บทที่ 803 จะสู้กับข้า?
ขณะที่ราชาผียักษ์นิ่งคิด บนท้องฟ้าของนครจักรพรรดิขุย ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามบอกตัวเองสงบใจให้นิ่ง อย่าให้คนนอกมองสีหน้าใดๆ ออกพลางบินไปยังพระราชวัง ติดตามไปด้านหลังเฮยหมิงเงียบๆ
อันที่จริงลึกๆ ในใจเขาก็กลัดกลุ้มมากเหมือนกัน ในสมองมีแผนของตัวเองลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเพื่อยืนยันว่าครั้งนี้ตนจะไม่มีข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้ไม่ต่างจากเคราะห์ภัย หากตนทำพลาดไปแม้แต่นิดเดียว เกรงว่าคงมิอาจฟื้นตัวกลับมาได้อีก
“น่าจะไม่เกิดเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุม…ข้าเองก็เตรียมตัวมาพร้อมเต็มที่แล้ว…” หลังจากวิเคราะห์อย่างละเอียด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มวางใจลงได้ แต่ก็ยังครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสียไม่เลิก
ภายใต้อารมณ์เช่นนี้ คนทั้งสองไม่ได้พูดกันไปตลอดทาง เพียงเคลื่อนหน้าไปเงียบๆ
อันที่จริงนับตั้งแต่ที่ลงมือบุกเข้าไปสังหารตระกูลโจวอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบโดยไม่รอคำอนุญาตจากต้าเทียนซือ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องนี้ต้องชักนำให้เกิดมรสุมลูกใหญ่โหมกระหน่ำ!
แต่เขาก็ไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เพราะอย่างไรซะเขาก็ไม่มีความเชื่อมั่นและไว้ใจในตัวต้าเทียนซืออย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว และความปลอดภัยของป๋ายฮ่าวก็สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด หากเรื่องนี้เล็ดรอดออกไป แหวกหญ้าให้งูตื่น ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมร้ายแรงจนมิอาจจินตนาการได้
และก็เป็นอย่างที่ราชาผียักษ์วิเคราะห์เอาไว้จริง ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกล้าทำเช่นนี้ก็เพราะเขามีไพ่ตายอยู่ในมือ!
“เกรงว่าในตำหนักเทียนซือตอนนี้คงมีพวกเจ้าพระยาสวรรค์และพระยาสวรรค์ที่รอเล่นงานข้าให้ถึงตาย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก
แม้ว่าเขาจะมีไพ่ตาย แต่ก็ยังเกิดความกระวนกระวายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าความรู้สึกที่มากกว่านั้นกลับเป็นความรอคอย
เขารอคอยอย่างยิ่งยวดที่จะแบไพ่ของตัวเองออกมาต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนัก จากนั้นก็พลิกตัวกลับมาอย่างสง่างาม ยิ่งก่อนหน้านี้คนพวกนั้นลิงโลดกันมากเท่าไหร่ การพลิกตัวกลับมาของตนก็ยิ่งสะบัดฝ่ามือได้ดังกังวานมากเท่านั้น!
“ก่อนหน้านี้ข้าอาศัยอำนาจของต้าเทียนซือมาต่อสู้กับชนชั้นสูงพวกนี้ แต่วันนี้…ข้าจะไม่พึ่งใคร แต่จะอาศัยความสามารถของตัวเอง…ใช้มือตัวเองมาตบหน้าพวกเขา!”
