Skip to content

A Will Eternal 72

บทที่ 72 ท่านอาจารย์มีกฎ

หลายวันต่อมา ในห้องหลอมยาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่มีเสียงดังครืนครัน ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวดเดินออกมา

“ฝึกหลอมยาระดับหนึ่งได้เชี่ยวชาญพอสมควรแล้ว แต่ยาระดับสอง ทำไมถึงได้ยากขนาดนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ หลายวันมานี้นอกจากฝึกบำเพ็ญตบะแล้วเขาก็หลอมยา พืชหญ้าในถุงผ้าก็ใช้หมดไปพอสมควรแล้ว เดิมทีคิดจะลองฝึกหลอมยาระดับสอง แต่กลับพบว่ามันยากกว่าหลายเท่า ต่อให้เป็นความประณีตละเอียดอ่อนของเขาก็ยังล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง

ทุกครั้งล้วนค้นพบปัญหาจำนวนมาก หลังจากพิชิตได้แล้ว ปัญหาที่มากกว่าเดิมก็ปรากฏขึ้น

ยามนี้เขาทอดถอนใจ เดินออกมาจากหอหลอมยา ขณะที่กำลังเงยหน้าก็มองเห็นทันทีว่าด้านนอกหอหลอมยามีคนไม่น้อยนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น คนเหล่านี้มากันกลุ่มละสาม กลุ่มละห้าคน มากสุดก็สิบกว่าคน อีกอย่างส่วนใหญ่ล้วนเป็นหญิงสาวอายุน้อยไม่คุ้นหน้าค่าตา

ผู้หญิงแต่ละคนรูปร่างแตกต่างกัน หน้าตางดงามดั่งมวลบุปผา ส่งเสียงเจื้อยแจ้วน่าฟัง พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาคู่งามก็เปล่งประกายทันที

พวกนางล้วนมากับผู้อาวุโส ผู้อาวุโสเหล่านี้พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตกตะลึงระคนดีใจเช่นกัน รีบลุกขึ้นยืน คนทั้งกลุ่มกรูเกรียวเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

“หยุดนะ พวกเจ้า…คิดจะทำอะไรกัน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง งุนงงกับสถานการณ์เล็กน้อย ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว

“สหายนักพรตป๋าย ข้าคือจ้าวเทียนไห่ จ้าวอี้ตัวคือหลานของข้า ฮ่าๆ สหายนักพรตป๋ายอายุน้อยเป็นวีรบุรุษ สมแล้วที่เป็นคนมีพรสวรรค์!”

“สหายนักพรตป๋ายคือมังกรในฝูงชน สง่างามห้าวหาญไม่ธรรมดา แค่มองก็รู้ว่าคือคุนเผิง[1]ท่ามกลางเมฆา อนาคตไร้ขอบเขต ฮะแฮ่ม ข้าคือซุนอวิ๋นซาน คนเหล่านี้ล้วนเป็นหญิงสาวในตระกูลซุนของข้า ข้างกายสหายนักพรตป๋ายขาดหญิงรับใช้คอยปรนนิบัติหรือเปล่า?”

“สหายนักพรตป๋าย ข้าคือโจวเทียน แค่ข้าเห็นสหายนักพรตป๋ายก็สัมผัสถึงกลิ่นอายวีรบุรุษที่เข้ามาปะทะหน้า เหมือนดั่งเห็นผู้พิชิตโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของฝั่งตะวันออกในอนาคต พวกเราเจอกันก็เหมือนเจอสหายเก่า เจ้าว่าหญิงสาวเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายข้าเป็นไงบ้างล่ะ พวกนางทุกคนล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลโจวเรา…”

น้ำเสียงนับไม่ถ้วนแย่งกันพูดจนฟังไม่ทัน ป๋ายเสี่ยวฉุนตาเหลือก ถอยหลังไปอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้เข้าใจ คนเหล่านี้ล้วนพาหญิงสาวในตระกูลมาเสนอตัว…

เขาไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไร เห็นว่าหญิงสาวเหล่านี้แต่ละคนหน้าตาหมดจดงดงาม โดยเฉพาะยังมีหลายคนที่สอดคล้องกับรสนิยมความงามของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้แต่ละคนมาเสนอตัวให้ตนเปล่าๆ ถึงที่ ด้วยท่าทางเหมือนว่าหากตนไม่ยอมรับ ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงระวังตัวขึ้นมาทันที

