บทที่ 762 ได้ยินมาว่าเจ้าเชี่ยวชาญเรื่องรีดทรัพย์ผู้อื่น
ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมืออย่างเหี้ยมโหดแล้ว เขาเข้าใจดีว่าหากตนคิดจะแก้แค้นก็จำเป็นต้องหาหลักฐานให้เจอเสียก่อน ต่อให้หลักฐานที่ว่านั้นจะไม่ครอบคลุม แต่อย่างไรก็ต้องมีคำอธิบายให้กับต้าเทียนซือ
และหากคิดจะหาหลักฐาน เขาก็นึกวิธีอื่นไม่ออกอีกแล้ว อีกทั้งก็ยังไม่มีใครคิดด้วยว่าเขาจะมาสอบปากคำนักโทษในคุก เพราะอย่างไรซะก็ไม่ใช่ทุกคนที่เคยเป็นผู้คุมมาก่อน และก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นมือแส้ผู้ประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าคนเหล่านั้นย่อมไม่มีทางตระหนักได้ว่า ในคุกใหญ่แห่งนี้…จะซุกซ่อนความลับไว้มากมายจนน่าตะลึงเพียงใด!
สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว คุกใหญ่แห่งนี้ก็คือช่องโหว่ที่ดีที่สุด
ต้องรู้ว่าเมื่อครั้งที่สามตระกูลจะก่อกบฏในนครผียักษ์ เรื่องนี้ก็เคยหลุดออกมาจากในคุกมารของนครผียักษ์มาก่อน และความพิเศษของผู้ฝึกวิญญาณแดนทุรกันดารก็ทำให้การค้นวิญญาณเป็นไปด้วยความยากลำบาก การสอบปากคำจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งขึ้น ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ความยากนี้ไม่มีอยู่จริง
พวกนักโทษที่เขาเรียกตัวมาล้วนมีพยานหลักฐานมัดตัวแน่นหนาว่ากระทำความผิดมหันต์ และความผิดเหล่านั้นก็มีความเกี่ยวข้องกับชนสูงศักดิ์หลายคน ทว่าด้วยสาเหตุบางประการทำให้พวกเขาไม่ถูกประหาร
เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ เมื่อนักโทษคนแล้วคนเล่าถูกจับตัวเข้าไปข้างใน เสียงร้องโหยหวนคร่ำครวญก็ดังไม่ขาดสาย ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง ยิ่งพวกมือแส้ที่อยู่ในกลุ่มผู้คุมคุกก็ยิ่งฉายแววตกตะลึงออกมาทางดวงตา
“ใต้เท้าผู้ตรวจการคนนี้ คือแส้ทมิฬ!!”
“ใช่แล้ว ข้านึกออกแล้ว เคยมีเรื่องเล่าลือว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้ใจดำอำมหิต ครานั้นเขาเคยเป็นแส้ทมิฬอันดับหนึ่งของนครผียักษ์!!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ระหว่างเหล่ามือแส้ได้ดังเข้าหูพัศดีคุกเช่นกัน นั่นทำให้ใจของเขายิ่งสั่นสะท้าน ยิ่งกริ่งเกรงในวิธีการของป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น
แม้เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะติดต่อไปหาจักรพรรดิขุย แต่เขาก็เคยได้ยินมาว่าเมื่อหลายปีก่อน เวลาเจ็ดเดือนภายใต้การนำของกองทัพศพโลหิต กองกำลังนี้ไม่มีใครสามารถล่วงเกินได้ ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่จบชีวิตไปด้วยความอเนจอนาถ
พอคิดมาถึงตรงนี้ร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม มองชายฉกรรจ์เกราะดำที่โอบล้อมอยู่นอกห้องลับ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องการอะไร ตนจะต้องตอบสนองความต้องการของเขาให้ได้ดีที่สุด
ระหว่างที่หลายสิบคนนี้ถูกสอบปากคำ ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้เวลาหมดไปหนึ่งวันเต็ม ทว่าเบาะแสที่ได้รับกลับน้อยแสนน้อย เมื่อเขาเดินออกมา สีหน้าของเขาก็ไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่นัก ครั้นจึงหยิบแผ่นหยกออกมาอีกครั้งแล้วเรียกหาคนทีเดียวนับร้อยคน
“พาตัวพวกเขามาหาข้าให้หมด!”
