บทที่ 73 ใครเป็นคนทำ!
ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจด้วยความหดหู่ขณะออกจากที่พักของโหวอวิ๋นเฟย กลับมายังที่พักของตัวเอง เขามองไปที่ท้องฟ้า มองไปยังพื้นดิน ตอนแรกคิดถึงลำดับผู้สืบทอด ตอนหลังก็คิดถึงตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นขึ้นมาอีก รู้สึกว่าศิษย์พี่เจ้าสำนักช่างเผด็จการนัก แต่พอมาคิดในมุมกลับ…ดูเหมือนว่าพอเป็นเช่นนี้ แม้ว่าตนจะไม่ได้รับของขวัญอีก แต่ของที่รับมาแล้วก็ไม่ต้องส่งคืนไป
‘ใช่สิ เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้นี่นา เป็นคำสั่งของศิษย์พี่เจ้าสำนักต่างหาก!’ ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง จัดการกับของขวัญที่ตนเองรับเอามาเมื่อหลายวันก่อนเสร็จ ก็เอาลงเขาไปแลกพืชหญ้าจำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการหลอมยาวิเศษระดับสอง จากนั้นกลับมายังหอหลอมยา เริ่มฝึกบำเพ็ญตบะและหลอมยาต่อไป
ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับป๋ายเสี่ยวฉุนและตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้น เดิมทีเจิ้งหย่วนตงไม่ได้อยากจะออกหน้า แต่เขาถูกทำให้หวาดหวั่นเข้าจริงๆ ศิษย์ผู้ทรงเกียรติเก้าคนก่อนหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนถูกแต่งตั้งตำแหน่งตามหลังทั้งสิ้น ทุกคนสู้รบจนตัวตายอย่างแท้จริง และก็ล้วนเป็นคนของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร ต่อให้ไม่มีลูกหลาน แต่ก็มีญาติร่วมตระกูลหลงเหลืออยู่ ดังนั้นจึงไม่เกิดปัญหาอย่างทุกวันนี้ ได้กลายเป็นตระกูลผู้ทรงเกียรติอย่างถูกจังหวะและขั้นตอน
และสำหรับตระกูลเหล่านี้ สำนักเองก็ให้การปกป้องคุ้มครอง และปลูกฝังอย่างเต็มกำลัง
แต่ตอนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นศิษย์ผู้ทรงเกียรติที่ยังมีชีวิตอยู่ ความน่ากลัวของสถานะนี้แรกเริ่มยังไม่ปรากฏออกมา แต่พอข่าวกระจายออกไปครึ่งปี หลายคนซึ่งรวมเจิ้งหย่วนตงเองล้วนมองข้ามฐานะหน่ออ่อนผู้ทรงเกียรติที่ยังมีชีวิตอยู่ อันเป็นสิ่งเย้ายวนล่อลวงใจอย่างยิ่งต่อตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นไป
ตอนที่ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรมากมายสุดจะนับมาเยือน เจิ้งหย่วนตงก็ทำเพียงมองอยู่ห่างๆ เท่านั้น ในสายตาเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเลือกตระกูลใดย่อมได้ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า ภายใต้สถานการณ์ที่คนมากล้นเกินความต้องการ ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นจะถึงขั้นยอมให้หญิงสาวในตระกูลมาเป็นสาวรับใช้ ขอแค่มีเลือดเนื้อเชื้อไขสักคนก็เพียงพอ
