Skip to content

A Will Eternal 761

บทที่ 761 พวกเจ้ารู้จักข้า?

ขณะเดียวกันนั้น ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่ต้าเทียนซือออกคำสั่งแต่งตั้งป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้ตรวจการ ในนครจักรพรรดิขุยก็มีสายตาของคนไม่น้อยคอยจับจัองมาที่จวนตรวจการของเขตพื้นที่ที่สี่อยู่เป็นระยะ เมื่อรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนพากองพันออกมาปรากฏตัว เงาร่างของชายฉกรรจ์นับพันที่สวมเกราะสีดำก็ทำให้คนแทบทั้งหมดพากันจับตามอง หลังจากเห็นว่าเป็นพวกเขา ทุกคนต่างก็ใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่ถึงกับสูดลมเย็นๆ ดังเฮือก

ในสมองของพวกเขามีเรื่องเล่าลืออย่างหนึ่งในนครจักรพรรดิขุยแห่งนี้ลอยขึ้นมา ในเรื่องเล่านั้นมีคำเรียกขานกลุ่มบุคคลที่เคยสร้างลมคาวฝนเลือด สังหารคนจนเลือดหลั่งนองเป็นแม่น้ำ…

“กองทัพศพโลหิต!!”

“นั่นคือกองทัพศพโลหิตที่เคย…สร้างมรสุมคาวเลือดมาเจ็ดเดือน!!”

บัดนี้สายตาของคนนับไม่ถ้วนต่างก็มารวมกันอยู่บนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน รวมไปถึงกองทัพศพโลหิตที่สวมชุดเกราะสีดำนับพันคนซึ่งอยู่เบื้องหลังของเขา

ชนสูงศักดิ์ทั้งหมดในนครจักรพรรดิขุยต่างก็ใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาไม่ได้กลัวป๋ายเสี่ยวฉุน ที่พวกเขากลัวก็คือกองทัพศพขุยเหล่านี้ ทั้งยังหวาดกลัวคนที่เบื้องหลังกองทัพศพขุยอย่าง…ต้าเทียนซือ!!

ข่าวลือเกี่ยวกับกองทัพศพขุยมีอยู่มากมาย บางคนก็บอกว่านี่คือกองทัพลึกลับที่มีมาตั้งแต่ยุคจักรพรรดิขุยรุ่นที่สาม จากนั้นก็ตกทอดกันมาสู่มือของจักรพรรดิขุยรุ่นแล้วรุ่นเล่า ทว่าเมื่อมาถึงจักรพรรดิขุยรุ่นนี้ กองทัพนี้กลับตกอยู่ในมือของต้าเทียนซือ

และยังมีคนบอกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าต้าเทียนซือ บนโลกนี้ไม่มีคำว่ากองทัพศพขุย นี่คือกองกำลังที่ต้าเทียนซือสร้างขึ้นมาเองกับมือ เป็นกองทัพไร้เทียมทานซึ่งสร้างมาจากศพของชนสูงศักดิ์ทุกคนที่เคยต่อต้านต้าเทียนซือในปีนั้น!

ข่าวลือมากมายมีหมดทุกรูปแบบ แต่ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือแบบไหนก็ล้วนเกี่ยวข้องกับต้าเทียนซือทั้งสิ้น!

และบัดนี้เมื่อกองทัพที่หายสาบสูญไปนานได้กลับมาปรากฏตัวอยู่ในสายตาของชนสูงศักดิ์แห่งนครจักรพรรดิขุยอีกครั้ง พวกเขาก็พากันใจหายวาบ หัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอย่างห้ามไม่ได้

เพราะพวกเขาพากันตระหนักได้ว่า…จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือตอนนี้คนที่เป็นตัวแทนต้าเทียนซือควบคุมกองทัพนี้กลับเป็น…ป๋ายฮ่าว!!

ไอ้หมอนั่นคือคนที่ล่วงเกินศิษย์แห่งความภาคภูมิใจไปมากมาย สามารถพูดว่าต่อให้เขาจะไม่ได้สัมผัสกับยอดฝีมือในราชสำนักโดยตรงนัก ทว่าในทางอ้อมกลับมีความเกี่ยวข้องกับคนแทบทุกคน

ค่ำคืนนองเลือดของเมื่อหลายวันก่อน จนถึงตอนนี้คนจำนวนนับไม่ถ้วนในนครจักรพรรดิขุยก็ยังคงพูดคุยกัน แค้นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ!