พัศดีไม่มีความลังเล เขารีบตอบรับเสียงดังแล้วออกคำสั่งทันใด หลังจากนั้นนักโทษชุดที่สองก็ถูกพามาที่นี่และถูกส่งตัวไปให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสอบสวนทีละคน
ไม่นานก็มีคนชุดที่สาม ชุดที่สี่ ชุดที่ห้า
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจมจ่อมอยู่กับการสืบปากคำ คิดจะหาหลักฐานมาแก้แค้น โลกภายนอกก็เกิดความครึกโครมไม่น้อยเพราะการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ว่าไงนะ เขาไปที่คุกใหญ่?”
“เจ้าป๋ายฮ่าวไปที่นั่นทำไม”
“แย่แล้ว เขาเคยเป็นแส้ทมิฬตอนอยู่นครผียักษ์ หรือว่าเขาคิดจะหาความลับจากพวกนักโทษที่อยู่ในคุก” หากก้อนเมฆยังไม่เคลื่อนถอยจนเผยให้เห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่อยู่ข้างหลัง
ทว่าเมื่อมีมือคู่หนึ่งไปแหวกมันออก เหล่าผู้คนก็จะมองเห็นเส้นสนกลในของความจริงได้อย่างง่ายดาย ยามนี้เมื่อคนไม่น้อยรู้ทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมุ่งหน้าไป พวกเขาจึงพอจะเดาจุดประสงค์ของป๋ายเสี่ยวฉุนออกแล้ว
แต่คาดเดาก็ส่วนคาดเดา ความลับในคุกนั้นมหัศจรรย์ก็ตรงที่ ต่อให้คนนอกรู้เรื่องเดียวกับที่คนในคุกรู้ ทว่าพวกเขากลับไม่คิดว่าจะมีใครล่วงรู้ความลับนั้น
เพราะอย่างไรซะหากเป็นเรื่องที่คนข้างนอกรู้จริงๆ ด้วยความกังวล พวกเขาก็คงฆ่าปิดปากพยานไปนานแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากที่การสอบปากคำของป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านไปสี่ห้ากลุ่ม ในที่สุดเขาก็หาช่องโหว่อย่างหนึ่งได้ เขารู้จากปากนักโทษคนหนึ่งว่าพระยาสวรรค์คนหนึ่งเคยมีความสัมพันธ์บางอย่างกับองค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นเรื่องคนนอกไม่มีใครรู้
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าคึกคักทันใด เขาพอจะจำพระยาสวรรค์คนนี้ได้
ลูกหลานของคนผู้นี้เหมือนจะมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับโจวหง อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังอาศัยป้ายคำสั่งของผู้ตรวจการตรวจสอบจนรู้ว่าคราวก่อนคนผู้นี้ก็คือหนึ่งในคนที่ช่วยโจวหงกระจายข่าวลือเรื่องเฉินม่านเหยาและซวี่ซาน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะหึหึ ก่อนจะสอบปากต่อไป ไม่นานเขาก็อยู่ในคุกใหญ่แห่งนี้มาแล้วครึ่งเดือน ตลอดครึ่งเดือนมานี้เขาแทบจะเอาคนที่น่าสงสัยมาสอบปากคำทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นัก จึงเรียกตัวนักโทษที่มองดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ แต่กลับกระทำความผิดมหันต์มาสอบปากคำด้วย และในบรรดานี้ก็มีคนมากมายที่ขวัญผวากับสภาพอเนจอนาจของพวกนักโทษชุดก่อนที่เคยถูกสอบปากคำไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนแทบไม่ต้องใช้การทรมานใดๆ พวกเขาก็เปิดปากบอกเอง เพราะอย่างไรซะทรัพยากรในการศึกอย่างยากระสันซ่านนี้ หากประหยัดได้ก็ควรประหยัดเป็นการดี
และนึกไม่ถึงว่าท่ามกลางการสอบปากคำช่วงสุดท้ายของเขา เขากลับได้หลักฐานที่ทั้งน่าตะลึงและทั้งน่ายินดีจากนักโทษคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ!