เขาสามารถนึกภาพออกว่า หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่หนักแน่นพอจนรับปากไป ถ้าเช่นนั้น…เวลาแค่ไม่กี่ปี ไม่แน่ว่าอาจมีสายเลือดรุ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏขึ้นมาอีกหลายร้อยก็เป็นได้ ตามกฎของสำนัก สายเลือดรุ่นแรกทุกคนของศิษย์ผู้ทรงเกียรติล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายในของสำนัก อีกทั้งสำนักยังต้องดูแลพวกเขาทุกคนอย่างเต็มกำลัง และ…ที่ตามมาคือ เมื่อคนหลายร้อยนี้ขยายเผ่าพันธุ์มีลูกมีหลานกันอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีตระกูลผู้ทรงเกียรติเกิดขึ้นอีกหลายร้อยตระกูล กลัวก็แต่ว่าอีกไม่กี่ร้อยปีให้หลัง สำนักธาราเทพจะสิ้นเนื้อประดาตัว…ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ยิ่งร้ายแรงนัก
อีกอย่าง…ป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีชีวิตอยู่ ขอแค่เขาผลิตลูกหลานรุ่นต่อไปของตัวเองไม่หยุด ถ้าเช่นนั้นก็จะไม่มีทางยุติฝันร้ายสำหรับสำนักครั้งนี้ได้อีกตลอดกาล
เพื่อเรื่องนี้ เจิ้งหย่วนถึงกับต้องเรียกประชุมผู้อาวุโสตลอดทั้งคืน ยังถึงขั้นต้องรายงานให้กับผู้อาวุโสไท่ซ่างทราบอีกด้วย ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าภายในหนึ่งร้อยปี ป๋ายเสี่ยวฉุนห้ามมีคู่บำเพ็ญตนใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องนี้แม้จะดูเผด็จการ แต่เจิ้งหย่วนตงก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว เขาไม่กล้าเดิมพันกับความหนักแน่นของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำได้เพียงรอว่าเมื่อผ่านไปหนึ่งร้อยปี ป๋ายเสี่ยวฉุนเติบโตขึ้นแล้วจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เวลาผันผ่าน หนึ่งปีผ่านไป
หนึ่งปีมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะหายตัวไปจากชายฝั่งทิศใต้ น้อยครั้งนักที่จะมีคนพบเจอเขา เวลาทั้งหมดของเขาล้วนหมดไปกับการหลอมยาและบำเพ็ญตบะ ตั้งใจเด็ดเดี่ยวอยู่กับการหลอมยาระดับสองโดยไม่คิดถึงอะไรทั้งสิ้น
ตบะของเขาเองก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นสูง มาถึงระดับกลางของการรวมลมปราณขั้นเจ็ดโดยไม่รู้ตัว และภายใต้ความพยายามอย่างยากลำบากนี้ของเขา ปัญหาข้อแล้วข้อเล่าของการหลอมยาวิเศษระดับสองก็ค่อยๆ ถูกเขาแก้ไขไปได้ทีละข้อ
ในความเป็นจริงแล้วยาที่เขาหลอมออกมา หากเปลี่ยนเป็นศิษย์โอสถคนอื่นคงคิดว่าตัวเองสามารถหลอมยาระดับสองออกมาได้นานแล้ว แต่ตัวเขากลับยึดมั่นถือมั่นมากจนเกินไป หากแก้ปัญหาทั้งหมดไม่ได้ ก็ไม่มีทางหลอมเตาต่อไปเด็ดขาด
สุดท้าย วันนี้หลังจากผ่านมาหนึ่งปี เขารู้สึกว่านอกเสียจากปัญหาของยาระดับสองที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่างกันแล้ว บนพื้นฐานของการหลอมยาวิเศษระดับสองก็ไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว จึงเริ่มหลอมเตาหนึ่งในที่สุด
