บทที่ 727 ข้าล่ะเกลียดพวกขี้โกงที่สุดเลย
ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี จำนวนตัวเลขที่เขาพูดออกมา ไม่เพียงแต่ทำให้ชายหนุ่มชุดชมพูหัวใจสั่นรัวเร็ว หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม แม้แต่ผู้ฝึกวิญญาณที่อยู่ด้านในและด้านนอกทั้งหมดก็พากันสูดลมหายใจดังเฮือก เพราะในความเป็นจริงแล้วการหลอมพลังจิตสิบสี่ครั้งถึงสิบห้าครั้งนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ต้องรู้ว่าอาวุธที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบห้าครั้งนั้นมีพลังของคนฟ้าแล้ว อีกทั้งยังสามารถทำให้นักพรตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบใช้วัตถุสิ่งนี้ไปทำความเข้าใจกับฟ้าดินได้ด้วย ดังนั้นการหลอมพลังจิตให้กับอาวุธเช่นนี้จึงมีมูลค่าสูงมาก และอาวุธส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ในครอบครองของตระกูลผู้หลอมพลังจิตรวมไปถึงตระกูลชนชั้นสูง ไม่มีทางนำมาปล่อยข้างนอกง่ายๆ
อีกอย่างจำนวนก็มีน้อยมาก เพราะอย่างไรซะอัตราความสำเร็จก็นับว่าต่ำอย่างถึงที่สุด อย่างราชาผียักษ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างคุณูปการใหญ่หลวงขนาดนั้น แถมยังแบกรับภาระหนักอึ้งตอนไปกาหลอมวิญญาณเพื่อนำผลราชาผีมาชดเชยข้อบกพร่องของเวทลับที่ราชาผียักษ์ใช้ฝึกตน ทว่าราชาผียักษ์ก็ยังมอบทวนยาวที่หลอมพลังจิตแค่สิบหกครั้งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
ไม่ใช่ว่าเขาขี้เหนียว แต่เขาเองก็มีวัตถุที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบหกครั้งไม่มากนัก อีกทั้งของเหล่านั้นก็ล้วนเหมาะสมกับคนฟ้าเท่านั้น
ดังนั้นเรื่องการหลอมพลังจิตจากสิบสี่ครั้งมาเป็นสิบห้าครั้งนี้ หากใช้ยาวิญญาณมาคำนวณ ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม
ป๋ายเสี่ยวฉุนเรียกราคาแปดสิบล้านกว่า ราคานี้ดูเกินจริงไปมาก แต่พอคิดอย่างละเอียดทุกคนก็กระจ่างแจ้ง เพราะอย่างไรซะนี่ไม่ใช่แค่อาวุธวิเศษชิ้นเดียวเท่านั้น แต่เป็นโอกาสในการให้คนคนหนึ่งเลื่อนขั้นเป็นคนฟ้าอีกด้วย!
เลื่อนขั้นเป็นคนฟ้าในแดนทุรกันดารจะต้องอาศัยอาวุธที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบห้าครั้งขึ้นไปมาทำความเข้าใจกับฟ้าดิน ให้ตัวเองผสานรวมเป็นหนึ่งกับฟ้า
“เจ้าตรองดูให้ดีเถิด เจ้าคิดดูนะ หากตอนนี้เจ้าบอกว่าเจ้าพอใจ ลองคิดคำนวณตามราคาสิบเท่าจากจำนวนเดิมของเจ้า จำนวนมากสุดที่เจ้าต้องให้ข้า อ๊ะ .. ก็ตั้งแปดสิบล้านกว่าเชียวนะ เจ้าจบเห่แน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ รู้สึกว่าชายหนุ่มชุดชมพูผู้นี้น่าเวทนาไม่น้อย เขาจึงพูดเตือนด้วยความหวังดี แต่เพิ่งจะพูดได้ครึ่งหนึ่งเขาก็นึกขึ้นมาได้ ตอนที่มองไปยังชายหนุ่มชุดชมพู สายตาจึงยิ่งเห็นใจมากกว่าเดิม
พอได้ยินคำว่า “สิบเท่า” วิญญาณป๋ายฮ่าวก็ถอนหายใจยาวเหยียด แอบพูดกับตัวเองว่าอาจารย์ของตนช่างเป็นพวกล้างผลาญเสียจริง คำนวณราคาผิด จู่ๆ ก็ลดให้อีกฝ่ายตั้งหกสิบล้านกว่าซะงั้น