แต่เขาเป็นคนไหลลื่น เวลานี้จึงไม่เผยความคิดที่อยู่ในใจ ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ พูดคุยกับคนรับผิดชอบของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรด้วยรอยยิ้มบางๆ อยู่สองสามประโยคก็รีบขอตัวกลับ

ยังไม่ทันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะกลับถึงที่พัก ตลอดทางก็เจอกับคนไม่น้อยที่เห็นได้ชัดว่ามาดักรอเขากลางทาง ทุกคนล้วนพูดจาไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก เอาหญิงสาวในตระกูลมาส่ง เอาทรัพยากรมาให้ เอาสิ่งดีๆ เหลือคณานับมามอบให้

‘เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น!! หรือพวกเขาตรวจสอบเจอว่าบรรพบุรุษของข้าเป็นเซียนฝีมือสุดยอดอะไร? หรือว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ข้า…ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เป็นคนที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่เช่นกัน? สวรรค์ เรื่องนี้ข้าไม่เห็นรู้เลย!’ ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มตะลึงอยู่ใจ คิดสะระตะไปตลอดทางที่ห้อทะยานกลับมา พอกลับมาถึงที่พักก็เจอคนตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรอีกกลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้อีก แต่ละคนล้วนเผยสีหน้าคาดหวัง ราวกับว่าขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้า จะให้ทำอะไรก็ได้หมด!

โดยเฉพาะผู้หญิงเหล่านั้น แต่ละพากันมาเบียดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน ส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้แก่กันและกัน เจ้าผลักข้า ข้าก็ผลักเจ้า

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่หนังหัวชาหนึบ ถูกเบียดอยู่ตรงกลาง รอบด้านไม่ว่าสัมผัสไปตรงไหนล้วนนุ่มนิ่มไปหมด รู้สึกถึงขั้นที่ว่าเสื้อผ้าของตนเองยังถูกดึงกระชากไปด้วย ขณะที่กำลังอกสั่นขวัญแขวน เสียงฮึดฮัดเย็นๆ เสียงหนึ่งก็ดังลอยมา เห็นเพียงแค่ว่าโหวเสี่ยวเม่ยกำลังเดินมาข้างหน้า ถลึงตา แก้มพองลม กระชากหญิงสาวผู้หนึ่งออก

“หลีกไป หลีกไป!”

“พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ ที่นี่คือเขาเซียงอวิ๋นแห่งสำนักธาราเทพ ป้าๆ น้าๆ อย่างพวกเจ้ารู้จักสำรวมกันบ้างไหม หลีกไปให้หมด เจ้าก็อีกคน ผอมแห้งไม่ต่างอะไรกับเต้าหู้แบน มายุ่งวุ่นวายอะไรกับเขาด้วย แล้วก็เจ้า อ้วนอย่างกับแม่หมู หลีกไป!!” น้ำเสียงของโหวเสี่ยวเม่ยแฝงไว้ด้วยความโกรธ เดินเข้ามาผลักหญิงสาวทุกคนที่ล้อมอยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน

นางกำลังอารมณ์ดุเดือด แม้ร่างจะเล็กบาง แต่เหมือนมีพละกำลังมหาศาล ท่ามกลางการปะทะนี้ ผู้หญิงเหล่านั้นไม่ยอมขึ้นมาทันที พากันเอ่ยปากโต้เถียงบ้าง มือสองข้างของโหวเสี่ยวเม่ยเท้าเอวหมับ ท่าทางเหมือนพริกขี้หนูเม็ดเล็ก ปากเอ่ยวาจาเผ็ดร้อน แต่ละคำตรงเข้าจู่โจมจุดสำคัญ

ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบคว้าโอกาสหนีเข้าไปในบ้าน พอก้มหน้ามองก็พลันพบว่าเสื้อผ้าของเขาหลุดลุ่ยออก

“น่ากลัวจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือก ขณะที่มองไปนอกประตูในใจก็ยังหวาดผวาไม่หาย โหวเสี่ยวเม่ยยืนอยู่ตรงหน้าประตู ปะทะฝีปากกับคนหลายสิบคน

ท้ายที่สุด คนรับผิดชอบของตระกูลบำเพ็ญเพียรเหล่านั้นทนมองไม่ไหวอีกต่อไป จึงพากันเกลี้ยกล่อมและจากไป ก่อนจากไปยังหันมากำมือประสานให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน บอกว่าวันหน้าจะมาเยี่ยมเยียนใหม่

