บทที่ 778 เขี้ยวลากดิน
ต่อให้จะมีการปูทางมาก่อน ทว่าประโยคนี้ก็ยังทำให้สตรีธุลีแดงอึ้งงันอยู่ดี นางรู้สึกทะแม่งๆ ไม่น้อย หลังจากขอวิชาที่ว่านั้นมาดูอย่างละเอียดก็ยังไม่พบอะไรที่ผิดปกติ อีกอย่างราชาผียักษ์ก็คือบิดาของนาง ย่อมไม่มีทางทำร้ายนางแน่ แต่กระนั้นสตรีธุลีแดงก็ยังรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ
ดังนั้นจึงศึกษาวิชานี้อยู่นานมาก และเนื่องด้วยร้อนใจอยากให้ตบะฝ่าทะลุเร็วๆ เพราะอย่างไรซะการประมือกับเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ก็ทำให้นางไม่พึงพอใจในตบะของตัวเองอย่างยิ่ง สุดท้ายจึงไม่คิดให้มากความอีก เพียงรับมาแล้วปิดด่านฝึกวิชาทันที
“ลูกสาวคนดี ไม่ใช่ว่าพ่อคิดอยากเล่นงานเจ้า วิชานี้ไม่มีอันตรายอะไร เพียงแต่เมื่อออกจากด่านหลังการฝึกครั้งแรกจะทำให้สมองของคนเลอะเลือน สติไม่ชัดเจนนัก ความคิดก็ไม่รื่นไหล ง่ายที่จะถูกคนชักจูง เทียบเคียงได้กับการถูกล้างสมอง…
ช่วยไม่ได้ เพราะเจ้านั้นฉลาดเกินไป หากเป็นอย่างนี้ต่อไป จะพัฒนาความสัมพันธ์กับป๋ายฮ่าวได้อย่างไร” ราชาผียักษ์รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ แต่พอคิดว่าที่ตนทำไปก็เพราะความหวังดี ทุกอย่างนี้ล้วนทำเพื่อลูกของตน พอคิดมาถึงตรงนี้เขาก็กลับรู้สึกว่าตนเป็นพ่อที่ดี
เมื่อเห็นว่าแผนการขั้นแรกของตนสำเร็จไปได้ด้วยดี นอกจากความร้อนตัวเล็กน้อยแล้ว ราชาผียักษ์ยังมากไปด้วยความฮึกเหิม
ฉวยโอกาสตอนที่สตรีธุลีแดงปิดด่านสั่งความไปยังองค์รักษ์คนสนิทข้างกายของสตรีธุลีแดง บอกพวกเขาว่าเมื่อใดที่โจวจื่อโม่ออกจากด่านต้องรายงานเรื่องนี้ให้ตนทราบทันที
เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างถึงที่สุดจนพวกองค์รักษ์คนสนิทถึงกับตื่นตระหนกตามไปด้วย จึงพากันรับคำสั่งฉับไว
พอทำทุกอย่างนี้เสร็จ ราชาผียักษ์ก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที
“จะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูที่บุพเพสันนิวาสแล้ว หากพวกเขาไม่มีวาสนาต่อกัน ทุกอย่างที่ทำลงไปก็ไร้ประโยชน์”
……
ตระกูลจ้าวตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ที่สิบเก้า ด้วยตัวตนพระยาสวรรค์ของจ้าวสงหลิน ขอบเขตพื้นที่ของตระกูลนี้นับว่าแตกต่างกับตระกูลหลี่ ตระกูลเฉินราวฟ้ากับเหว เมื่อทอดสายตามองไป สิ่งปลูกสร้างแต่ละหลังไม่ได้ประณีตงดงาม แต่กลับหยาบกระด้าง จึงดูสะดุดตามากเป็นพิเศษในพื้นที่ที่สิบเก้าแห่งนี้
ยิ่งสองฝั่งของลานกว้างในตระกูลจ้าวที่มีรูปปั้นสัตว์สองตัวซึ่งสูงหลายพันจั้งตั้งตระหง่านอยู่ ตลอดทั้งร่างของรูปปั้นเป็นสีขาวสะอาดสะอ้าน แม้ว่าจะไม่ได้สร้างขึ้นจากหินวิเศษ ทว่าก็สร้างขึ้นมาจากวัตถุดิบบางอย่างที่หายาก ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
ตำแหน่งตรงกลางของรูปปั้นสองรูปนี้ก็คือเจดีย์พระยาสวรรค์ของตระกูลจ้าวที่ตั้งเด่นเป็นสง่า แผ่คลื่นที่ทำให้คนซึ่งอยู่ไกลมากก็ยังสัมผัสได้ถึงพลานุภาพสยบของตระกูลจ้าวที่เหมือนว่ามีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