นี่จึงทำให้ความคิดในใจคนมากมายพลิกตลบไม่หยุด ขณะเดียวกันกับที่พากันสำลักลมหายใจ แต่ละคนก็ยังเริ่มระแวดระวังตัวด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นไม่รู้ว่าการที่ตัวเองพาชายฉกรรจ์สวมเกราะดำนับพันคนออกมาข้างนอกคราวนี้จะสร้างพายุบ้าคลั่งให้ในใจของเหล่าชนชั้นสูงมากแค่ไหน เขารู้สึกเพียงว่าตอนนี้ตนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะผ่านไปทางไหนก็ล้วนดึงดูดสายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วน

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาเคลิบเคลิ้มจนทอดถอนใจไม่หยด

“นานแค่ไหนแล้ว…ที่ข้าไม่ได้รู้สึกมีหน้ามีตาเช่นนี้…ครานั้นตอนอยู่นครผียักษ์ แม้ข้าจะเป็นผู้กำกับการใหญ่ ทว่าในมือกลับไม่มีกองทัพเป็นของตัวเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกราวกับคนที่ดื่มด่ำกับความรู้สึกลึกล้ำ บัดนี้ความมั่นใจของเขาเปี่ยมล้น รู้สึกสูงส่งเหมือนคนที่มองต่ำลงบนพื้นดิน เชิดคางขึ้นน้อยๆ บินทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วที่คล้ายจะเร็วแต่ก็ไม่เร็ว

จุดหมายปลายทางของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือคุกใหญ่ของนครจักรพรรดิขุย คุกใหญ่นี้ไม่ได้อยู่ตรงใจกลางเมือง แต่อยู่ในพื้นที่ที่สี่สิบเก้า ป๋ายเสี่ยวฉุนพาชายฉกรรจ์เกราะดำนับพันคนทะยานไปเบื้องหน้าอย่างห้าวเหิม แม้แต่องค์รักษ์ของนครจักรพรรดิขุยก็ยังได้แต่มองไกลๆ ไม่กล้าเข้ามาขัดขวาง ปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพาคนบินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูคุกใหญ่เขตที่สี่สิบเก้า

ภายนอกของคุกใหญ่มองดูเหมือนมีงูเหลือมขนาดใหญ่ยักษ์ขดตัวพันอยู่ ทางเข้าก็คือปากของงูเหลือมที่อ้าออกกว้าง ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง พวกพัศดีของคุกใหญ่ก็บินออกมาอย่างรวดเร็ว หลังจากมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนและคนเกราะดำนับพันที่อยู่ด้านหลังเขา เหล่าผู้คุมก็สูดลมหายใจเฮือกๆ ไม่หยุด ตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่น

“คารวะท่านผู้ตรวจการ!” พวกเขารู้เรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกต้าเทียนซือแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการแล้ว บัดนี้มองปราดเดียวก็จำป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่เบื้องหน้าคนชุดดำจำนวนมากได้จึงรีบปรี่ขึ้นมารับหน้าแล้วกุมมือคารวะด้วยความนอบน้อม

“พวกเจ้ารู้จักข้า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง เชิดคางขึ้น เอ่ยเสียงเรียบ

“ใต้เท้าป๋ายมีบารมีไร้ที่สิ้นสุด ชื่อเสียงระบือไกล เป็นบุคคลที่พวกข้าต้องแหงนหน้ามอง เมื่อหลายเดือนก่อนข้าน้อยเคยมองเห็นท่านไกลๆ แค่มองปราดเดียวก็เห็นท่วงท่าอันงามสง่าไร้ผู้ใดทัดเทียมของท่าน ไม่รู้ว่าใต้เท้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด หากข้าน้อยมีความสามารถพอจะช่วยท่านได้ ย่อมต้องทำอย่างเต็มกำลังแน่นอน”

พัศดีคุกคือชายวัยกลางคนคนหนึ่ง พุงของเขาใหญ่มาก ตัวอ้วนกลม พอได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบเค้นรอยยิ้มแล้วเอ่ยรัวเร็ว

ทว่าในใจของเขากลับกระวนกระวายอย่างถึงที่สุด เขาไม่เพียงแต่ได้ยินเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการ ตอนนี้ยังได้เห็นกองทัพศพโลหิตกับตาตัวเองอีก พอคิดว่าอีกฝ่ายเลือกจะมายังสถานที่ของตนเป็นที่แรก ในใจก็ยิ่งไม่เป็นสุข

