Skip to content

A Will Eternal 812

บทที่ 812 ตรงนั้น…มีคน!

เพียงแต่ว่าความคิดของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่มองปราดเดียวก็เห็นทะลุไปถึงไส้ถึงพุง

“เจ้าหมอนี่ คงไม่ได้คิดเรื่องจะข่มหัวข้าอีกหรอกนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกสนุกอย่างมาก อยากรู้นักว่าหากวันหน้าซ่งเชวียรู้ว่าตนคือป๋ายเสี่ยวฉุน…อีกฝ่ายจะมีสีหน้าเช่นไร

คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าตัวเองช่างชั่วช้ายิ่งนัก

“เอาเถอะๆ จะอย่างไรข้าก็คืออาเขยของเขา ทั้งยังเป็นคนจิตใจดีงาม ตอนนี้อย่าเพิ่งไปบอกความจริงที่โหดร้ายให้เขารู้เลยก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง ทำไมตนช่างเป็นคนดีอะไรปานนี้ ทั้งยังซื่อสัตย์ต่อซ่งจวินหว่านอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ดีจนไม่รู้จะพูดยังไง นี่เรียกว่ารักเขาแถมยังรักคนของเขาด้วย

“เอาล่ะ ต่อไปเจ้าก็อยู่ที่นี่แล้วตั้งใจฝึกตนให้ดีก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยสั่งความจบก็ให้โจวอีซิงรับช่วงจัดการต่อ โดยให้ซ่งเชวียอยู่ในฐานะข้ารับใช้ของตนต่อไป

ซ่งเชวียสูดลมหายใจเขาลึก รีบโค้งตัวต่ำคารวะ ในใจก็ให้ปลดปลงยิ่งนัก ครุ่นคิดว่าตนเกาะขาป๋ายฮ่าวผู้เป็นที่พึ่งสำคัญไว้แน่นหนึบขนาดนี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจะสำคัญกะผีอะไร!

ดังนั้นแม้จะไม่เป็นอย่างที่ใจหวังนัก แต่เขาก็ยังบอกกับตัวเองว่าทั้งหมดนี้คือการพายเรือตามน้ำ ที่ทำไปก็ล้วนเพราะต้องการรักษาชีวิตให้อยู่รอดต่อไป พอคิดอย่างนี้เขาก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น

หลังจากไล่ซ่งเชวียออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองไปรอบๆ ลานบ้านแห่งนี้ ไม่นานรัตติกาลมืดมิดก็เยื้องกรายมาถึง เมื่อท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท พื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีแห่งนี้ก็เงียบสงบลง

โดยทั่วไปแล้วช่วงเวลาเช่นนี้ในนครจักรพรรดิขุยเรียกว่าเพิ่งเป็นเวลาแห่งการเริ่มต้นความครึกครื้น ต่อให้ในจวนตรวจการจะเงียบสงบ ทว่าความคึกคักของโลกภายนอกก็ยังดังแว่วมาให้ได้ยิน

ทว่าพอมาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าข้างนอกหรือข้างในก็ล้วนเงียบสงัด

นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปรับตัวไม่ค่อยทันเล็กน้อย ดังนั้นจึงตบถุงเก็บของหนึ่งครั้ง หยิบเอาสถูปวิญญาณออกมา ป๋ายฮ่าวจึงบินออกมาจากในสถูปแล้วมายืนอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน

“อาจารย์ ข้ารู้สึกว่าพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีแห่งนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกาหลอมวิญญาณ…กลิ่นอายของที่นี่เหมือนทั้งความเป็นและเหมือนทั้งความตาย น่าประหลาดอย่างมาก ทั้งยังมีประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมในการบำรุงดวงวิญญาณด้วย” เพิ่งจะปรากฏตัว ป๋ายฮ่าวก็สัมผัสได้ถึงความพิเศษของที่แห่งนี้ทันที พอมองไปรอบด้าน เขาก็เอ่ยกับป๋ายเสี่ยวฉุนเบาๆ

“ช่วยบำรุงด้วยหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมองป๋ายฮ่าว แล้วก็พบว่าร่างวิญญาณของป๋ายฮ่าวเหมือนจะดูสมจริงมากกว่าปกติ นั่นจึงทำให้เขาดีใจทันควัน