บัดนี้ในตระกูลจ้าว ลูกหลานทุกคนในตระกูลต่างก็กำลังประมือกันราวกับการประลองฝีมืออยู่กลางลานแสดงยุทธ์ บางครั้งก็มีเสียงเวทอภินิหารกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหว และในฐานะที่เป็นลูกชายคนโตของตระกูลจ้าว จ้าวซานตงจึงมานั่งขัดสมาธิชมการประลองอยู่บนตำแหน่งประธานของลานแสดงยุทธ์ แม้ว่าสายตาจะกำลังมองคนในตระกูล แต่ในความเป็นจริงแล้วใจของเขากลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งเส้นเอ็นตรงหว่างคิ้วยังกระตุกตุบๆ ด้วย
เขาคอยเงยหน้ามองท้องฟ้าทิศไกลอยู่เป็นระยะ ในใจก็ถอนหายใจติดๆ กัน พอนึกถึงใบหน้าเดือดดาลของบิดาที่กลับมาเมื่อวาน จ้าวตงซานก็กลัดกลุ้มอยู่ในใจ เขารู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวังหลวงแล้ว นี่จึงทำให้เขาแอบร้องโอดครวญ ขณะเดียวกันก็ทั้งคับแค้นชิงชังป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างถึงที่สุด
“ชั่วร้ายยิ่งนัก…”
“มอบวิญญาณสร้างฐานรากให้กับตระกูลจ้าวของพวกข้า แต่กลับจะเอาวิญญาณคนฟ้ากลับไป นี่มันต่ำช้าเสียยิ่งกว่าปล้นกันซึ่งๆ หน้าเสียอีก!” จ้าวตงซานกัดฟันอย่างเคียดแค้น ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความจนใจ เมื่อคืนวานจ้าวสงหลินก็มอบวิญญาณคนฟ้ามาให้เขาแล้วหนึ่งดวง พอสั่งความเสร็จก็เดินหน้าดำไปปิดด่าน
“ท่านพ่อ ท่านรู้สึกเสียหน้า แต่เรื่องแบบนี้ ข้าก็รู้สึกอับอายผู้คนเหมือนกัน…” จ้าวตงซานถอนหายใจ แล้วก็ให้รู้สึกเสียดายไม่น้อย ตลอดทั้งตระกูลจ้าวของเขาก็มีแค่วิญญาณคนฟ้าดวงนี้ดวงเดียวเท่านั้น แถมนี่ยังเป็นเพราะบิดาของเขามีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับเฉินฮ่าวซง เฉินฮ่าวซงถึงได้มอบมาให้
ทว่าตอนนี้ กลับต้องเอาออกมา…นี่จึงทำให้ความอึดอัดคับข้องใจของจ้าวตงซานรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก และขณะที่เขากำลังจนใจอยู่นั้น บนท้องฟ้าที่ห่างไปไกลก็พลันมีเสียงทะยานแหวกอากาศดังลอยมา
พลังอำนาจนี้ไม่ใช่น้อยๆ ทำเอาจ้าวตงซานที่ได้ยินหนังตากระตุก ใจก็ร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มตามไปด้วย เมื่อเงยหน้าก็มองเห็นทันทีว่าที่ขอบฟ้ามีรุ้งยาวหลายพันเส้นซึ่งพกพาเอาปราณดุร้ายสะเทือนฟ้าดินบินทะยานมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
“แค่มาเอาวิญญาณดวงเดียว เจ้าป๋ายฮ่าวไร้ยางอายผู้นี้กลับต้องพาคนมาเอิกเกริกถึงเพียงนี้!” ในใจจ้าวตงซานก่นด่าไม่หยุด สีหน้าก็เริ่มดำคล้ำ จ้องเขม็งไปยังเงาร่างที่นำคนหลายพันคนอยู่หน้าสุดด้วยความขัดเคืองใจ
เงาร่างนั้นก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังทำท่าวางอำนาจบาตรใหญ่ ความเร็วของเขามีมาก พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่กลางอากาศเหนือตระกูลจ้าว พอสะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้างหนึ่งครั้ง เขาก็เปล่งน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความลำพองใจดังก้องไปทั่วทั้งตระกูลจ้าว
