ตอนที่ 730 ซื่อจื่อลงมือ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นติดต่อกันนี้ค่อยๆ ปิดฉากลงหลังการจากไปของสตรีธุลีแดง ทุกคนที่อยู่นอกร้านเองก็จากไปพร้อมพกพาความคิดที่แตกต่างกันไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ในสมองของพวกเขานาบประทับภาพเรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้อย่างลึกล้ำ อัตราความสำเร็จในการหลอมพลังจิตที่น่าตกตะลึง ทั้งยังมีการเดิมพันด้วยยาวิญญาณแปดร้อยล้านเม็ดที่น่าหวาดหวั่น และการมาถึงของสตรีธุลีแดง
ภาพความเคร่งขรึมแต่ไม่ขาดความเผด็จการของป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งหมดนี้ทำให้ในใจของทุกคนสั่นสะเทือนไม่หยุด
พวกเขารู้ดีว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ชื่อป๋ายฮ่าวนี้จะแพร่ไปทั่วทั้งนครจักรพรรดิขุย ดึงดูดความสนใจจากคนมากมาย!
ไม่นานเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เฉินสงบุตรกิเลนของตระกูลเจ้าพระยาสวรรค์เฉินได้ประสบในร้านแห่งนี้ รวมไปถึงผลลัพธ์สุดท้ายของการเดิมพันสูงลิ่วก็ถูกเล่าลือกันไปทั่วทั้งนครจักรพรรดิขุย คนจำนวนนับไม่ถ้วนรับรู้เรื่องนี้
ขณะเดียวกันพวกเสี่ยวหลางเสินที่ได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ก็สำลักลมหายใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ป๋ายฮ่าวผู้นี้โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”
“ยาวิญญาณแปดร้อยล้านเม็ด นี่มันเกินไปแล้ว!”
“ข้าได้ยินมาว่าไม่ใช่แค่ยาวิญญาณเท่านั้นนะ พลังชีวิตของเฉินสงก็ถูกสูบไปเกือบหมดจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกด้วย”
พวกเสี่ยวหลางเสิน หลี่เทียนเซิ่ง เมี่ยวหลินเอ๋อร์ต่างก็พากันหน้าเปลี่ยนสี แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่คิดว่าเฉินสงจะสามารถไล่ป๋ายฮ่าวออกไปจากเมืองได้ แต่ในใจพวกเขาก็ยังคาดหวัง เพราะอย่างไรซะที่นี่ก็คือนครจักรพรรดิขุย ไม่ใช่กาหลอมวิญญาณ
แต่เรื่องราวที่ดำเนินมาถึงท้ายที่สุดกลับทำให้พวกเขาหวาดกลัว ตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาว ตอนนี้พอมาลองนึกถึงสภาพอเนจอนาถของเฉินสง พวกเขาก็อดนึกถึงความดุร้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนในกาหลอมวิญญาณไม่ได้ ซึ่งจนถึงบัดนี้เพียงแค่คิดพวกเขาก็ยังเข็ดขยาดไม่เลิก
ใบหน้าดุดัน สายตาเหี้ยมเกรียม และยังมีการสูบดึงพลังชีวิตที่เป็นดั่งฝันร้ายของพวกเขา ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเสี่ยวหลางเสินรีบเอาตัวออกห่างเฉินสงทันที ขณะเดียวกัน ต่อให้ในใจจะขมขื่นและมากด้วยความคับแค้นแค่ไหน พวกเขาก็ยังเลือกที่จะล้มเลิกความคิดที่จะไปหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุน
“สมควรตายนัก แพ้ให้เขาในกาหลอมวิญญาณก็ยังพอว่า แต่นี่มาอยู่ในนครจักรพรรดิขุย พวกเรากลับยังเอาชนะเขาไม่ได้!”