แต่การที่เขาพูดประจบสอพลออย่างหน้าไม่อายนี้กลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์ รู้สึกว่าไอ้หมอนี่ไม่มีความจริงใจ แต่พอนึกถึงตัวตนของตัวเองตอนนี้ก็รู้สึกว่าการคิดเล็กคิดน้อยกับบุคคลตัวเล็กๆ ออกจะน่าขายหน้าเกินไปหน่อย ดังนั้นจึงแค่นเสียงเย็นหนึ่งที

“เจ้าไม่จำเป็นต้องถามมาก ทำตามที่บอกก็พอ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง แล้วจึงเดินอาดๆ เข้าไปในคุกใหญ่

พวกพัศดีคุกถึงกับอึ้งงันไปกับคำตอบของป๋ายเสี่ยวฉุน ใจยิ่งสั่นรัว หัวใจเต้นกระหน่ำรัวเร็ว เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาเป็นสาย แต่กลับไม่มีเวลามามัวคิดมาก ได้แต่รีบติดตามไป

แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเพิ่งเคยมาคุกใหญ่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ทว่าเขาเคยเป็นผู้คุมในคุกมารของนครผียักษ์มาก่อน ทั้งยังเป็นแส้ทมิฬอันดับหนึ่ง ดังนั้นพอมาถึงที่นี่ เมื่อได้กลิ่นอับชื้นเหมือนขึ้นรา สัมผัสได้ถึงความเย็นอึมครึมของที่แห่งนี้ เขาก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันที

“ข้าต้องการดูบันทึกเกี่ยวกับนักโทษทั้งหมดของพวกเจ้า จงไปเอามาให้ข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปนั่งในโถงใหญ่ที่เป็นของพัศดีแล้วเอ่ยแสดงเจตจำนง

พัศดีคนนั้นตึงเครียดอย่างมาก เอามือปาดเหงื่อพลางตอบรับเสียงดัง รีบสั่งความให้คนไปเอาข้อมูลของนักโทษทั้งหมดมา แล้วมอบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกับมือของตัวเอง

ป๋ายเสี่ยวฉุนตีหน้าเคร่ง นั่งหลังตรง พอรับแผ่นหยกมาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ไปเตรียมห้องลับห้องหนึ่งให้กับข้า!” กล่าวจบป๋ายเสี่ยวฉุนก็ก้มหน้าอ่านแผ่นหยก

พัศดีรีบไปจัดการทันที ไม่นานเขาก็หาห้องลับที่ดีที่สุดมาให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ตอนนี้ในใจเขาหวังแค่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปโดยเร็ว ตัวเองจะได้อยู่อย่างสงบเสียที เพราะการมาเยือนของกองทัพศพโลหิตนั้นสร้างความกดดันให้กับในใจของเขาอย่างมหาศาล

“คนผู้นี้…แล้วก็คนนี้ คนนี้ด้วย…จงไปนำคนเหล่านี้มาพบข้าทีละคน!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดพลังจิตมองไปบนแผ่นหยกอย่างรวดเร็ว อาศัยประสบการณ์จากในคุกทมิฬ เพียงแค่เขาตรวจหาอย่างเจาะจงก็เล็งเป้าหมายไปที่คนหลายสิบคนได้ทันที คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมีความสัมพันธ์กับชนสูงศักดิ์หลายคนในนครจักรพรรดิขุย

วันปกติพวกเขาถูกขังอยู่ในคุก แม้ด้วยความสัมพันธ์กับกลุ่มอิทธิพลเบื้องหลังทำให้ไม่สามารถถูกปล่อยตัวออกไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่พวกเขากลับได้รับทรัพยากรในการฝึกตนที่ไม่ต่างไปจากโลกภายนอกเท่าไหร่นัก

อีกทั้งพวกนักโทษเหล่านี้ก็มักจะวางตัวอวดเบ่ง แม้แต่พวกผู้คุมก็ยังต้องเกรงอกเกรงใจพวกเขา แต่เพียงว่าตอนนี้ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนออกคำสั่ง จึงทำให้พัศดีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

“หรือว่าพัศดี…จะต้องให้ผู้ตรวจการอย่างข้าลงมือด้วยตัวเอง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พอใจทันที เขาถลึงตาดุดัน ขณะเดียวกันชายฉกรรจ์เกราะดำที่อยู่ข้างกายก็พากันแผ่ปราณดุร้ายเข้มข้น ปราณดุร้ายนี้ทะลุทะลวงความอึมครึมของคุกใหญ่ คล้ายทำให้คุกกลายมาเป็นนรกภูมิ

พัศดีสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ในใจบังเกิดความหวาดกลัวไร้ที่สุดสิ้น รีบสั่งความอย่างไม่เหลือความลังเลอีกต่อไป

ทันใดนั้นคุกใหญ่ก็พลันเกิดความโกลาหล พวกผู้คุมทั้งหมดล้วนบุกเข้าไปหาคนที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเรียกชื่อด้วยท่าทางดุร้ายอำมหิต

“พวกเจ้าจะทำอะไร!”