“พระยาสวรรค์จ้าว พี่ใหญ่จ้าว ขอบคุณเจ้ามากที่เมื่อวานช่วยเก็บรักษาวิญญาณคนฟ้าเอาไว้ให้ข้า เอ่อ…วันนี้ข้ามารับคืนแล้ว เอาวิญญาณคนฟ้ามาให้ข้าเถอะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานอย่างถึงที่สุด เขามองเห็นจ้าวตงซานตั้งนานแล้ว แต่คิดว่าด้วยตำแหน่งที่สูงส่งของตัวเองในเวลานี้ย่อมต้องพูดคุยกับจ้าวสงหลินโดยตรงเท่านั้น เด็กรุ่นหลังอย่างจ้าวตงซานผู้นี้ ตนไม่จำเป็นต้องเอ่ยทักทาย
ในเจดีย์พระยาสวรรค์ ต่อให้ก่อนหน้านี้จ้าวสงหลินจะนั่งทำสมาธิ แต่ใจก็ไม่สงบ มาตอนนี้พอรับรู้เรื่องข้างนอก หนังหน้าของเขาก็กระตุกยิกๆ พยายามฝืนข่มอารมณ์ไม่ให้ความสนใจ
“ป๋ายฮ่าว ได้วิญญาณแล้วก็จงรีบไปซะ!” จ้าวตงซานกัดฟัน แข็งใจบินออกมา ก่อนจะสะบัดปลายแขนเสื้อโยนผลึกใสออกมาผลึกหนึ่ง ผลึกนั้นใสแวววาวผิดปกติ ส่องประกายแสงระยิบระยับ ทั้งยังมีพลานุภาพสยบน่ายำเกรงแผ่ออกมา แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ด้านในนั้นมีแสงไฟอยู่กลุ่มหนึ่ง นั่นก็คือวิญญาณคนฟ้าธาตุไฟ!
ผลึกใสนี้กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวที่พุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคว้ามาไว้ในมือ หัวคิ้วของเขาก็คลายออกจากกัน ใบหน้าพลันคลี่ยิ้ม เงยหน้ามองจ้าวตงซาน
“นี่มันหลานชายใหญ่ตงซานไม่ใช่หรือ ฮ่าๆ พวกเจ้าเกรงใจกันเกินไปแล้ว ถึงขนาดเอาวิญญาณคนฟ้าของข้ามาบรรจุใส่ในผลึกใสอย่างดี ไม่เลวๆ หลานชายใหญ่ มาๆๆ วันนี้ท่านอาป๋ายอารมณ์ดี เจ้ารีบมาคารวะข้า ท่านอาป๋ายจะตบของรางวัลให้”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มตาหยีมองจ้าวตงซาน จ้าวตงซานผู้นี้ล่วงเกินตนมาหลายครั้ง วันนี้ในเมื่อตนมาแล้ว มีหรือจะยอมจากไปง่ายๆ
ลมหายใจของจ้าวตงซานเริ่มยุ่งเหยิง พอได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับเรียกตนว่าหลานชายใหญ่ ความเดือดดาลของเขาก็ปะทุพุ่งจนเเกือบจะข่มอารมณ์เอาไว้ไม่ไหว แต่พอนึกได้ว่าพลังในการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ธรรมดา อีกทั้งยังเป็นถึงผู้ตรวจการ ข้างกายมีศพหุ่นเชิดสามพันคนที่ปราณดุร้ายตลบอบอวล เขาก็จำต้องสะกดไฟโทสะเอาไว้แล้วตะคอกเสียงหนัก
“ป๋ายฮ่าว วิญญาณก็ให้เจ้าไปแล้ว เจ้ายังไม่ไปอีกรึ? ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า!”
เมื่อเขาพูดจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถลึงตากลับมา สีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน จากก่อนหน้านี้ที่ยิ้มแต้ตาหยี พริบตาเดียวกลับเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าเกรี้ยวกราด ยกมือขวาชี้หน้าจ้าวตงซาน
“หลานชายใหญ่ เจ้าพูดอย่างนี้หมายความว่าไง ที่นี่ไม่ต้อนรับข้า? ข้าเป็นตัวแทนของต้าเทียนซือ เจ้าไม่ยอมรับข้า ก็เท่ากับไม่ยอมรับต้าเทียนซือ!”