จนกระทั่งถึงช่วงสายัณห์ นอกประตูถึงได้สงบลง และเมื่อมองออกไปไกลก็ยังคงมีคนจากตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยที่มานั่งขัดสมาธิเฝ้าอยู่ตรงนั้น

ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่มาถึงที่แห่งนี้ ต่างล้วนมีวิธีการของตัวเองให้สามารถอยู่ที่นี่ได้โดยไม่มีคนมาไล่

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เห็นว่าด้านนอกเงียบสงบลงแล้วจึงดึงโหวเสี่ยวเม่ยเข้ามาข้างใน

สำหรับคนนอก โหวเสี่ยวเม่ยร้ายกาจเกินจะเปรียบ แต่ยามนี้พอถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดึงแขน หน้าก็แดงโดยพลัน รู้สึกเพียงแค่ว่าสมองเล็กๆ มึนงงอื้ออึง ปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนดึงมาอยู่ข้างกายตามอำเภอใจอย่างว่าง่ายสุดๆ

“พี่…พี่เสี่ยวฉุน ที่นี่คนเยอะ ท่านจะทำอะไรน่ะ…” โหวเสี่ยวเม่ยพูดเสียงเบา น้ำเสียงหงุงหงิงราวกับยุง

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน เห็นท่าทางเช่นนี้ของโหวเสี่ยวเม่ยก็ให้แปลกใจขึ้นมาทันที แตะใบหน้าของโหวเสี่ยวเม่ย เห็นว่าโหวเสี่ยวเม่ยยังดูไม่ค่อยปกตินัก จึงแตะดูอีกครั้ง

“เจ้าเป็นอะไรไป?”

โหวเสี่ยวเม่ยตกใจคืนสติ อับอายจนต้องกระทืบเท้า รู้ว่าเมื่อครู่ตนเข้าใจผิดไป จึงโยนแผ่นหยกหนึ่งชิ้นให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก้มหน้ารีบวิ่งออกไป

เห็นว่าโหวเสี่ยวเม่ยวิ่งหนีไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่คลายสงสัย มองไปยังแผ่นหยักที่โหวเสี่ยวเม่ยทิ้งเอาไว้ หลังจากใช้พลังวิญญาณกวาดผ่านดวงตาก็พลันเบิกกว้าง เขาอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เขายืนอยู่ในบ้าน สูดลมหายใจเฮือก

“ตระกูลผู้ทรงเกียรติ…”

แผ่นหยกนี้โหวอวิ๋นเฟยเป็นผู้ให้โหวเสี่ยวเม่ยนำมามอบให้ มีบางคำพูด เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเอ่ยปากเช่นไร ดังนั้นจึงอธิบายสาเหตุและผลลัพธ์ ความล่อใจเกี่ยวกับฐานะลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติของป๋ายเสี่ยวฉุนออกมาหมด สุดท้ายยังแอบเอ่ยถึงว่าตระกูลโหวของพวกเขาเองก็มีความปรารถนาสูงสุดต่อสายเลือดรุ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน หวังว่า…คนรุ่นหลังผู้นี้ จะมีสายเลือดของตระกูลโหวครึ่งหนึ่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงท่าทางเมื่อครู่ของโหวเสี่ยวเม่ย ดังนั้นจึงลูบคางตัวเอง ดวงตาค่อยๆ เปล่งประกายออกมา ความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ตัวโหวเสี่ยวเม่ย แต่คิดว่าเรื่องนี้สำหรับตนเองแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก!

“นึกไม่ถึงเลย…เดิมทีข้านึกว่าความดีความชอบครั้งนี้ล้วนไม่มีของรางวัลแล้ว มีเพียงฐานะศิษย์น้องเจ้าสำนักเท่านั้นที่ทำให้ข้าอยู่เหนือผู้อื่นในสำนักได้ นึกไม่ถึงว่าฐานะลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติที่ไม่เคยให้ความสนใจ เมื่ออยู่นอกสำนักจะสูงส่งไร้เทียมทานถึงเพียงนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก ใจเต้นตึกตัก

“คู่บำเพ็ญเพียรเลือกได้ตามใจชอบ ทรัพยากรมีประเคนให้หมด…ชีวิตอมตะมีหวังแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะคิกคัก ประกายในดวงตาทั้งคู่ยิ่งสว่างไสว เดิมทีเขากำลังกังวลว่าการหลอมยาวิเศษระดับสองมีค่าใช้จ่ายเยอะเกินไป ด้วยกำลังของตัวเองนั้นไม่อาจรับไหว ตอนนี้เห็นว่ามีคนมากมายแย่งกันเสนอทั้งคนทั้งสิ่งของให้ขนาดนี้