“นายของข้าคือพระยาสวรรค์โจว พวกเจ้าช่างใจกล้ายิ่งนัก!”

“หยุดนะ!!”

เสียงร้องคำรามหลากหลายรูปแบบดังก้องไปทั่วบริเวณ ทว่าเหล่าผู้คุมกลับเหมือนไม่ได้ยิน พวกเขาพากันแสดงความเหี้ยมโหด ตรงเข้าไปกำราบอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่นานนักพวกคนที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเรียกชื่อก็ถูกควบคุมเอาไว้ ก่อนจะถูกพาตัวมาส่งในห้องลับอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการ

นอกห้องลับ คนหลายสิบคนนี้ต่างก็อกสั่นขวัญผวา ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขณะที่คิดจะพูดคุยกัน กลับถูกผู้คุมที่อยู่ข้างกายขัดขวางเอาไว้ก่อน

และขณะที่พวกเขากำลังคลางแคลงใจ ทันใดนั้นรอบด้านพลันเงียบสงัด พวกผู้คมพากันหันไปโค้งตัวคารวะยังทิศทางหนึ่ง พวกนักโทษก็รีบพากันหันไปมอง แล้วก็มองเห็นว่าข้างกายพัศดีที่มีสีหน้าประจบสอพลอมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมา

ชายหนุ่มคนนี้หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ยามนี้กำลังเอามือไพล่หลัง เชิดคางขึ้นน้อยๆ เขาก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน และด้านหลังเขายังมีชายฉกรรจ์เกราะดำอีกไม่น้อยที่คอยให้การคุ้มกัน ลักษณะพลังสยบขวัญผู้คน

“ข้าผู้ตรวจการต้องการมาสอบปากคำด้วยตัวเอง ข้าเรียกคนไหน พวกเจ้าก็เอาคนนั้นมาส่ง ขณะที่ข้าผู้ตรวจการกำลังสอบปากคำ ทุกคนห้ามเข้ามาใกล้!” เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องลับ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ข่มกลั้นความลำพองใจเอาไว้แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมอย่างถึงที่สุด ขาดคำของเขา พัศดีผู้นั้นก็ตอบรับทันทีทันใด

ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็เรียกนักโทษคนหนึ่งเข้าไปในห้องลับ พวกชายฉกรรจ์เกราะดำก็รีบห้อมล้อมห้องลับเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปใกล้

ยามนี้พัศดีกำลังหวาดผวา ทั้งยังมากด้วยความกลัดกลุ้ม จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดป๋ายเสี่ยวฉุนถึงเลือกมาที่ของตนเป็นที่แรก

“เขามาที่นี่เพราะต้องการทำอะไรกันแน่…” พัศดีกระวนกระวายใจ ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็พลันได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากห้องลับ เสียงร้องนี้ทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี สำลักลมหายใจ ยิ่งพวกผู้คุมมือแส้บางคนที่พอได้ยินเสียงร้องโหยหวนนี้ก็พลันเบิกตากว้าง หันขวับไปมองทันที

“เสียงร้องแบบนี้…ไม่ใช่ว่าจะทำให้คนเปล่งออกมาได้ง่ายๆ …”

ไม่เพียงแต่เหล่าผู้คุมที่ตกตะลึง คนโทษคนอื่นๆ ที่รออยู่ตรงนี้ก็สูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอดไปหลายเฮือก ทุกคนใจหายวาบ ส่วนพัศดีคนนั้นก็ยิ่งใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง อดบังเกิดความกริ่งเกรงอย่างรุนแรงไม่ได้

หลังจากที่เสียงร้องโหยหวนนี้ดำเนินมาได้ครึ่งก้านธูป ประตูใหญ่ของห้องลับก็ถูกเปิดออก ก่อนที่ร่างหนึ่งซึ่งสั่นเทิ้มไปทั้งร่างจะถูกโยนออกมา นั่นก็คือนักโทษที่ถูกจับเข้าไปก่อนหน้านี้ เวลานี้ร่างของเขายังสั่นไม่เลิก ประกายดวงตาแตกซ่าน ราวกับแหลกสลายทั้งกายและใจ

“คนต่อไป!” ในห้องลับมีเสียงราบเรียบแต่กลับทำให้คนฟังใจสั่นของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version