“ต้องโทษเจ้าเฉินสงนั่นคนเดียว ไม่มีฝีมือแต่ดันรับเรื่องไปทำ ป๋ายฮ่าวผู้นี้อำมหิตไร้ปราณี จะลงมือกับเขาต้องวางแผนระยะยาว ห้ามบุ่มบ่ามลงมือเด็ดขาด”
ขณะที่พวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจซึ่งเคยถูกป๋ายเสี่ยวฉุนลักพาตัวในกาหลอมวิญญาณกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโหปนหงุดหงิด เรื่องนี้เมื่อแพร่ไปทั่วนครจักรพรรดิขุยก็ได้กลายมาเป็นหัวข้อสนทนาของคนจำนวนนับไม่ถ้วน
ไม่นานทุกเรื่องราวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยทำลงไปตอนอยู่ตระกูลป๋ายก็ถูกขุดค้นออกมาอย่างรวดเร็ว และพอมันแพร่ขยายไปช้าๆ ถึงท้ายที่สุดก็แทบจะไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้
ส่วนทางฝ่ายของสตรีธุลีแดงก็ฉวยโอกาสนี้ไว้เช่นกัน นางไม่ได้เรียกร้องยาวิญญาณแปดร้อยล้านเม็ด แต่ให้เจ้าพระยาสวรรค์ของตระกูลเฉินติดค้างน้ำใจของนางครั้งหนึ่ง
เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่ผู้ฝึกวิญญาณทั่วไป ภูมิหลังและที่มาของเขาทำให้พวกตระกูลสูงศักดิ์ไม่มีวิธีใดมารับมือ ทำได้แต่วางแผนในขอบเขตที่ไม่ละเมิดกฎระเบียบ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นไปตามการวิเคราะห์ของพวกเสี่ยวหลางเสิน นั่นคือจำเป็นต้องวางแผนในระยะยาวถึงจะได้
เมื่อผ่านเรื่องใหญ่ครั้งนี้ไป ร้านหลอมพลังจิตอันดับหนึ่งในใต้หล้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งนครจักรพรรดิขุย ช่วงเวลาหลังจากนั้น ทุกวันจะต้องมีผู้ฝึกวิญญาณจำนวนมากที่เร่งรุดเดินทางมาจากเขตพื้นที่ต่างๆ มีทั้งที่มาหลอมพลังจิต และมีทั้งที่มาซื้อยาวิญญาณ แต่ที่มากกว่านั้นคือต้องการมาเห็นหน้าค่าตาป๋ายฮ่าวที่ชื่อเสียงระบือไกลไปแปดทิศกับตาตัวเองว่าอีกฝ่ายมีสามเศียรหกกรจริงหรือไม่
ดังนั้นช่วงนี้คนที่มาเยือนจึงทำให้พื้นที่ที่แปดสิบเก้าครึกครื้น แม้แต่ร้านรวงต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับร้านป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังกิจการดีกว่าแต่ก่อนหลายเท่า ส่วนร้านของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ พอเห็นว่ามีคนมาเยือนมากมาย ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตื่นเต้นอย่างมาก ทว่าวิญญาณป๋ายฮ่าวกลับตึงเครียดและหวาดระแวง
“ท่านอาจารย์ เป็นอย่างนี้ต่อไปพวกเราจะเด่นดังเกินไปนะขอรับ มันไม่สอดคล้องกับแผนการของพวกเรา” วิญญาณป๋ายฮ่าวเริ่มกลัดกลุ้ม เขาหันไปถอนหายใจกับป๋ายเสี่ยวฉุน