ส่วนชายชุดชมพูที่ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งคำรามเดือดดาล “หุบปาก!!” เขาเหมือนคนคลุ้มคลั่ง ดวงตาแดงก่ำราวเลือดจะหยด ในสายตาของเขา คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือการเย้ยหยันอย่างหนึ่ง
“ข้าไม่พอใจ เจ้าจงไปหลอมให้ข้าต่อ หลอมต่อ!! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าครั้งที่สิบห้านี้ เจ้าจะทำได้สำเร็จ!!” ชายชุดชมพูแผดเสียงคำรามดังราวใจจะขาด ทว่าผู้เฒ่าสองคนที่อยู่ข้างกายเขากลับหน้าซีดเผือดกันอยู่นานแล้ว พวกเขารู้สึกใจหายใจคว่ำ รีบปรี่เข้ามาพากันเอ่ยห้ามปรามชายหนุ่มชุดชมพู
“ไสหัวไปกันให้หมด ป๋ายฮ่าว ข้าจะเดิมพันกับเจ้าต่อ!” ชายหนุ่มชุดชมพูคลั่งไปแล้ว เขาจะไม่เดิมพันไม่ได้ เมื่อเดิมพันเขารู้ว่าตัวเองอาจมีโอกาสชนะ แต่หากแพ้ เขาก็แพ้อย่างราบคาบ ค่าตอบแทนนั้นสูงมากเกินไป เขาแบกรับไม่ไหว ดังนั้นให้ตายเขาจะไม่มีทางพูดว่าพอใจเด็ดขาด
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองชายหนุ่มชุดชมพูด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่หยิบเอาหยกประดับเดินกลับเข้าไปในห้อง สายตาและอำนาจจิตจำนวนนับไม่ถ้วนเล็งไปบนร่างของเขา ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง พวกเขามองเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่หายไป คิดจะสังเกตการณ์ต่อ
แต่กลับพบว่าในห้องของป๋ายเสี่ยวฉุนมีตราผนึกเปล่งแสงแวววาว ไม่เพียงแต่สกัดกั้นอำนาจจิตทั้งหมด อีกทั้งในแสงตราผนึกนี้ยังมีม่านบางๆ ชั้นหนึ่งที่ต่อให้บางคนใช้เคล็ดลับพิเศษก็ยังยากจะมองผ่านมันไปได้!
ม่านนี้แน่นอนว่ามาจากพลังของหน้ากาก หากมีคนที่มีความสามารถมากพอจะมองทะลุม่านชั้นนี้ไปได้ก็จะเห็นภาพที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมพลังจิตดั่งคนปกติทั่วไป เพียงแต่คนที่มีสิทธิ์จะมองเห็นภาพนี้ได้มีเพียงตบะครึ่งเทพเท่านั้น
นี่ก็เป็นสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจงใจทำให้เกิดขึ้น เพราะอย่างไรซะหากใช้ตราผนึกสกัดกั้นการมองเห็นอย่างเดียว ไม่นับเป็นการอำพรางที่ดีนัก แต่หากทำให้เห็นภาพมายาภายใต้การอำพรางเช่นนี้จะช่วยคลายความสงสัยของพวกผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นไปได้
นับตั้งแต่เริ่มต้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จัดวางแผนนี้ไว้อยู่แล้ว เขาอาศัยพลังของหน้ากากมาใช้เป็นการอำพรางที่ดีที่สุดของเขา และตอนนี้ ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหลอมพลังจิต ผู้ฝึกวิญญาณที่มามุงดูข้างนอกก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เบียดเสียดกันแน่นขนัด ไม่เพียงแต่เต็มพื้นที่ที่แปดสิบเก้า แม้แต่กลางอากาศก็มีแต่คน มองไปก็เห็นเต็มพรืดไปด้วยสีดำ
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ เสียงฮือฮาเอ็ดอึงดังขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุด พอรวมกันแล้วจึงกลายมาเป็นเสียงที่ดังสะเทือนเลือนลั่นไปแปดทิศ
“ป๋ายฮ่าวผู้นี้ต้องเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำแน่นอน อีกทั้งยังเป็นขั้นสูงสุดของสีดำด้วย!”
“ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำคนใดก็ล้วนมีวิธีการพิเศษบางอย่างที่ทำให้อัตราความสำเร็จของตัวเองเพิ่มมากขึ้น เพียงแต่การหลอมพลังจิตสิบสี่ครั้งมาถึงสิบห้าครั้ง ต่อให้วิธีการที่ใช้จะร้ายกาจแค่ไหนก็ยังต้องอาศัยดวงดีเทียมฟ้า!”
“อันที่จริง การเดิมพันครั้งนี้ไม่ได้ดูที่ฝีมือของอาจารย์หลอมวิญญาณแล้ว แต่นี่มันคือการวัดดวงกันชัดๆ”
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากผ่านครั้งนี้ไป ร้านหลอมพลังจิตอันดับหนึ่งในใต้หล้าร้านนี้ ต่อให้ชื่อเสียงไม่เลืองลื่อระบือไปสุดฟ้า แต่ก็ต้องสร้างความครึกโครมให้กับทั้งนครจักรพรรดิขุยแน่นอน!”
ขณะที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น ชายหนุ่มชุดชมพูตัวสั่นสะท้าน หน้าซีดไร้สีเลือด ในสมองขาวโพลน ตลอดทั้งร่างราวกับจะพังทลาย เรื่องนี้ใหญ่เกินไปจนเขาแทบจะทนรับไม่ไหวแล้ว
“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร”
“ตามแผนการ มันต้องไม่พลาดสิ แต่ทำไมเขาถึงได้ทำสำเร็จทุกครั้ง? ข้าเตรียมยาวิญญาณมามากขนาดนั้นก็น่าจะพอแล้วนี่นา ทว่าเขากลับไม่ล้มเหลวเลยสักครั้งเดียว!”
“คราวนี้ เขาต้องแพ้แน่ แค่เขาแพ้ ข้าก็สำเร็จแล้ว!”
เวลาผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ คนที่อยู่นอกร้านยิ่งมาเพิ่มมืดฟ้ามัวดิน ทว่ากลับไม่มีใครที่รอไม่ได้ เพราะเท่าที่ทุกคนรู้มา การหลอมพลังจิตสิบสี่ครั้งมาเป็นสิบห้าครั้งเดิมทีก็ต้องใช้เวลานานอยู่แล้ว ยามนี้แม้จะวิพากษ์วิจารณ์กัน ทว่าสายตาและอำนาจจิตของพวกเขากลับจับจ้องไปที่ประตูใหญ่ของห้องนั้นเขม็ง
วิญญาณป๋ายฮ่าวล่องลอยอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ทว่าในใจกลับถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกัน เขารู้สึกว่าอาจารย์ของตัวเองคนนี้ช่างเป็นตัวดึงดูดความเคียดแค้นได้ดียิ่งนัก แถมยังเชี่ยวชาญการตอกกลับเอาคืนอย่างมาก ครั้งนี้ก็คือตัวอย่าง
มองสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงของชายหนุ่มชุดชมพูทั้งตัว วิญญาณป๋ายฮ่าวก็รู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายไม่น้อย แอบพูดกับตัวเองว่าเจ้าไปหาเรื่องใครไม่หา ดันมาล่วงเกินอาจารย์ของข้า
จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่ออกมา เพราะว่าพอเขาเข้ามาในห้องได้ก็นั่งขัดสมาธิเริ่มเข้าฌาน ไม่ได้หลอมพลังจิต จนกระทั่งผ่านไปได้สามชั่วยามกว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้พ่นลมขุ่นมัวออกมายาวๆ ลืมตาขึ้น ครุ่นคิดได้ว่าเวลาน่าจะพอประมาณแล้วจึงโคลงศีรษะไปมา
“ข้าไม่อยากเล่นงานเจ้าจริงๆ นะ แต่ช่วยไม่ได้ ข้าอุตส่าห์เกลี้ยกล่อมเจ้าแล้วว่าไม่ให้หลอมต่อ แต่เจ้าดันยืนกรานขนาดนี้ หากข้าลงมือ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองจิตใจดีงามและสะอาดบริสุทธิ์อย่างมาก ขณะที่ถอนหายใจก็เริ่มทำการหลอมพลังจิต ไม่นานหยกประดับที่อยู่ในมือของเขาก็ปรากฏเส้นสีทองเส้นที่ห้า ทั้งยังให้ความรู้สึกถึงพลังของคนฟ้าที่แผ่อวลออกมาจากหยกชิ้นนี้ มังกรคะนองน้ำที่อยู่ข้างในก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นชัดเจน อีกทั้งยังให้ความรู้สึกเหมือนว่ามันคือวิญญาณคนฟ้าด้วย