“น่าเสียดาย หากได้ทั้งหมดก็ดีน่ะสิ…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังก้มหน้าพึมพำ ทันใดนั้นสมองของเขาก็มีประกายแสงเปล่งวาบ

“ใช่แล้ว แล้วทำไมถึงไม่เอาทั้งหมดเลยล่ะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมแห้งๆ หนึ่งที กลับเข้าไปในห้อง ตลอดคืนเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องนี้จนไม่ได้พักผ่อน เช้าตรู่วันต่อมา เขารีบลุกขึ้นจากที่นอนอย่างกระฉับกระเฉง ขณะที่เปิดประตูลานบ้านออก นอกประตูก็มีคนของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรมารออยู่นานแล้ว

“สหายนักพรตป๋าย…”

“คารวะสหายนักพรตป๋าย ข้าน้อยมาเยี่ยมเยียนในนามของผู้อาวุโสประจำตระกูล…”

ทุกคนเอ่ยปาก น้ำเสียงเหลือจะนับดังขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคาง สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง

“เอาล่ะ เข้ามาทีละตระกูล มีเรื่องอะไร พวกเราสามารถคุยกันได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากยิ้มแป้น ชี้นิ้วเลือกมั่วๆ มาตระกูลหนึ่ง คนรับผิดชอบของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นตะลึงระคนดีใจขึ้นมาทันที รีบพาหญิงสาวของตระกูลเข้าไปข้างใน

ไม่นานนัก เขาก็พาหญิงสาวของตระกูลเหล่านั้นออกมา ก่อนจากไปสีหน้ากังวลถึงผลได้ผลเสีย คนตระกูลอื่นๆ รอบด้านที่มองอยู่ล้วนเป็นกังวล ดังนั้นแต่ละคนจึงรีบส่งข่าวกลับตระกูลทันที

และก็มีอีกตระกูลหนึ่งเข้าไป เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็หมดไปหนึ่งวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนพบปะกับคนตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรหลายสิบตระกูลรวดเดียว

เขาไม่ต้องการผู้หญิงสักคนเดียว และก็ไม่ปฏิเสธตระกูลใดๆ ด้วย เอาแต่พูดว่าตนเองต้องใช้เวลาคิดพิจารณา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป เขาต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ส่วนของขวัญติดไม้ติดมือยามมาเจอกันเหล่านั้น เขาก็ปฏิเสธไปหมด

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเดินตรง นั่งก็ตรง ในเมื่อไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเชื่อมสัมพันธ์เกี่ยวดองกับตระกูลของท่านหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นของขวัญนี้ ข้าก็รับไว้ไม่ได้จริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากเช่นนี้กับทุกตระกูลที่มาเยี่ยมเยียน

ยิ่งเขาพูดเช่นนี้ก็ยิ่งไม่มีตระกูลไหนเขลาเสียจนเอาของขวัญเยี่ยมเยียนกลับไปจริงๆ ดังนั้นต่างฝ่ายต่างเกรงอกเกรงใจกัน จนกระทั่งเอ่ยปากว่าต่อให้ไม่ได้เกี่ยวดองกัน ก็ยังเป็นมิตรกันได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้รับมาด้วยท่าทางลำบากใจยิ่งนัก

คนตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ และก็ดูออกว่าการไตร่ตรองที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดถึง ในความเป็นจริงแล้วก็เพื่อรอจนได้เจอกับทุกตระกูลแล้วค่อยเลือกตระกูลที่เหมาะสมที่สุด

แต่เรื่องนี้ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้า พวกเขาไม่กลัวเรื่องต้องมอบของขวัญ กลัวก็แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่มีความคิดอยากเลือกคู่บำเพ็ญเพียรมากกว่า ดังนั้นวันต่อมา ผู้ที่มาเยือนไม่เพียงไม่น้อยลง กลับยังเพิ่มมากขึ้น ถึงกระทั่งที่ว่ามีตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยล้วนเสนอว่าหญิงสาวตระกูลตัวเองไม่จำเป็นต้องเป็นคู่บำเพ็ญเพียรเสมอไป ต่อให้เป็นหญิงรับใช้อุ่นเตียงก็ได้ ขอแค่มีสายเลือดและให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยอมรับก็พอ

และตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่มาเยี่ยมเยียนป๋ายเสี่ยวฉุนเหล่านี้ แต่ละคนมอบของขวัญเยี่ยมเยียนสูงค่าขึ้นเรื่อยๆ ของขวัญแต่ละชิ้นนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนรับมาด้วยความอกสั่นขวัญหาย พอถึงท้ายที่สุด ต่อให้เขาอยากจะปฏิเสธ อีกฝ่ายก็คิดไปแล้วว่าเขาดูถูกตระกูลตัวเอง

“ก็ได้ ข้ารับ…ข้ารับก็ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนรับของขวัญติดต่อกันเจ็ดแปดวันจนตัวเองยังเคยชินแล้วว่าทุกวันตอนเช้า พอเปิดประตูมาต้องเจอภาพคนกลุ่มหนึ่งรออยู่ด้านนอก

จนกระทั่งผ่านไปอีกสามวัน เช้าตรู่มาถึง ยามป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดประตูออก ตัวเขาเองก็ยังอึ้งงันไป นอกประตูไม่มีคนอยู่แม้แต่คนเดียว…หายไปหมดเกลี้ยง เมื่อเงยหน้ามองไปไกลก็เช่นกัน

ที่ห่างออกไปไกลมีเพียงนกฟ่งเหนี่ยวห้าสีสี่ห้าตัวบินวนอย่างสง่างามอยู่ตรงนั้น นกฟ่งเหนี่ยวเหล่านี้เป็นสัตว์เลี้ยงที่ผู้เฒ่าโจวรักมาก วันธรรมดามักจะบินรอบเขาเซียงอวิ๋น โดยเฉพาะช่วงเช้าตรู่จะบินร่ายระบำกันเป็นกลุ่ม สวยงามมาก ลูกศิษย์ไม่น้อยพอได้เห็นแล้วก็ล้วนอิจฉา

ป๋ายเสี่ยวฉุนขยี้ตา รู้สึกว่าน่าจะเป็นเพราะวิธีเปิดประตูของตนไม่ถูกต้อง ดังนั้นจึงเปิดอีกที แต่ก็ยังเป็นเช่นเดิม เขาถึงได้ตกใจฟื้นคืนสติ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ รีบเดินไปหาโหวอวิ๋นเฟยเพื่อสืบข่าว และก็ได้คำตอบ

“เมื่อคืนวานท่านเจ้าสำนักประกาศคำสั่งออกมา ในฐานะที่เขาเป็นศิษย์พี่ของเจ้า จึงแจ้งตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมด…บอกว่าท่านอาจารย์ของเจ้ามีกฎว่า ภายในหนึ่งร้อยปี ห้ามเลือกคู่บำเพ็ญตน ดังนั้น…ทุกคนต่างก็จนใจ ทำได้เพียงจากไป” โหวอวิ๋นเฟยถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง มองป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไป ในใจรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่งนัก

“แบบนี้มันตัดเส้นทางรวย ทำลายบุพเพสันนิวาสของข้าชัดๆ…”

โหวอวิ๋นเฟยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ต่อมาเหมือนนึกอะไรออก สีหน้าพลันเคร่งขรึม เอ่ยปากเนิบช้า

“เสี่ยวฉุน ข้าได้ยินสหายที่เขาชิงเฟิงเล่าว่า เจ้ากับซ่างกวานเทียนโย่วเกิดขัดแย้งกัน? เฉียนต้าจินผู้นั้นไม่เท่าไหร่ สำนักเองก็แอบจัดการอย่างเงียบๆ ไปแล้ว แต่ซ่างกวานเทียนโย่วไม่ธรรมดานะ!”

“มีอะไรไม่ธรรมดา? เขาอาวุโสกว่าข้าเหรอ?”