ป๋ายฮ่าวเองก็ตะลึงระคนดีใจ หลังจากพยักหน้ารับก็ลงไปนั่งขัดสมาธิ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ทันใดนั้นปราณบางอย่างที่อยู่รอบด้านซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนมองไม่เห็นแต่กลับสัมผัสได้ก็พลันไหลบ่าเข้ามาในร่างของป๋ายฮ่าว

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่สัมผัสได้ถึงภาพนี้ก็ยิ่งปิติยินดี ครุ่นคิดว่าถึงแม้ที่นี่จะน่าเบื่อ แต่ในเมื่อมันมีประโยชน์ต่อฮ่าวเอ๋อร์ ถ้าอย่างนั้นตนก็อาจจะอยู่ที่นี่นานอีกหน่อย

ขณะที่ป๋ายฮ่าวกำลังฝึกตน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แผ่อำนาจจิตออกไปปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี อันที่จริงแล้วสถานที่แห่งนี้มีขอบเขตไม่กว้างมากนัก ตลอดทั้งพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีก็คือที่ราบสูงแห่งหนึ่ง

ค่ายทหารสร้างขึ้นในตำแหน่งที่สูงที่สุด และหากมองไล่ตามเนินลงไปจะเห็นได้ว่าห่างออกไปไกลมีร่องแม่น้ำที่แห้งขอดอยู่แห่งหนึ่ง

ร่องแม่น้ำนี้ก็คือสถานที่ที่แม่น้ำอเวจีจะปรากฏทุกๆ หลังเที่ยงคืน ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดสายตามองอยู่พักหนึ่งถึงได้ดึงสายตากลับคืนมาแล้วนั่งทำสมาธิ ด้านหนึ่งเพื่อปกป้องลูกศิษย์ของตน อีกด้านหนึ่งก็เพื่อทบทวนขั้นตอนการหลอมไฟสิบแปดสีซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้อัตราความสำเร็จในการหลอมไฟสิบแปดสีของตนเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

เวลาล่วงผ่าน ไม่นานเที่ยงคืนก็มาถึง หลังจากที่โจวอีซิงจัดการเรื่องของซ่งเชวียเสร็จ เขาก็ออกไปพูดคุยเรื่องการป้องกันสถานที่แห่งนี้ร่วมกับอู่เต้าอยู่พักหนึ่ง พอกลับมาแล้วเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกับป๋ายฮ่าวกำลังนั่งทำสมาธิกันอยู่ เขาจึงเดินไปนั่งข้างๆ เพื่อคอยเฝ้าพิทักษ์

ไม่นานท้องฟ้าก็ยิ่งดำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลืนกินแสงสว่างทั้งหมดไป มีเพียงแสงดาวและแสงจันทร์เท่านั้นที่สาดส่องลงมา ทว่าเวลานี้เอง ด้านนอกกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เมื่อมองไปก็เห็นว่าโจวอีซิงกำลังก้าวเร็วๆ ไปเปิดประตูบ้าน ก่อนที่อู่เต้าจะเดินเข้ามาแล้วประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งอยู่ในลานกว้าง

“ปรมาจารย์ป๋าย อีกครู่หนึ่งแม่น้ำอเวจีจะปรากฏ แม้ว่าสำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเราแล้ว เรื่องนี้มีให้เห็นได้ทุกวัน แต่คาดว่าสำหรับปรมาจารย์ป๋ายแล้ว คงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก…ท่านจึงไม่ควรพลาดเด็ดขาด”

“ข้ายังไม่เคยเห็นจริงๆ นั่นแหละ สหายอู่เต้าจะอยู่รอดูเป็นเพื่อนข้าผู้แซ่ป๋ายหน่อยได้หรือไม่?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม อู่เต้าได้ยินประโยคนี้ก็นั่งลงข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเต็มใจ ปากก็เริ่มเอ่ยแนะนำ

“ภาพการปรากฏของแม่น้ำอเวจีนี้ ปีนั้นที่ข้าผู้แซ่อู่ได้เห็นเป็นครั้งแรกก็ตื่นตะลึงอย่างมาก จิตใจสั่นสะเทือนราวกับเห็นฟ้าเปิดแผ่นดินแยก” ดวงตาของอู่เต้าเผยความหลงใหล ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ บนท้องฟ้าที่มืดดำก็พลันมีเสียงกัมปนาทดังลอยมา