“เป็นของดีจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นอย่างมาก หยกประดับชิ้นนี้พอผ่านการหลอมพลังจิตครั้งแล้วครั้งเล่าจึงถูกเขาสังเกตการณ์จนทะลุปรุโปร่งนานแล้ว รู้ดีว่าหากกระตุ้นใช้มันเมื่อใดก็สามารถทำให้ภาพมายาของมังกรคะนองน้ำที่อยู่ข้างในจำแลงกายออกมา และอานุภาพของมันจะไม่ธรรมดาอย่างมาก
พลิกเล่นอยู่ในมือพักหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ลุกขึ้นยืน พอสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วจึงเดินออกมาจากห้องด้วยท่าทางเหมือนคนเผาผลาญพลังกายใจไปมหาศาลจึงอ่อนระโหยโรยแรงอย่างเห็นได้ชัด หน้าผากมีเหงื่อผุดพราย แถมบนร่างยังเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อ หน้าซีดหน้าเซียว
ชั่วขณะที่เขาเดินออกมานั้น อำนาจจิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็พากันมารวมตัวอยู่ที่เขา ยิ่งมองมายังฝ่ามือของเขาแล้วเห็นหยกประดับชิ้นนั้นอย่างชัดเจน โลกภายนอกก็พลันตกอยู่ในความเงียบสงัด
เมื่อความเงียบในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ผ่านพ้นไปก็ตามมาด้วยเสียงอุทานฮือฮาที่ระเบิดดังเขย่าคลอนฟ้าดิน
“สวรรค์”
“น.. นี่ ”
“สิบห้าครั้ง!! ข้าสัมผัสได้ถึงปราณคนฟ้าที่อยู่ด้านบนนั้น!!”
“สำเร็จแล้ว เขาทำสำเร็จจริงๆ ด้วย นี่มันคืออาวุธวิเศษที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบห้าครั้งเชียวนะ!!” คนจำนวนนับไม่ถ้วนอิจฉาตาร้อน
“อาวุธที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบห้าครั้งเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นใด หากเอาไปวางขายในงานประมูลก็ล้วนได้ราคาเทียมฟ้าอย่างที่เกินจะคาดคิด แต่ปรมาจารย์ป๋ายผู้นี้กลับหลอมได้ด้วยมือตัวเอง!!” เสียงรอบด้านกลายมาเป็นคลื่นเสียงที่แผ่ออกไปเป็นระลอกๆ สั่นสะเทือนครึกโครมไปเกือบครึ่งของนครจักรพรรดิขุย แถมยังกลบทับเสียงของชายหนุ่มชุดชมพูไว้จนมิด
“เป็นไปไม่ได้ .. เป็นไปไม่ได้ ..นี่ไม่ใช่เรื่องจริง” สายตาของชายหนุ่มชุดชมพูเลื่อนลอยไร้จุดจับจ้อง เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่างพลางถอยกรูดหลายก้าวราวคนสิ้นหวัง ปากก็พึมพำเบาๆ ดั่งคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะที่ร้องคำรามเสียงแหบเสียงแห้งราวคนบ้า
“เจ้าเห็นไหม เมื่อครู่นี้ข้าอุตส่าห์เกลี้ยกล่อมเจ้าด้วยความหวังดี บอกแล้วว่าอย่าให้ข้าหลอมต่อ แต่เจ้าดันดื้อรั้นไม่ยอมฟัง เอาเถอะๆ ข้าคนนี้เป็นคนใจอ่อน จะลดราคาให้ เจ้าก็จ่ายยาวิญญาณให้ข้าแปดสิบล้านเม็ดก็แล้วกัน เอ๊ะ ไม่ถูกสิ ถ้าเจ้าบอกว่าพอใจก็ต้องจ่ายมากกว่าเดิมสิบเท่า ก็เท่ากับแปดร้อยล้านยาวิญญาณ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ หลังจากตกตะลึงไปกับจำนวนตัวเลขนี้ เขาก็หันไปมองชายหนุ่มชุดชมพูด้วยสายตารอคอย
“เจ้าอย่าได้ให้ข้าหลอมต่ออีกเลย เชื่อข้าสิ เลิกทำตัวเหลวไหลได้แล้ว!”