“ยาลมปราณม่วงเพิ่มพลัง!” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนมีเส้นเลือดฝอยปรากฏ ยาระดับสองนี้เหมาะสำหรับพลังรวมลมปราณขั้นแปดลงไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้พอดี ยามนี้จึงหยิบเอาพืชหญ้าแต่ละชนิดออกมาจัดการด้วยความคล่องมือ โยนลงไปในเตาหลอมอย่างต่อเนื่อง
ควบคุมไฟพลางสังเกตเตาหลอมยาไปด้วย พลังวิญญาณลอยออกมาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งสามชั่วยามผ่านไป เตาทั้งเตาพลันสั่นสะเทือน กลิ่นหอมของยาระลอกหนึ่งแผ่กระจายออกมา ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย รีบลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างเตาหลอม ตบลงไปที่เตาหลอมหนึ่งครั้ง ทันในนั้นยาสีแดงสามเม็ดก็ลอยพรวดขึ้นมา
“สำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น เอามือคว้ายาทั้งสามเม็ดนี้เอาไว้ แต่ตอนที่มองดูกลับอึ้งงัน ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วก็สังเกตอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ
“ไม่ถูกสิ ยาลมปราณม่วงเพิ่มพลัง ตามที่บรรยายเอาไว้ในตำรับยาควรจะเป็นสีม่วงถึงจะถูก ทำไมที่ข้าหลอมออกมาถึงเป็นสีแดงล่ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเกาหัว เอามาจ่อที่จมูกลองสูดดมดู กลิ่นหอมของยาเข้มข้นมาก แฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณ แต่มีกลิ่นแปลกๆ อยู่เจือจาง อีกทั้งสีก็ยังไม่ถูกต้อง เขาจึงไม่กล้ากลืนลงไป
ท่ามกลางความลังเล ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนคิดถึงขั้นตอนการหลอมยาก่อนหน้านั้นอย่างละเอียด จนกระทั่งผ่านไปได้หนึ่งชั่วยาม เขาก็ลืมตาขึ้นพรึ่บ ยิ้มเจื่อนออกมา
“ตอนที่ใส่ดอกตัวเหน่า ใส่ผงดอกตัวเหน่านั่นมากเกินไปหน่อย พอไปโดนพืชหญ้าอื่นๆ จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดพวกนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนวางยาสีแดงสามเม็ดไว้ด้านข้าง ทำการหลอมยาอีกครั้ง
คราวนี้เมื่อเตาหลอมยาสั่นสะเทือน กลิ่นหอมของยาปรากฏขึ้น ยาสีม่วงเม็ดหนึ่งลอยออกมา หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว สีหน้าก็เผยความยินดี
ดังนั้นจึงหลอมยาอีกครั้ง หลอมคราวนี้ติดต่อกันไปอีกหลายวัน หลอมยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังออกมาได้อีกสิบกว่าเม็ด ถึงได้นั่งแหมะอยู่ด้านข้างอย่างอ่อนเพลีย ขณะที่พักผ่อน เขาก็หยิบเอายาลมปราณม่วงเพิ่มพลังสีแดงสามเม็ดนั้นออกมาอีกครั้ง นัยน์ตาของเขามีความลังเลเล็กน้อย รู้สึกว่าทิ้งไปก็น่าเสียดาย เพราะยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังแต่ละเม็ดล้วนราคาไม่ธรรมดา ตอนนี้พืชหญ้าของเขาก็ใช้หมดไปพอสมควรแล้วด้วย