“บิดาของหลี่เทียนเซิ่ง พระยาสวรรค์ตระกูลหลี่ใช่ไหม” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าตัวเองจับปลาตัวใหญ่ได้แล้วก็ดีใจอย่างบ้าคลั่ง หลังจากยุติการสอบปากคำครั้งนี้ก็ออกมาจากห้องลับพร้อมความฮึกเหิม ก่อนที่เขาจะโบกมือหนึ่งครั้งพากองเกราะดำหนึ่งพันคนบินออกไปจากคุกใหญ่
เมื่อเขาจากไป เหล่าผู้คุมในคุกต่างก็มองส่งเขาด้วยสีหน้าเคารพเลื่อมใส แถมยังมีคนไม่น้อยที่เผยความกระตือรือร้นออกมาทางดวงตา พวกเขานับถือประสิทธิผลในการสอบปากคำของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งนัก แต่ละคนจึงทำท่าปรารถนาอยากจะกลายเป็นผู้ติดตามของป๋ายเสี่ยวฉุน
มีเพียงพัศดีคนเดียวที่ระบายลมหายใจออกมาอย่างคลายใจ ครึ่งเดือนมานี้ความกดดันของเขาเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน กลัวว่าหากตัวเองไม่ระวังเพียงนิดก็จะติดร่างแหไปด้วย
พอน้อมส่งป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปด้วยท่าทางราวกับส่งเทพเจ้า เขาก็กลับเข้ามาในคุกอีกครั้งแล้วเลือกปิดด่านทันที ลึกๆ ในใจนั้นรู้ดีว่าอีกไม่นานฝนเลือดลมคาวคงจะเยื้องกรายมาเยือนนครจักรพรรดิขุยแล้ว
ส่วนทางฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นกำลังเบิกบานใจสุดขีด เขาไม่ได้ไปลงมือกับบิดาของหลี่เทียนเซิ่งและพระยาสวรรค์อีกท่านหนึ่งทันที แต่ตรงไปยังพระราชวังเพื่อไปพบต้าเทียนซือ
“กล้ามาแหยมกับข้า หึ ข้าจะทำให้พวกเจ้ารู้ว่า ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้กินหญ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจ ความเร็วก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ระหว่างทางเขาก็ครุ่นคิดไปด้วยว่าตอนนี้กำลังคนของตัวเองยังไม่มากพอ ดังนั้นจึงส่งข้อความเสียงบอกให้โจวอีซิงมาที่นครจักรพรรดิขุย พอทำเรื่องพวกนี้เสร็จ
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขยับเข้าไปใกล้พระราชวัง จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าตำหนักของต้าเทียนซือถึงได้ประสานมือคารวะ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เอ่ยด้วยเสียงอันดัง
“ข้าน้อยป๋ายฮ่าว มีเรื่องสำคัญอยากเข้าเฝ้าต้าเทียนซือ”
คำพูดของเขาดังจบ มังกรเฒ่าที่ซ่อนตัวอยู่กลางหมู่เมฆก็เผยกายอีกครั้ง มันยังคงใช้สายที่แฝงแววสงสัยและใคร่รู้จับตามองป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่นานประตูของตำหนักใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออก เงาร่างของต้าเทียนซือที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานจึงเผยให้เห็นในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนปรับลมหายใจของตัวเองเล็กน้อยแล้วรีบเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ ก่อนจะร้องเสียงดัง
“ต้าเทียนซือ ข้าน้อยไม่บกพร่องต่อหน้าที่ ตอนนี้ได้ตรวจสอบเจอแล้วว่ามีพระยาสวรรค์สองคนเคยไปรบกวนการฝึกบำเพ็ญตนของจักรพรรดิขุย” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดพลางหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งยื่นส่งไปให้
ต้าเทียนซือรับแผ่นหยกนั้นมา หลังจากกวาดตามองหนึ่งครั้ง เขาก็หรี่ตาทั้งคู่ลง นิ้วหัวแม่มือถูลงบนแผ่นหยกนี้เบาๆ คล้ายกำลังนิ่งคิด
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ในใจใคร่ครวญ ไม่รู้ว่าต้าเทียนซือจะให้ตนไปจัดการเจ้าสองคนนี้หรือไม่ เพราะอย่างไรซะหลักฐานนี้ก็ไม่ได้ครอบคลุมนัก หากวิเคราะห์อย่างละเอียด อย่างมากก็เป็นแค่การคาดเดาที่ค่อนข้างแน่ชัดเท่านั้น ทว่าหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปสอบปากคำในคุกใหญ่ เขาจึงเข้าใจพระยาสวรรค์สองคนนี้อย่างถึงที่สุด