“เฮ้อ อาจารย์เองก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เหมือนกัน แต่เจ้าต้องทำตัวให้ชินเข้าไว้นะ เพราะว่าอาจารย์ของเจ้าคือบุคคลที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ล้วนสามารถลุกผงาด สร้างความสะท้านฟ้าสะเทือนดินได้เสมอ เพราะข้ายอดเยี่ยมมากเกินไป ข้าเองก็เอือมระอามากเหมือนกันนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที วางท่ากลุ้มอกกลุ้มใจ แล้วก็เริ่มรำพึงรำพันด้วยความกลัดกลุ้ม
วิญญาณป๋ายฮ่าวสีหน้าเหยเก มองอาจารย์ของตัวเองปราดหนึ่ง ทำท่าอ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าผ่านไปพักใหญ่ก็ได้แต่ส่ายหัวยิ้มเจื่อน รู้สึกว่าเรื่องนี้อย่าเอาไปปรึกษาอาจารย์จะดีกว่า เขาจึงแอบครุ่นคิดหาวิธีการรับมือกับภัยร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ด้วยตัวเอง ผ่านไปพักใหญ่ วิญญาณป๋ายฮ่าวก็จัดการลงมืออย่างลับๆ
ไม่นาน ท่ามกลางคำเล่าลือของผู้คน ภูมิหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกคนจงใจยกขึ้นมาพูดถึง ซึ่งประเด็นหลักที่พูดถึงมักจะเป็นความสำคัญและความชื่นชมที่ราชาผียักษ์มีต่อป๋ายฮ่าว รวมไปถึงเรื่องตบะและความสามารถในการต่อสู้ของป๋ายฮ่าวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนจึงรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีครบทุกด้านไม่ว่าจะเป็นฝีมือหรืออำนาจ
เมื่อเห็นว่าตนกลายมาเป็นที่จับตามองของคนมากมาย ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฮึกเหิมก็มักจะออกไปนอกร้าน เดินเอามือไพล่หลังดื่มด่ำกับสายตาของทุกคนที่มองมา หลังจากโอ้อวดตนอยู่หลายวันก็เริ่มหมดความสนใจ ดังนั้นจึงกลับเข้ามาในห้องพักด้านหลังแล้วเริ่มศึกษาตำรับการหลอมไฟสิบเจ็ดสีของตัวเองต่อไป
จนกระทั่งเรื่องของเฉินสงทำให้พวกคนที่มาหาเรื่องหายไปอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้จึงไม่มีใครหน้าไหนกล้ามาก่อเรื่องในร้านของป๋ายเสี่ยวฉุนอีก เพราะทุกคนล้วนรู้ดีว่าป๋ายฮ่าวไม่ใช่คนที่ใครจะมาแหยมด้วยได้ เพราะหากเขาระเบิดอารมณ์เมื่อใด แม้แต่ตระกูลของเจ้าพระยาสวรรค์ก็ยังกล้าลงมือด้วย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ เลย
โลกภายนอกมีข่าวลือเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน ทว่าชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเริ่มสงบสุข เขาจมจ่อมอยู่กับการอนุมานตำรับหลอมไฟสิบเจ็ดสี บางครั้งก็ทดลองหลอม ซึ่งหากเกิดท่าไม่ดีเขาก็จะหยุดมือทันที เพราะอย่างไรซะที่นี่ก็เป็นพื้นที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ป๋ายเสี่ยวฉุนกังวลว่าหากตนไม่ระวังแล้วเกิดไฟสวรรค์ หรือควันดำทะมึนพวกนั้นขึ้นมา เกรงว่าชีวิตดีๆ ของเขาคงกลับตาลปัตรไปในชั่วพริบตา