“วิธีการหลอมยาบอกไว้ว่า ขอแค่กลายเป็นยาก็ถือว่าเป็นยาวิเศษทั้งสิ้น ยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังสีแดงสามเม็ดนี้ เพราะใส่ผงดอกตัวเหน่ามากเกินไปหน่อย สีจึงเปลี่ยน ไม่รู้ว่าสรรพคุณจะเป็นอย่างไรบ้าง” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเล มือซ้ายตบถุงเก็บของ ในมือมีเข็มเล่มหนึ่งปรากฏออกมาทันที
เข็มนี้เป็นสีเขียว เป็นเข็มไม้ไผ่เล่มหนึ่ง
นี่คือของจำเป็นต่อการหลอมยาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแลกเอามาจากสำนัก สามารถตัดสินได้อย่างง่ายๆ ว่ายาวิเศษมีพิษที่ทำร้ายคนหรือไม่ เขาค่อยๆ เอาเข็มทิ่มลงไปในยาสีแดง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้เอาออกมา เข็มไม้ไผ่เป็นปกติ ไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีดำ
“ไม่มีพิษ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่อนลมหายใจ แต่ก็ยังคงระมัดระวัง ไม่กินลงไป หยิบเอายาออกไปจากหอหลอมยา ยามนี้ด้านนอกเป็นเวลาเช้าตรู่ เขาเดินไปบนถนนเส้นเล็กของสำนัก
บนท้องฟ้ายังมีนกฟ่งเหนี่ยวห้าสีกลุ่มหนึ่งกำลังโบยบินอย่างสง่างาม เปล่งเสียงร้องกังวานใส ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจนกฟ่งเหนี่ยวพวกนั้น เดินไปเอาไก่หางวิเศษตัวหนึ่งมาจากพื้นที่เลี้ยง พอกลับมาถึงที่พักก็หยิบยาสีแดงออกมาเม็ดหนึ่ง โยนไปข้างหน้า ตกอยู่บนพื้นหน้าไก่หางวิเศษ
ไก่หางวิเศษเดิมทีท่าทางเซื่องซึม แต่พอเห็นยาสีแดงเม็ดนี้ก็ตัวสั่น ลุกพรวดขึ้นยืน อ้าปากจะพุ่งเข้าไปจิกยาโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
แต่เวลานี้เอง ทันใดนั้นกลางอากาศพลันมีเสียงนกร้องเกรี้ยวกราดดังลอยมา ลมบ้าคลั่งพัดกระหน่ำ ไก่หางวิเศษตัวนั้นยังไม่ทันจิกโดนยา ร่างก็ถูกลมวูบใหญ่ม้วนตลบให้ลอยไปอยู่ด้านข้าง
ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจรีบถอยหลังกรูด เมื่อมองไป เห็นแค่เพียงว่านกเฟิ่งเหนี่ยวเหล่านั้นที่ก่อนหน้านี้บินอยู่บนท้องฟ้า เวลานี้แต่ละตัวดวงตาจ้องเขม็ง พุ่งดิ่งมาที่นี่ ระหว่างทางก็ต่อสู้กันเอง ไม่นานก็มีนกเพศผู้ตัวหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าตัวอื่นๆ สยบพวกพ้องเอาไว้ได้ พริบตาเดียวก็จิกลงไปบนยาแล้วกลืนลงคอทันที
หลังจากกินเสร็จยังมองไก่หางวิเศษที่ถูกพัดไปอยู่ด้านข้างคล้ายเยาะเย้ยอีกหนึ่งครั้ง นกฟ่งเหนี่ยวตัวนี้บินขึ้นอย่างสง่างาม ป๋ายเสี่ยวฉุนทำอะไรไม่ถูก แต่หลังจากนั้นก็ต้องตาเหลือกถลน ยืนเซ่อมองไปบนท้องฟ้า
เห็นแค่เพียงนกฟ่งเหนี่ยวที่บินอยู่กลางอากาศอย่างสง่างามตัวนั้น อยู่ๆ ก็ตัวสั่นขึ้นมา ร้องคำรามโอ้กๆ ดวงตาแดงฉาน เส้นเลือดฝอยจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่กระจายออกมาในพริบตานั้น ขนทั้งร่างลุกชัน ราวกับว่าในร่างกายมีไฟกองหนึ่งจะระเบิดปะทุออกมา