ภาพนี้ทำให้วิญญาณของป๋ายฮ่าวที่รับฟังอยู่ด้านข้างทำหน้าเหยเกอยู่ในใจ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอาจารย์ของตนคำนวณผิดจริงๆ หรือจงใจวางหลุมผลักอีกฝ่ายลงมากันแน่ รู้สึกเพียงว่าอาจารย์ของตนลึกลับเกินคาดเดาจนคนอย่างเขามองไม่ออก
“ป๋ายฮ่าว!! เจ้าหลอกข้า ที่แท้เจ้าไม่ได้คิดผิด!! เจ้าตั้งใจขุดหลุมฝังข้า!!”
ชายหนุ่มชุดชมพูกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจด้วยความเสียใจอย่างสุดแสน ก่อนหน้านี้เดิมทีเขาคิดจะถอยอยู่แล้ว แต่เพราะแน่ใจว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคิดราคาผิดเลยขอให้หลอมพลังจิตต่อไป แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาตอนนี้ทำให้เขาแน่ใจว่าตัวเองต่างหากที่ถูกอีกฝ่ายปั่นหัว ความเดือดดาลในใจพวยพุ่งสะท้านฟ้า ทว่าร่างกลับถอยหลังกรูดหมายจะหนีออกไปจากร้าน เขาไม่กล้าเดิมพันอีกต่อไปแล้ว ค่าตอบแทนนี้มหาศาลเกินไป อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นตระกูลของเขาก็ยังไม่อาจแบกรับได้ไหว ยามนี้พอเขาคิดถึงยาวิญญาณแปดร้อยล้านเม็ด หัวใจเขาก็สั่นรัว ในสมองมีความคิดเดียวคือต้องรีบหนีไปจากที่นี่!
“ข้าหลอกเจ้า? หมายความว่าไง เจ้าอย่าหนีสิ มาชำระยาวิญญาณให้เรียบร้อยก่อน เจ้ากล้าชักดาบอย่างนั้นรึ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน ครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายหมายความว่ายังไง ตนคิดราคาผิดอย่างนั้นหรือ? เขาไม่รู้ตัวจริงๆ นะว่าตัวเองคิดผิด
ขณะที่กำลังงุนงง เห็นว่าอีกฝ่ายจะหนี สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันดำทะมึน เดือดปรี๊ดทันใด เขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนอุตส่าห์เกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดีไปแล้ว ไอ้หมอนี่ไม่รับน้ำใจก็ยังพอทำเนา แต่ตอนนี้กลับยังมาใส่ร้ายว่าตนคิดราคาผิด รังแกกันเกินไปแล้ว
“ข้าล่ะเกลียดไอ้พวกขี้โกงที่สุดเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงคำราม เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ผู้เฒ่าสองคนที่อยู่ข้างกายชายหนุ่มชุดชมพูพอเห็นภาพเหตุการณ์เหล่านี้ก็ได้ตั้งท่าพร้อมรับมืออย่างอกสั่นขวัญผวากันอยู่นานแล้ว ยามนี้จึงปรี่เข้ามาสกัดกั้น ทว่าวินาทีที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ผู้เฒ่าสองคนกลับกระอักเลือด ร่างม้วนตลบลอยลิ่วไปไกล ป๋ายเสี่ยวฉุนเคลื่อนที่ว่องไว มาโผล่อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มชุดชมพูโดยไม่มีหยุดชะงัก ก่อนจะยกมือขวาขึ้นแล้วตบผลัวะออกไป