ภายใต้ความระมัดระวังของเขา หลังจากที่หลอมไฟล้มเหลวจึงไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น อีกทั้งขณะที่ศึกษาตำรับไฟสิบเจ็ดสีเขาก็ค้นพบว่าดูเหมือนตัวเองจะเชี่ยวชาญการหลอมไฟสิบหกสีเพิ่มขึ้นมาอีกนิด
ยิ่งในขั้นตอนการหลอมไฟของป๋ายเสี่ยวฉุนนี้ วิญญาณป๋ายฮ่าวก็ได้เสนอความคิดมากมาย ทั้งยังใช้วิธีการอนุมานของเขามาช่วยปรับปรุงตำรับไฟสิบหกสีของป๋ายเสี่ยวฉุนให้ดีขึ้น ทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีข้อสงสัย อีกฝ่ายก็จะช่วยกันคลี่คลาย แม้จะยังคลำหาทางการหลอมไฟสิบเจ็ดสีไม่เจอ ทว่าอัตราความสำเร็จในการหลอมไฟสิบหกสีกลับเพิ่มขึ้นมากจนถึงขั้นน่าตกตะลึง อย่างเช่นหลอมสามครั้งก็มักจะทำสำเร็จครั้งหนึ่ง
อัตราความสำเร็จเช่นนี้ หากพูดออกไป ย่อมยากจะทำให้คนเชื่อได้ เพราะไม่ว่าตำรับการหลอมไฟไหนก็ยากจะได้อัตราความสำเร็จเช่นนี้ ซึ่งที่ทำได้ขนาดนี้ต้องเรียกว่าป๋ายฮ่าวมีคุณความชอบสูงยิ่ง
“อาจารย์ วิธีการอนุมานชุดนี้ของข้าเริ่มที่ไฟสิบห้าสี ดังนั้นหากคิดจะปรับปรุงไฟสิบเจ็ดสีให้ดีขึ้นก็จำเป็นต้องปรับตำรับไฟสิบหกสีให้ดีเสียก่อนถึงจะได้” ช่วงที่ผ่านมานี้วิญญาณของป๋ายฮ่าวเองก็เหนื่อยมากเหมือนกัน เพื่อช่วยป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมไฟ เขาได้ใช้ทุกความคิดทั้งหมดที่มีแล้ว ขณะเดียวกันช่วงเวลาที่พักผ่อนเขาก็ยังต้องคอยขบคิดวิธีการปรับปรุงไฟสิบเจ็ดสีรวมไปถึงการสร้างตำรับไฟสิบแปดสีขึ้นมาด้วย
โดยเฉพาะความคิดของเขาที่ไม่ว่าจะใช้ไฟสิบเจ็ดสีจำนวนมากไปอนุมานเป็นไฟสิบแปดสี หรือจะเป็นการสร้างสรรค์ของตัวเขาเองซึ่งจะต้องเพิ่มสีของไฟตั้งแต่ตอนอยู่ในสภาวะทะเลเพลิง ต้องรอจนกว่าสีที่สิบแปดจะปรากฏแล้วค่อยกำมือรวมไฟ
นี่ก็ทำให้เขาสูญเสียแรงกายและแรงใจไปเยอะเหมือนกัน แล้วก็ต้องคอยปรึกษากับป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายต่อหลายครั้ง
เรื่องเหล่านี้ หากให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทำด้วยตัวเอง เกรงว่าคงยากที่เขาจะทำได้ ต่อให้ทำสำเร็จก็คงต้องใช้เวลามากจนประมาณการณ์ไม่ได้
และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่กับการหลอมไฟ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อเขาของโลกภายนอกก็เป็นเหมือนพายุที่พัดกวาดไปทั่วด้าน ถึงแม้พวกเสี่ยวหลางเสินจะเลือกวางแผนในระยะยาว แต่ก็ยังมีคนสองคนที่สายตาของพวกเขาแฝงเร้นไว้ด้วยความเย็นชาน่าสะพรึงกลัวซึ่งกำลังทอดมองไปยังที่ตั้งร้านของป๋ายเสี่ยวฉุนในเขตพื้นที่ที่แปดสิบเก้า
“พวกเสี่ยวหลางเสินมีแต่พวกเศษสวะ กะอีแค่ป๋ายฮ่าวคนเดียว พวกเขากลับเอาแต่กังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่กล้าลงมือกันเสียที!” บนหอเรือนสูงตระหง่านหลังหนึ่งในเขตพื้นที่ที่สามของนครจักรพรรดิขุย โจวหงซื่อจื่อผู้สืบทอดของราชาเก้านรกภูมิยืนสีหน้ามืดคล้ำอยู่ตรงนั้น สายตาทอดมองมายังทิศไกล