ที่ยิ่งน่าตกใจก็คือกล้ามเนื้อตลอดร่างของนกฟ่งเหนี่ยวเพศผู้ตัวนี้พลันขยายใหญ่ ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ ตัวใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นถึงเท่าตัว โดยเฉพาะขนตรงช่วงท้องระหว่างกรงเล็บทั้งสองข้างนั้น ยามนี้พลันปรากฏท่อนแข็งๆ หนึ่งท่อนโผล่ออกมา…
แม้แต่ดวงตาของนกฟงเหนี่ยวก็ยังไม่ปกติ อยู่ดีๆ ก็หันไปมองนกฟ่งเหนี่ยวตัวอื่นรอบด้าน
นกฟ่งเหนี่ยวรอบด้านแต่ละตัวพากันตัวสั่น กำลังจะกระจายตัวออกไป นกฟ่งเหนี่ยวเพศผู้ตัวนั้นเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา พริบตาเดียวก็โจนทะยานเข้าไปหา ตามมาติดๆ ด้วยเสียงนกร้องโหยหวนที่ดังลอยมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง สำลักลมหายใจ ยืนเซ่อมองภาพบนท้องฟ้านี้อยู่ในลานบ้าน เขาเห็นกับตาตัวเองว่า นกฟ่งเหนี่ยวที่ร่างกายขยายใหญ่ตัวนั้นเข้าไปย่ำยีนกฟ่งเหนี่ยวตัวอื่น…ทั้งหมดหนึ่งรอบ สุดท้ายดวงตาก็ยังคงแดงก่ำ ตลอดทั้งร่างราวกับจะมีไฟปะทุออกมา บินดิ่งตรงมาทางเขา
ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจถอยหลังกรูด เกือบจะกรีดร้องออกมา
ยังดีที่เขาพบว่านกฟ่งเหนี่ยวตัวนี้ไม่ได้พุ่งเข้าหาตน แต่พุ่งเข้าคว้าหมับที่ไก่หางวิเศษตัวนั้น…
ผ่านไปครู่ใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นนกฟ่งเหนี่ยวตัวผู้ตัวนั้นร้องโอ้กๆ ไปตลอดทาง บินไปทางยอดเขา เขาถึงได้เช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก
“น่ากลัวเกินไปแล้ว…นี่มันยาอะไรกัน!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้ามองยาอีกสองเม็ดที่เหลืออยู่ รู้สึกใจหวิวไหว เดาเอาว่ายาสองเม็ดนี้น่าจะมีสรรพคุณทำนองเดียวกัน เป็นยาที่ให้ผลกระตุ้นกามารมณ์ อีกอย่างเห็นได้ชัดว่า…ผลที่ได้นี้ไม่ใช่ดีแบบธรรมดา
วันนี้สำหรับลูกศิษย์ของเขาเซียงอวิ๋น ถือเป็นวันที่ชีวิตนี้ยากจะลืมเลือน…
เพราะตลอดทั้งเขาเซียงอวิ๋น นกทุกตัวไม่ว่าจะเป็นนกอะไร ล้วนถูกนกฟ่งเหนี่ยวเพศผู้ตัวนี้ของผู้เฒ่าโจวย่ำยีอย่างบ้าคลั่ง…ต่อหน้าต่อตาลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาเห็นกับตาตัวเองว่านกแต่ละตัวนั้นเปล่งเสียงร้องโหยหวน อยากจะหลบหนีกรงเล็บปีศาจอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่อาจหลีกพ้นความร้ายกาจและพละกำลังมหาศาลของนกฟ่งเหนี่ยวตัวนั้นไปได้
แม้แต่ไก่หางวิเศษ นกฟ่งเหนี่ยวป่าเถื่อนตัวก็นั้นยังไม่ปล่อยไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนกประเภทอื่นๆ ที่ผู้เฒ่าโจวเลี้ยงเอาไว้ ตลอดทั้งเขาขอแค่เป็นสัตว์มีปีก… ทั้งวันนี้ ต่างก็เหมือนฝันร้ายไปพร้อมๆ กัน
