจพึมพำสองคำ!
“เขตแดน!”
พริบตานั้น รัศมีสี่ด้านแปดทิศที่มีป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นจุดศูนย์กลางก็พลันเกิดไอน้ำเข้มข้นลอยอวล ทำให้บริเวณโดยรอบคล้ายกลายมาเป็นบึงน้ำ ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้การอำพรางของหน้ากาก สิ่งที่ทุกคนเห็นจึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาสัมผัสไม่ได้ถึงการดำรงอยู่ของบึงน้ำ ที่สัมผัสได้มีเพียงกลิ่นอายความเหี้ยมโหดที่แผ่ออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น
วินาทีที่ความเหี้ยมอำมหิตนี้พุ่งทะยานเทียมฟ้า ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พึมพำอีกสองคำเบาๆ
“ธารา!”