“เจ้า…” จ้าวตงซานได้ยินประโยคของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจก็อึดอัดจนแทบจะระเบิด คิดจะโต้กลับ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับพูดขัดขึ้นมาก่อนโดยไม่ให้โอกาสนี้แก่เขา
“ไม่ต้อนรับต้าเทียนซือก็เท่ากับว่าเจ้าดูหมิ่นราชสำนัก ดูหมิ่นจักรพรรดิขุย หรือว่าตระกูลจ้าวของพวกเจ้าคิดไม่ซื่อ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว เมื่อยกมือขวาขึ้น ปราณดุร้ายของศพหุ่นเชิดสามพันนายข้างกายก็พลันระเบิดออกมาจนปราณนั้นกลายมาเป็นน้ำวนสีดำที่ปกคลุมอากาศเหนือตระกูลจ้าว
“ข้าเปล่านะ!” จ้าวตงซานร้อนใจขึ้นมาทันใด แต่ฝีปากเขาสู้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ อันที่จริงหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นรับตำแหน่งผู้ตรวจการก็ชอบจะใส่ความคนที่เคยมีข้อพิพาทหรือคนที่คิดร้ายกับเขาเป็นพิเศษ และส่วนใหญ่เพียงแค่ศัตรูของเขาเอ่ยปาก
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะโยนคดีใหญ่ใส่หน้าทันที กระบวนท่านี้ร้ายกาจยิ่ง อย่าว่าแต่จ้าวตงซานเลย ต่อให้เป็นบิดาของเขาเองก็ยังสู้ไม่ได้
ขนาดพระยาสวรรค์เฉินฮ่าวซง วันนั้นที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนใส่ความก็ยังได้แต่เลือกกล้ำกลืนความโกรธแค้นเอาไว้
“เอ๊ะ? เจ้าร้อนตัวงั้นรึ!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายคล้ายคว้าจุดอ่อนของเขาเอาไว้ได้ ขณะที่กล่าวด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมก็ยกมือขวาขึ้นหมายจะออกคำสั่ง ภาพนี้ทำให้จ้าวสงหลินที่อยู่ในเจดีย์สูงโกรธจนสั่นไปตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่วนจ้าวตงซานก็หอบหายใจหนักหน่วง ทว่าครั้งนี้เขามีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วกว่าเดิมไม่น้อย ถึงได้เดินเร็วๆ ออกมาหลายก้าว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ข่มกลั้นความโกรธเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก้มหน้าคารวะ
“ผู้อาวุโส…ตงซาน…คารวะ…คารวะใต้เท้าผู้ตรวจการ!” จ้าวตงซานโมโหจนแทบกระอักเลือด แต่ตอนนี้ป๋ายฮ่าวไม่ใช่ป๋ายฮ่าวในอดีตอีกแล้ว เขากับบิดามิอาจไปมีเรื่องด้วยได้ จึงได้แต่ยอมก้มหัวให้อีกฝ่ายชั่วคราวเพื่อรักษาความปลอดภัยของตระกูลเอาไว้
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองจ้าวตงซานด้วยความไม่พอใจ แอบรู้สึกเสียดายที่วันนี้จ้าวตงซานตั้งตัวได้เร็วเป็นพิเศษ เขายังกะว่าจะใช้โอกาสนี้มาปล้นทรัพย์ตระกูลจ้าวอยู่เชียว
“แค่นี้ก็ขี้ขลาดแล้วรึ น่าเบื่อจริง” ป๋ายเสี่ยวฉุนวางมือลงด้วยความไม่พอใจ แต่กลับไม่หาข้ออ้างมาหาเรื่องอีกฝ่ายต่อ ในใจลึกๆ ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง หลังจากวาดสายตามองผ่านบ้านตระกูลจ้าวก็ชี้นิ้วไปยังรูปปั้นสัตว์สีขาวสะอาดสองรูปนั้น