ลูกศิษย์ทุกคนล้วนพากันวิพากษ์วิจารณ์ มองเห็นภาพเหตุการณ์ทุกภาพที่เกิดขึ้นแต่ละคนก็ใจสั่น แม้แต่ภูเขาชิงเฟิงและภูเขาจื่อติ่งก็ยังได้ยินข่าวนี้ด้วย ถึงขั้นมีคนจำนวนไม่น้อยพากันมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ได้ข่าวหรือยัง นกฟ่งเหนี่ยวตัวหนึ่งที่ผู้เฒ่าโจวเขาเซียงอวิ๋นเลี้ยงไว้เป็นบ้าไปแล้ว เจอนกตัวไหนก็กระโจนเข้าใส่…”
“ข้าเห็นเองกับตาเลย นกฟ่งเหนี่ยวตัวนั้นโหดเหี้ยมมาก แม้แต่นกกางเขนที่บินผ่านก็ยังไม่เว้น…”
“ผู้เฒ่าโจวทำอะไรอยู่กันแน่นะ ถึงได้ปล่อยให้นกฟ่งเหนี่ยวนี่เป็นแบบนี้…”
“ที่น่าขนหัวลุกก็คือ ข้ายังเห็นด้วยว่านกฟ่งเหนี่ยวตัวนั้นเหมือนจะฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด มีนกบางตัวถูกมันกระโจนเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า น่าเวทนานัก!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินอยู่ในสำนัก ได้ยินคนไม่ถ้วนวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา ใจเขาก็สั่นขึ้นมา หวาดผวาเพราะตนเป็นคนก่อเรื่อง
‘เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้นะ โทษข้าไม่ได้จริงๆ… เดิมทีข้าจะให้ไก่หางวิเศษกิน… นกตัวนั้นมาแย่งไปเองแท้ๆ!’ ป๋ายเสี่ยวฉุนอึดอัดคับข้องใจ รีบไปที่หอหลอมยา ครุ่นคิดว่าเรื่องนี้น่าจะไม่มีใครรู้
ในหอหลอมยา เขาถอนหายใจหนึ่งที หยิบเอายาสีแดงสองเม็ดนั้นออกมาครุ่นคิดพิจารณา
‘ยานี้ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายมาเป็นไม้ตายของข้าก็ได้…ต่อไปเจอสัตว์ดุร้ายก็ไม่ต้องกลัวแล้ว’
‘หากจะเอามาเป็นไม้ตาย ถ้าอย่างนั้นก็ยังจำเป็นต้องหลอมยาที่แผ่กลิ่นอายเพศเมียอย่างเข้มข้นออกมาอีกหนึ่งเม็ด ถึงจะคู่กันได้พอเหมาะพอเจาะ’ ในสมองป๋ายเสี่ยวฉุนจินตนาการภาพหนึ่งขึ้นมา ยาสองเม็ดจับเข้าคู่กัน พอเจอสัตว์ร้ายก็โยนเข้าใส่เม็ดหนึ่ง แล้วค่อยโยนอีกเม็ดหนึ่งไปที่อื่น แค่นี้ก็สามารถหลอกล่อให้สัตว์ร้ายไปทางอื่นได้
พอคิดได้เช่นนั้นก็ใจเต้นขึ้นมาแล้ว แต่ว่าไม่มีตำรับยาประเภทนี้อยู่ เขาใคร่ครวญ ความรู้ด้านพืชหญ้าทั้งหมดในสมองลอยปรากฏขึ้น ตรวจหาไปทีละอัน เตรียมตัวสร้างตำรับยาของตัวเองขึ้น
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังครุ่นคิดเรื่องสร้างตำรับยาอยู่ในหอหลอมยานั้นเอง บนยอดเขาเซียงอวิ๋น ผู้เฒ่าโจวที่กลับมาจากข้างนอก ยืนอึ้งมองภาพเบื้องหน้าที่นกฟ่งเหนี่ยวส่วนใหญ่ล้วนเซื่องซึม ห่างออกไปไม่ไกล นกฟ่งเหนี่ยวเพศผู้ตัวนั้นกำลังกดอยู่บนร่างไก่หางวิเศษ เปล่งเสียงร้องโอ้กๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ผู้เฒ่าโจวรู้สึกถึงเพียงเสียงดังสนั่นในหัวสมอง ตัวสั่นไปตลอดร่าง ราวกับว่าฟ้าดินพลิกคว่ำคะมำหงาย เปล่งเสียงคำรามน่าหวาดหวั่นจนฟ้าดินสะเทือน
“ใครเป็นคนทำ!!!”
————-