โหวอวิ๋นเฟยลังเลเล็กน้อยจึงเอ่ยปากต่อ

“ซ่างกวานเทียนโย่วผู้นี้มีความมุ่งมาดปรารถนาแรงกล้า เป้าหมายคือได้อยู่ในอันดับผู้สืบทอดที่เป็นตำนาน ดังนั้นจึงคอยข่มตบะเอาไว้ตลอดมาไม่ยอมฝ่าทะลุขั้น ต้องการรอคอยให้ถึงการทดสอบประลองใหญ่ของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจซึ่งมีพลังรวมลมปราณขั้นแปดของชายฝั่งเหนือใต้ที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษระหว่างฝ่ายในและฝ่ายนอก ใช้ตัวตนของผู้ครองอันดับหนึ่งเข้าเป็นฝ่ายใน เพื่อให้มีหวังได้เป็นหนึ่งในลำดับผู้สืบทอดของวันหน้า มิเช่นนั้นเขาก็คงบำเพ็ญรวมลมปราณขั้นแปดต่อไปซึ่งสามารถยื่นเรื่องขอทดสอบเลื่อนเป็นฝ่ายในนานแล้ว เพราะยังไงซะเมื่อถึงรวมลมปราณขั้นแปด ส่วนใหญ่ก็จะสามารถทดสอบกลายเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในได้สำเร็จ”

“ทำไมถึงอยากเป็นลำดับผู้สืบทอดกันหมดเลย? ข้าได้ยินสวีเป่าไฉเล่าว่า โจวซินฉี หลู่เทียนเหล่ย ก็เสาะแสวงหาสิ่งนี้เช่นกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไป

“ลำดับผู้สืบทอดแม้จะระดับเท่าเทียมกับศิษย์ผู้ทรงเกียรติของเจ้า แต่กลับเป็นอีกหนึ่งระบบของสำนักธาราเทพ สำนักธาราเทพแตกต่างไปจากสำนักอื่น มีสองระบบ ระบบแรกคือจัดการปกปักษ์สำนัก ส่วนอีกระบบคือสะสมความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับตำแหน่งในสำนักให้สูงขึ้น!

พลังรวมลมปราณต่ำกว่าขั้นสามคือนักการ รวมลมปราณขั้นแปดลงไปคือศิษย์ฝ่ายนอก พอถึงการรวมลมปรามณขั้นแปดสามารถขอทดสอบกับฝ่ายใน เมื่อสำเร็จก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นลูกศิษย์ฝ่ายใน

หากไปถึงขั้นสร้างฐานราก…ก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานราก ถึงขั้นมีความหวังได้เป็นผู้นำของแต่ละยอดเขา หากหลังจาก 120 ปีสามารถฝ่าทะลุขั้นกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งของขั้นยาอายุวัฒนะ ก็จะเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างของสำนัก พิทักษ์สำนัก จัดการดูแลสำนัก และสิ่งเหล่านี้ก็คือระบบอย่างแรก

ยังมีระบบอย่างที่สอง นั่นก็คือลำดับผู้สืบทอด!

วิธีเข้าสู่ลำดับผู้สืบทอดมีเพียงอย่างเดียว…ภายใน 120 ปีฝ่าทะลุถึงขั้นยาอายุวัฒนะได้สำเร็จ ก็สามารถเป็นหนึ่งในนั้น อยู่เหนือล้ำเกินผู้ใด เป็นเส้นสนกลในแท้จริงที่ทำให้ได้รับทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น เพื่อสะสมจนสามารถฝ่าทะลุตำแหน่งในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของตัวเองได้! …หากคว้าอันดับหนึ่งจากการประลองศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ก็จะยิ่งช่วยให้ติดลำดับผู้สืบทอดในวันหน้าได้ง่ายขึ้น รายละเอียดกว่านี้ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ว่านี่คือกฎของสำนัก!

เพียงแต่กลายเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นยาอายุวัฒนะภายใน 120 ปี ช่างยากเย็นเหลือแสน…ในกลุ่มคนรุ่นก่อน ผู้ที่มีหวังมากที่สุดก็คือท่านผู้นำหลี่ หลี่ชิงโหว ดังนั้นท่านผู้อาวุโสจึงได้รับความสำคัญจากสำนักอย่างถึงที่สุด!” นัยน์ตาโหวอวิ๋นเฟยเผยความคาดหวัง บอกข้อมูลทั้งหมดที่เขารู้ในฐานะที่เป็นคนของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทราบ

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับลำดับผู้สืบทอด คำพูดประโยคนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจสำนักชัดแจ้งขึ้นมา ครู่ใหญ่ผ่านไป ตอนที่จากมาเขาก็ยังคงครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้

“ลำดับผู้สืบทอด?”

————-

[1] คุนเผิง (鲲鹏)คือปลาที่กลายเป็นนกในปรัชญาของจวงจื่อ แสดงถึงปณิธานและปรารถนาของสามัญชน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version