“แปดสิบเก้าพระยาสวรรค์ สิบเจ้าพระยาสวรรค์…ใบหน้าของชนชั้นสูงเก้าสิบเก้าคนนี้ ไม่รู้ว่าพอตบแล้วจะให้ความรู้สึกเช่นไร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ ในใจก็พลันบังเกิดความฮึกเหิมอย่างรุนแรง แม้แต่ลมหายใจก็เริ่มถี่รัวอย่างห้ามไม่ได้
ไม่นานเมื่อเขาตามเฮยหมิงขยับเข้าไปใกล้ตำหนักเทียนซือ หัวใจของเขายิ่งเต้นรัวเร็วไปตามฝีเท้าที่ก้าวเดิน ความกระวนกระวายตัดสลับอยู่กับความคาดหวังรอคอย ทั้งตื่นเต้นทั้งฮึกเหิมไปในคราวเดียวกัน
ขณะที่อีกไม่ไกลก็จะไปถึง เฮยหมิงที่เดินอยู่ด้านหน้าพลันชะงักฝีเท้าแล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงไม่ได้สนใจเขาเท่าไหร่ พออีกฝ่ายหยุดกะทันหันเขาเลยเกือบจะชนเข้าให้ หลังจากรีบร้อนหยุดฝีเท้าเขาก็เงยหน้ามองแผ่นหลังของเฮยหมิงด้วยความแปลกใจ
“เรื่องคราวนี้…เจ้ามุทะลุเกินไป” เฮยหมิงเงียบไปครู่ก็เปล่งเสียงที่ยังคงเย็นชาดังเดิมออกมา เสียงนี้ฟังผ่านๆ เต็มไปด้วยความเย็นเยียบน่าสะพรึงกลัว ทว่าหากใคร่ครวญอย่างละเอียดจะฟังออกว่าในน้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความห่วงใยเสี้ยวหนึ่ง!
หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรับรู้ได้ถึงความห่วงใยนี้เขาก็อึ้งงันไปครู่ เฮยหมิงในความทรงจำของเขาเต็มไปด้วยความเงียบงันเฉยชา พอตอนนี้อีกฝ่ายแสดงความห่วงใยออกมาจึงทำให้เขารู้สึกว่ามันกะทันหันจนตั้งตัวรับไม่ทัน!
“พระยาสวรรค์ เจ้าพระยาสวรรค์ทุกคน…ล้วนร่วมมือกัน ต่อให้ต้าเทียนซือคิดจะปกป้องเจ้าก็ยังเป็นเรื่องยาก” เฮยหมิงไม่ได้หมุนตัวกลับมา เขายังคงหันหลังให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบชา ในสายตาที่คนนอกมองไม่เห็นมีความซับซ้อนซ่อนอยู่
เขามองออกถึงปราณแห่งการดับทำลายที่กำลังก่อตัวอยู่ในตำหนักเทียนซือ สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เกรงว่าครั้งนี้คงยากที่อีกฝ่ายจะพ้นเคราะห์ไปได้ และหลายครั้งที่ได้เห็นเส้นทางการเป็นผู้ตรวจการของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำให้เขาไพล่นึกไปถึงตัวเองในปีนั้น
เขาคืออดีตผู้ตรวจการ หากจะบอกว่าตลอดทั้งราชสำนักขุยนี้ใครเข้าใจอารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนมากที่สุด ถ้าเช่นนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองน่าจะเป็นเพียงคนเดียวคนนั้น
เคยเป็นผู้ตรวจการเหมือนกัน ปีนั้นภาพเหตุการณ์นี้ก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน และตอนนี้มันได้ถูกนำมาแสดงอีกครั้งกับผู้ตรวจการคนปัจจุบัน ต่างกันแค่ว่าเขาในปีนั้นสนิทสนมกับต้าเทียนซือมากกว่าป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นภายใต้การปกป้องอย่างเต็มกำลังจากต้าเทียนซือ เขาถึงได้หนีพ้นความตายมาได้ และจากนั้นก็ติดตามอยู่ข้างกายของต้าเทียนซือประหนึ่งเงาของอีกฝ่าย
และที่สำคัญที่สุดก็คือเขาไม่ได้ทำผิดมหันต์อย่างสังหารพระยาสวรรค์ตามอำเภอใจเช่นนี้!