เดิมทีเขาอาศัยอยู่ในนครเก้านรกภูมิ
แต่พอรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ที่นครจักรพรรดิขุยก็ข่มกลั้นโทสะในกาหลอมวิญญาณไว้ไม่ไหวจนต้องรีบตามมา แต่พอมาถึงกลับได้ยินเรื่องอนาถของเฉินสงเข้าพอดี
“พี่โจวพูดถูกแล้ว เจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้ก็แค่อาศัยว่ามีราชาผียักษ์หนุนหลังเท่านั้น ต่อให้พลังในการต่อสู้ของเขาจะไม่ธรรมดา แต่อย่างไรซะเขาก็ตัวคนเดียว แถมยังไม่ใช่ลูกหลานของราชาผียักษ์ โจวจื่อโม่ผู้นั้นก็เกลียดแค้นเขาอย่างกะอะไรดี คนแบบนี้คิดจะลงมือด้วย ไม่ใช่เรื่องยาก”
ข้างกายโจวหงมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ชายวัยกลางคนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา สวมอาภรณ์หรูหรา ดูจากหน้าตาเขามีความคล้ายคลึงกับซวี่ซานอยู่หลายส่วน พอได้ยินโจวหงพูดอย่างนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“พี่ซวี่ ข้าได้ยินมาว่าซวี่ซานรู้สึกกับป๋าวฮ่าวแตกต่างไปจากพวกเรา หรืออาจเรียกได้ว่านางมีความรู้สึกดีกับเขาด้วยซ้ำ?” โจวหงหันกลับมามองชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างกาย
“น้องสาวของข้าไม่รู้ประสา กลับไปบ้านดันพูดถึงเรื่องดีๆ ของป๋ายฮ่าวให้เสด็จพ่อฟังไม่น้อย ทำเอาไฟโทสะของเสด็จพ่อลดลงไปด้วย นางไม่รู้ความ แต่ข้าเป็นพี่ชายของนาง ความเสียเปรียบครั้งนี้ของนครเทพจุติ มีหรือจะปล่อยให้เสียเปล่าได้ ดังนั้นพอครั้งนี้พี่โจวเชิญตัวมา ข้าถึงได้วางเรื่องทุกอย่างในมือลงแล้วรีบมาพบหน้าท่าน!” ชายวัยกลางคนผู้นี้กล่าวเนิบนาบ เขาก็คือซื่อจื่อของนครเทพจุติ ซวี่เผิง
“ไม่ทราบว่าพี่โจว มีวิธีอะไรรับมือป๋ายฮ่าว?”
ดวงตาของซวี่เผิงเปล่งประกายน้อยๆ เขาเอ่ยปากเนิบช้า อันที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับป๋ายเสี่ยวฉุน เพียงแต่ตำแหน่งราชาของแดนทุรกันดาร หาใช่ยกให้แค่ลูกชายไม่ยกให้ลูกสาว อีกทั้งบุตรของราชาเทพจุติก็มีเยอะมากจนเป็นที่รับรู้กันไปทั่วทั้งแดนทุรกันดาร ดังนั้นบรรดาพี่ๆ น้องๆ ในนครเทพจุติของเขา คนที่สร้างภัยคุกคามให้กับเขาได้มากที่สุดก็คือซวี่ซาน
และเขาก็สืบความจนได้รู้ความรู้สึกที่ซวี่ซานมีต่อป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นถึงได้ตอบรับคำเชิญของโจวหง เพียงแต่เขาเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะปะทะกับป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งๆ หน้า แค่กะจะผลักเรือไปตามน้ำ คอยฉกฉวยโอกาส และแน่นอนว่าหากแผนการของโจวหงมีความเสี่ยง เขาก็พร้อมจะปฏิเสธอย่างไม่ลังเล