เสียงนี้เหมือนเสียงอสนีระเบิด ดังกึกก้องไปแปดทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นทันใด โจวอีซิงเองก็ตกใจ มีเพียงอู่เต้าเท่านั้นที่สีหน้าเป็นปกติ แต่ปากกลับพูดรัวเร็ว

“เที่ยงคืนมาถึงแล้ว แม่น้ำอเวจีกำลังจะเผยตัว!”

ขาดคำก็เห็นเพียงว่าตามหลังเสียงฟ้าร้องกึกก้อง บัดนี้นภากาศที่มืดมิดกำลังบิดเบือนเป็นวงกว้าง ขอบเขตนี้กว้างพอหลายหมื่นจั้ง เมื่อมองจากตรงนี้ก็ราวกับว่าท้องฟ้าเกินครึ่งกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง

ซ่าๆ ซ่าๆ …

ตามหลังการบิดเบือนก็เริ่มมีเสียงเหมือนน้ำไหลจากฟ้าดังลอยมา เสียงนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ตลอดทั้งพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีจะมีกลุ่มหมอกลอยอวลขึ้นมา…ด้านในหมอกนี้เหมือนซ่อนแฝงกลิ่นอายความตายที่เข้มข้นเอาไว้ กลุ่มหมอกผ่านที่ใดก็ต้องทำให้พื้นผิวของที่แห่งนั้นเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง

แม้แต่อุณหภูมิก็ยังลดลงต่ำ จู่ๆ อากาศก็เปลี่ยนมาเป็นหนาวเหน็บ เวลาที่คนหายใจออกจะมีไอขุ่นมัวลอยออกมาด้วย ทั้งยังมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าไอนั้นได้กลายมาเป็นหมอกสีขาว…

ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณความตายของที่แห่งนี้พลันเปลี่ยนมาเป็นรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากเปลี่ยนมาเป็นที่อื่น กลิ่นอายความตายที่เข้มข้นขนาดนี้ย่อมชักนำวิญญาณพยาบาทมามากมายให้มารวมตัวกัน

ทว่าพอมาอยู่ที่นี่ นอกจากป๋ายฮ่าวแล้วกลับไม่มีดวงวิญญาณใดปรากฏตัว ยิ่งในหมอกกลุ่มนั้นก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตื่นตกใจอยู่นั้น ความว่างเปล่าบนท้องฟ้าที่กำลังบิดเบือนก็ยิ่งมีเสียงน้ำไหลดังชัดเจนยิ่งขึ้น ราวกับว่าการบิดเบือนนี้ได้เปลี่ยนแปลงห้วงเวลา ปรับเปลี่ยนห้วงมิติให้ไปเชื่อมโยงกับแม่น้ำบางสาย แล้วพริบตานั้นก็มีแม่น้ำสายหนึ่งพุ่งบ่าออกมาจากความว่างเปล่า…

เสียงครืนครั่นดังสนั่นหวั่นไหว แม่น้ำสายนั้นไหลลงมาจากฟากฟ้าด้วยปริมาณที่มากขึ้นทุกขณะ พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่มโหฬารเส้นหนึ่งที่ไหลเข้าสู่ร่องแม่น้ำบนที่ราบสูงซึ่งเดิมทีแห้งขอด ห้อตะบึงไหลกรากไปตามร่องแม่น้ำแล้วทอดยาวสู่ทิศไกล

แม่น้ำนี้ไม่ได้ใสกระจ่าง แต่เป็นสีดำสนิท เมื่อมันกลิ้งซัดไล่หลังกันไป กลิ่นอายความตายของพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีนี้ก็พลันเข้มข้นถึงขีดสุด ไอหมอกกินพื้นที่ขยายใหญ่เป็นวงกว้าง แต่กลับไม่ได้กลบทับลงมาบนค่ายทหารที่อยู่บนตำแหน่งสูง เพียงล้อมวนอยู่รอบด้าน ทำให้เมื่อมองไกลๆ จึงเห็นพวกป๋ายเสี่ยวฉุนผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในแม่น้ำสายนั้น