ป๋ายเสี่ยวฉุนในวันนี้ ต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง
“ความหวังเดียวของเจ้าก็คือต้าเทียนซือ…ป๋ายฮ่าว…เจ้าจงรักษาตัวให้ดี”
เฮยหมิงถอนหายใจอยู่ในใจ หลังจากเอ่ยเตือนป๋ายเสี่ยวฉุนเสร็จแล้วถึงได้เดินหน้าต่อไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองแผ่นหลังของเฮยหมิง ในใจพลันบังเกิดความซาบซึ้ง คนคนหนึ่งที่เขาคิดว่าเย็นชาไร้น้ำใจ มาวันนี้ ในช่วงเวลาที่ทุกคนล้วนมองว่าตนมิอาจหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ อีกฝ่ายกลับพูดประโยคนี้ออกมา นี่จึงทำให้ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันอุ่นซ่าน
หลังจากมองเฮยหมิงด้วยสายตาลึกล้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พยักหน้ารับเบาๆ แล้วเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง ไม่นานนักก็มาถึง…นอกตำหนักเทียนซือ!
ประตูใหญ่ของตำหนักเทียนซือปิดสนิท ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา ทว่าชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงเขากลับสัมผัสได้ถึงปราณดุร้ายพลุ่งพล่านที่อยู่ข้างในตำหนักเทียนซือ ปราณนี้ปะปนกันหลากหลาย เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมีคนมากมายรวมตัวกันอยู่ในนั้น
เฮยหมิงขยับกายหนึ่งที ร่างของเขาก็หายวับไปต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่นานนักก็มีเสียงเนิบช้าดังออกมาจากในตำหนักเทียนซือ
“ป๋ายฮ่าว เข้ามา!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเยือก สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วผ่อนออกมายาวๆ เขารู้ดีว่าละครสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ความตื่นเต้นของเขาจึงมีมากกว่าเดิม ขณะเดียวกันความฮึกเหิมและรอคอยที่เข้มข้นก็ยิ่งปลุกระดมจิตใจเขาไม่หยุด
“แม่งเอ๊ย มีอะไรให้ต้องกลัวกัน ไพ่ตายของข้าแข็งแกร่งมากพอ มากพอจะตบหน้าไอ้พวกลิงตัวผู้ (พระยาภาษาจีนอ่านว่าโหว ซึ่งพ้องกับคำว่าลิง ส่วนกงโหวที่แปลว่าเจ้าพระยาก็พ้องกับคำว่าลิงตัวผู้) ทั้งหลายให้กลายมาเป็นหมูได้!”
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนรอให้ข้าไปตบหน้า ขนาดพวกเขายังไม่กลัว แล้วข้าจะกลัวอะไร! พวกเขาอุตส่าห์เสนอหน้ามาขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ตบให้หน้าหงายก็ผิดต่อพวกเขาแย่สิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอดๆ ก่อนจะเดินรุดหน้าไปผลักประตูใหญ่ของตำหนักต้าเทียนซือ
ชั่วขณะที่ประตูใหญ่ถูกผลักเปิดออกก็มีสายตานับร้อยพุ่งมารวมกันที่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งยืนอยู่ตรงประตูใหญ่!
สายตานับร้อยนี้ที่อ่อนแอสุดก็คือครึ่งก้าวคนฟ้า ส่วนที่แข็งแกร่งสุดก็ยิ่งเป็นถึงครึ่งเทพ สามารถพูดได้ว่าชนชั้นสูงทั้งหมด ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในราชสำนักขุยล้วนมารวมกันอยู่ที่นี่แล้ว สายตาของพวกเขากลายมาเป็นพลานุภาพสยบที่มากพอจะทำให้ฟ้าดินสะเทือน เมฆสลาย ลมซัดโหม ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีไพ่ตาย แต่พอมาเจอกับสายตาพวกนี้ ความกล้าในใจก็ยังถูกลดทอนไปเกินครึ่ง อดเสียวสันหลังวาบอย่างห้ามไม่ได้
ในตำหนักเทียนซือ ต้าเทียนซือนั่งอยู่บนเก้าอี้เทียนซืออันมีเกียรติสูงสุด สีหน้าของเขามืดดำไม่น่ามองอย่างยิ่ง เบื้องล่างของเขามีเจ้าพระยาสวรรค์สิบคนยืนตระหง่านกันอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่แฝงเร้นไว้ด้วยความเย็นชา
นอกจากพวกเขาแล้วยังมีพระยาสวรรค์ทั้งหมดแปดสิบเก้าคน…
พวกเขาคือพระยาสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่ในนครจักรพรรดิขุยตอนนี้ ทุกคนที่ยืนอยู่ในตำหนักเทียนซือล้วนมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเฉยชา บางคนก็ยิ้มหยัน บางคนก็เสียดสี และในสายตาของบางคนก็ถึงขั้นมีจิตสังหาร
หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นรัวเร็ว หน้าผากก็ยิ่งมีเหงื่อผุดพราย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต…ที่เขาค้นพบว่าความสามารถด้านการแข่งขันทางสายตาของตน ตกเป็นรองผู้อื่น
เขาอับจนหนทางจริงๆ เพราะอย่างไรซะเขาก็ตัวคนเดียว แต่อีกฝ่ายนั้นมีเป็นร้อย!
“รังแกกันเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ แต่การที่ยังไม่ทันเข้าประตูก็พ่ายแพ้ด้านความน่าเกรงขามเสียแล้วแบบนี้กลับทำให้เขาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดังนั้นพอกัดฟันกรอดหนึ่งครั้งจึงกวาดสายตามองผ่านกลุ่มคน พอเจอจ้าวสงหลินก็ถลึงตากลับไปอย่างดุดัน
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะมีกันกี่คน นายท่านป๋ายอย่างข้าก็จะหาคนหนึ่งถลึงตากลับไป จะแพ้ในด้านความน่าเกรงขามไม่ได้!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้สายตาดุดันจ้องเขม็งไปยังจ้าวสงหลิน
จ้าวสงหลินเองก็ตะลึงงันไปครู่ ความดุร้ายในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาไพล่นึกไปถึงความขัดแย้งหลายครั้งหลายคราระหว่างตนกับอีกฝ่าย และสุดท้ายตนต้องตกเป็นรองทุกครั้ง นั่นจึงทำให้เขารู้สึกคับแค้นใจอย่างอดไม่ได้
“คนมากมายมองเขา เหตุใดเขาถึงต้องกัดข้าไม่ปล่อย จะมามองแต่ข้าทำไม!” จ้าวสงหลินเดือดปรี๊ดขึ้นมาทันใด แต่ในด้านการแข่งขันทางสายตาเช่นนี้ เขายังห่างชั้นจากป๋ายเสี่ยวฉุนไกลนัก พอถลึงตาใส่กันไปมา ในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ราวกับมีเงากระบี่มีดแสงที่ซัดตลบอบอวลปั่นป่วนให้เกิดลมคาวฝนเลือด ราวกับว่าเขาได้บ้าสุดๆ ไปแล้ว และก็พร้อมลากคนอื่นให้ตายดับไปพร้อมๆ กัน นี่จึงทำให้จ้าวสงหลินใจสั่น แอบโอดครวญในใจว่า หรือไอ้หมาบ้าตัวนี้รู้ว่าตัวเองจะตายแน่แล้ว ดังนั้นก่อนจะตายเลยกัดตนไม่ปล่อย หมายลากให้ตนตายตกไปตามกัน…
ทุกเรื่องราวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกระทำลงไปในราชสำนักขุยก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น แม้แต่ตอนนี้เขาจะร่วมมือกับคนอื่นมาโจมตีอีกฝ่าย แต่การได้รับปฏิบัติเช่นนี้เดิมทีก็ได้อธิบายให้เห็นถึงปัญหาชัดเจนมากพออยู่แล้ว จ้าวสงหลินจึงเชื่อว่าการโต้ตอบของอีกฝ่ายก่อนตายเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างถึงที่สุด คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ข่มกลั้นความเดือดดาลในใจลงไป ก่อนจะเบนสายตาหลบออกมาเล็กน้อย
“ริอาจมาสู้กับข้ารึ? เจ้าคนขี้ขลาด!”
เห็นว่าจ้าวสงหลินไม่กล้ามองตน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเห่อเหิม อารมณ์คึกคักพุ่งสูงทันใด ครั้นจึงก้าวอาดๆ เข้าไปในตำหนักใหญ่ ก่อนจะยกมือกุมกันคารวะต้าเทียนซือที่นั่งอยู่เบื้องบน
“ข้าน้อยป๋ายฮ่าว คารวะต้าเทียนซือ!”