“รูปปั้นสองรูปนี้ดูแล้วน่าสงสัย ทหาร จงมาย้ายมันไปส่งที่จวนตรวจการของข้า ข้าผู้ตรวจการต้องการศึกษามันอย่างละเอียด” คำพูดของเขาดังจบ ศพหุ่นเชิดเกราะดำหลายร้อยตนที่อยู่ด้านหลังเขาก็บินออกมาทันที พวกเขาบินตรงเข้าหารูปปั้นทั้งสองอย่างไม่เห็นหัวคนตระกูลจ้าว จ้าวตงซานคิ้วกระตุก เส้นเอ็นบนหน้าผากปูดนูน แต่พอเห็นว่าบิดาของตนไม่ได้เอ่ยทักท้วงจึงได้แต่สะกดอารมณ์เอาไว้ ปล่อยให้ศพหุ่นเชิดหลายร้อยตนนั้นบินไปดึงเอารูปปั้นสัตว์ที่ล้ำค่าอย่างยิ่งสำหรับตระกูลจ้าวของพวกเขาออกมา…
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ กวาดตามองเจดีย์พระยาสวรรค์ต่อไป รออยู่พักใหญ่เห็นว่ายังไงจ้าวสงหลินก็ไม่ยอมออกมาเสียที ความสนุกก็เริ่มหมดลง จึงแค่นเสียงหึในลำคอหนึ่งครั้ง แล้วถึงได้พากองทัพศพหุ่นเชิดและรูปปั้นทั้งสองนั่นจากไป
“ใครใช้ให้มาแหยมกับข้า! จ้าวตงซานผู้นั้นลงมือกับข้าหลายครั้งหลายครา รูปปั้นนี่ก็ถือว่าเป็นดอกเบี้ยก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าแล้วบินทะยานจากไปอย่างองอาจ
จนกระทั่งเขาจากไปได้ไกลแล้ว จ้าวสงหลินถึงได้คำรามออกมาจากในเจดีย์พระยาสวรรค์ ลมหายใจของเขาหอบหนัก ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ แถมยังมิอาจระเบิดความอึดอัดคับแค้นใจออกมาได้ จึงได้แต่ใช้เสียงคำรามมาระบายอารมณ์แทน
ส่วนจ้าวตงซานนั้นกลับเงียบงันด้วยความขื่นขม สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ เขาทั้งกลัวทั้งเกรงแล้วจริงๆ แอบถอนหายใจกับตัวเอง หากรู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าอย่างไรตอนนั้นเขาก็คงไม่มีทางเลือกล่วงเกินอีกฝ่ายเด็ดขาด
ปล้นวิญญาณคนฟ้า ยึดรูปปั้นกลับมาถึงจวนตรวจการ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่งความให้ศพหุ่นเชิดเฝ้าพิทักษ์อยู่รอบด้าน ส่วนตัวเองนั่งทำสมาธิอยู่ในพื้นที่ปิดด่าน ครุ่นคิดถึงคำพูดที่ต้าเทียนซือพูดเมื่อวาน
“อันดับต่อไปก็รอโองการจากต้าเทียนซือ ไม่รู้ว่าคราวนี้ต้าเทียนซือจะให้ไปค้นและยึดทรัพย์บ้านใครอีก…” ในหัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความรอคอย ผ่านไปพักใหญ่ก็คิดว่าตนควรจะตั้งใจศึกษาตำรับไฟสิบแปดสีสักหน่อย ทว่าทันใดนั้นเขาก็นิ่วหน้าน้อยๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่านอกพื้นที่ปิดด่านของเขามีเงาร่างของโจวอีซิงปรากฏขึ้น
“โจวอีซิงขอพบใต้เท้า!”
โจวอีซิงถูกป๋ายเสี่ยวฉุนแต่งตั้งให้เป็นคนของจวนตรวจการแล้ว แม้ว่ายามอยู่ในจวนตรวจการ เขาจะถูกศพหุ่นเชิดจับตามองเหมือนกัน แต่ขอแค่ไม่มีใจคิดคด ก็นับว่าไม่ลำบากใจอะไร
สำหรับโจวอีซิงผู้นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกพอใจไม่น้อย พอได้ยินประโยคของอีกฝ่ายจึงยกมือขึ้นชี้ ทันใดนั้นประตูใหญ่ก็เปิดออก โจวอีซิงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเดินเร็วๆ เข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อหยุดอยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ก้มตัวต่ำๆ คารวะหนึ่งครั้ง
“อีซิง เตรียมตัวไว้ให้ดีๆ นะ อีกไม่นานเท่าไหร่ จวนตรวจการของพวกเราต้องเริ่มงานยุ่งกันแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเนิบช้าเลียนแบบต้าเทียนซือ
โจวอีซิงรับคำทันใด จากนั้นก็ทำท่าลังเลอยู่พักหนึ่ง มองซ้ายมองขวา ครั้นจึงเอ่ยถามเบาๆ
“ใต้เท้า ซ่งเชวียผู้นั้น…จะให้จัดการยังไงขอรับ?”