เขารู้ว่าเจ้าสองคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร ตระกูลหลี่นั่นตั้งแต่บนยันล่างล้วนฝึกวิชาพิษร้ายกันทั้งตระกูล และพิษร้ายนี้ก็มีชื่อว่าใจสตรี ระหว่างที่ฝึกวิชานี้จะเป็นต้องควักหัวใจของผู้หญิงมาใช้ฝึกตนอย่างต่อเนื่อง
อำมหิตโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันยิ่งตบะสูงมากเท่าไหร่ หัวใจของสตรีที่ต้องการก็มีมากขึ้นเท่านั้น สามารถพูดได้ว่าตลอดทั้งตระกูลหลี่ก่อตั้งอยู่บนรากฐานของการเข่นฆ่าพร่าผลาญชีวิตคนนับไม่ถ้วน
และตระกูลเฉินก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ในนครจักรพรรดิขุยแห่งนี้น้อยนักที่จะมีตระกูลใดขายพลังชีวิต คำว่าพลังชีวิตนี้แท้จริงแล้วก็คือตระกูลพวกเขาจะเลี้ยงทาสรับใช้ไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งทาสพวกนี้ล้วนเป็นนักพรตที่ถูกจับจากกำแพงเมืองแล้วนำมาส่งที่นี่ เพื่อให้คนดึงเอาพลังชีวิตไปใช้ในการรักษาบาดแผลและอาการบาดเจ็บ
การที่พวกเหล่าชนชั้นสูงฟื้นตัวได้รวดเร็วหลังจากถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเล่นงานก็ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
พอคิดถึงความระยำตำบอนของสองตระกูล ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แอบเหลือบมองไปที่ต้าเทียนซือ
ทว่าสีหน้าของต้าเทียนซือกลับไร้อารมณ์ เขาเงียบจนป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มร้อนใจ ไม่รู้ว่าต้าเทียนซือคิดอะไรอยู่กันแน่ หลังจากเวลาล่วงเลยไปหนึ่งก้านธูป นิ้วหัวแม่มือที่ถูอยู่บนแผ่นหยกของต้าเทียนซือก็หยุดลง ทันใดนั้นแผ่นหยกนี้ก็กลายมาเป็นฝุ่นผงที่สลายหายไป
“จงไปจับตัว พระยาสวรรค์หลี่และพระยาสวรรค์เฉินมาให้ข้า!” ต้าเทียนซือเอ่ยเนิบช้า เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ ทันใดนั้นความว่างเปล่าข้างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันบิดเบือน เงาร่างสีดำเดินออกมาหนึ่งก้าว หลังจากรับคำเบาๆ ร่างของเขาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง การปรากฏตัวของคนผู้นี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจสะดุ้งโหยง และคำพูดของต้าเทียนซือก็ยิ่งทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น
“ได้ยินว่าเจ้าเชี่ยวชาญการค้นบ้านและรีดทรัพย์ ให้เวลาเจ้าสองชั่วยาม จงไปจัดการบ้านตระกูลหลี่และตระกูลเฉินให้เสร็จสิ้น!” ต้าเทียนซือกล่าวจบก็หลับตาลง
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้า หัวใจเต้นโลดแรงไปกับคำพูดนี้ รู้สึกเพียงว่ามีเลือดร้อนๆ ไหลบ่าขึ้นมาที่หัวใจ พอนึกถึงว่าครั้งนี้ตนสามารถพาคนไปยึดทรัพย์บ้านคนอื่นได้อีกครั้ง ซึ่งผลพลอยได้ยังเป็นเรื่องรอง ทว่าที่สำคัญที่สุดคือการได้แก้แค้น อีกทั้งยังเป็นการแก้แค้นเรื่องส่วนตัวในนามส่วนรวม เขาก็พลันรู้สึกคึกคักกระปรี้กระเปร่า ยิ่งรู้สึกว่าต้าเทียนซือผู้นี้ช่างเป็นเทียนซือที่ดีจริงๆ
ดังนั้นจึงรับคำเสียงดังฟังชัด พอหมุนกายได้ก็บินออกไปจากตำหนักเทียนซือ และตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้าใจการตัดสินใจของต้าเทียนซือแล้วว่าที่เขาออกคำสั่งในครั้งนี้ก็เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู!
อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องให้เขาเสนอหลักฐานอะไร แค่มีเบาะแสเสี้ยวเดียว ต่อให้จะเป็นเพียงการคาดเดา ทว่านั่นก็เพียงพอแล้ว ต้าเทียนซือ จะฆ่าคนแล้ว!
“มีที่พึ่งที่เด็ดขาดและแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ใครยังจะกล้ามาแหยมกับข้าอีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ห้าวเหิมถึงขีดสุด สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก่อนจะเรียกกองเกราะดำหนึ่งพันคนให้ตรงไปยังบ้านตระกูลหลี่
“หลี่เทียนเซิ่ง นายท่านป๋ายของเจ้ามาแล้ว!”