ที่น่าตะลึงยิ่งกว่าก็คือในแม่น้ำสายนี้กลับยังมีวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนที่บ้างก็ร้องคำราม บ้างก็หลับลึก บ้างก็มีสีหน้าดุร้าย บ้างก็หัวเราะชวนขนหัวลุก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพวกมันก็มิอาจออกมาจากแม่น้ำได้ ทำได้เพียงล่องไปตามกระแสน้ำที่ไหลห่างออกไปไกล

ภาพนี้ทำให้จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือน ป๋ายฮ่าวเองก็ไม่รู้ว่าลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พอเห็นภาพนี้ใจของเขาก็สั่นไหวรุนแรงไม่ต่างกัน

โจวอีซิงเองก็หอบหายใจดังเฮือก มีเพียงอู่เต้าที่เห็นได้ชัดว่าชินแล้วจึงมีสีหน้าเป็นปกติ ทั้งยังพูดกลั้วหัวเราะอยู่ข้างๆ

“พวกเราเคยตรวจสอบมาก่อนจึงรู้ว่าปลายทางของแม่น้ำสายนี้ไปเชื่อมโยงเข้ากับภูเขาใหญ่ที่ธรรมดามากลูกหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปหลายสิบลี้ และแม่น้ำอเวจีนี้ก็เผยตัวแค่ในรัศมีหลายสิบลี้นี้เท่านั้น พอไปถึงภูเขาใหญ่นั่นก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ทุกคืนของสถานที่แห่งนี้ล้วนเป็นเช่นนี้ และจะเป็นไปตลอดทั้งคืน…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสงบสติอารมณ์ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เขารู้สึกว่าทุกอย่างนี้มหัศจรรย์อย่างมาก นับตั้งแต่ที่เขามาอยู่แดนทุรกันดารก็ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับแม่น้ำอเวจีของแดนทุรกันดารมาหลายครั้ง แต่กลับไม่เคยเห็นเองกับตามาก่อน และนี่ก็คือครั้งแรกที่เขาได้เห็น

“ในตำนานบอกว่าปลายทางของแม่น้ำอเวจี…มีพระราชวังหมิงอยู่แห่งหนึ่ง ผู้ที่พักอาศัยอยู่ด้านในก็คือจักรพรรดิหมิงที่…คนทั้งแดนทุรกันดารกราบไหว้ให้ความเคารพนับถือ!” ลมหายใจของโจวอีซิงถี่รัว ตอนที่เขาพึมพำเบาๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็นึกถึงตำนานนั้นขึ้นมาได้เช่นกัน สายตาที่เขามองไปยังแม่น้ำอเวจีซึ่งเห็นได้รำไรอยู่ในกลุ่มหมอกจึงฉายแววพินิจพิเคราะห์อย่างห้ามไม่ได้

แต่การมองครั้งนี้ของเขากลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเบิกโพลง นัยน์ตาฉายความเหลือเชื่อ นิ้วเขายกขึ้นชี้ไปยังแม่น้ำอเวจีที่อยู่เบื้องล่างแล้วร้องอุทานเสียงหลง

“ตรงนั้น…มีคน!!!”

จบคำพูดของเขา โจวอีซิงและอู่เต้าต่างก็อึ้งตะลึง หันขวับมองตามไปทันที แต่ไม่ว่าพวกเขาจะมองอย่างไร สองฝั่งของแม่น้ำอเวจีที่อยู่ใต้กลุ่มหมอกก็ไม่มีเงาร่างใดๆ ปรากฏให้เห็น

“ไม่มีสักหน่อย…” โจวอีซิงมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างลังเล

“พวกเจ้าไม่เห็นงั้นรึ? อยู่ตรงนั้นไง คือตาแก่คนหนึ่ง…สวมชุดคลุมสีดำ…นั่งอยู่ตรงนั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจจึงมองไปอีกครั้ง แล้วเขาก็เห็นอย่างชัดเจนว่าบนชายฝั่งของแม่น้ำอเวจีมีผู้เฒ่าผมขาวโพลนสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งนั่งหันหลังให้กับพวกเขา คล้ายกำลัง…นั่งตกปลา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version