Skip to content

A Will Eternal 818

บทที่ 818 เป็นนาง

ที่ไปตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนตัวปลอมคนนี้ ด้านหนึ่งก็เพราะว่าป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหจริงๆ อีกด้านหนึ่งเพราะเขาเองก็เป็นกังวลว่าคนที่สามารถปลอมตัวเป็นเขามีได้เพียงสองประเภทเท่านั้น หนึ่งคือมิตรของตน และอีกหนึ่งคือศัตรูของตน

หากเป็นมิตร ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเดือดดาลแค่ไหนก็ต้องไปดูให้รู้ว่าเป็นใคร ไปดูว่าอีกฝ่ายโง่ไปแล้วหรือไรถึงทำตัวกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ แบบนี้จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร และหากควรช่วยตนก็ย่อมต้องลงมือช่วยมาให้ได้

ส่วนศัตรู…ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องการรู้ว่า อีกฝ่ายคือใคร!

อีกทั้งเขายังมั่นใจมากว่าหลังจากที่หน้ากากชิ้นนี้ของตนผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วก็ร้ายกาจอย่างยิ่ง ขนาดครึ่งเทพยังมองไม่ออก เขาเชื่อว่าขอแค่ตนไม่เผยพิรุธออกมาก็น่าจะไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของตน

เพราะอย่างไรซะตอนนี้ตนก็เป็นถึงบุคคลสำคัญของแดนทุรกันดาร อดีตผู้ตรวจการ อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดิน ไม่ว่าตัวตนไหนก็ล้วนสามารถกระทืบเท้าให้แผ่นดินของแดนทุรกันดารสั่นคลอนได้

“จู่ๆ ข้าจะโผล่ไปเองแบบนี้ไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือติดตามกองทัพผียักษ์ของสตรีธุลีแดงไป ไปพร้อมกับนาง…เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะยิ่งไม่มีพิรุธใครจับได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รีบจัดการตัวเองทันที เขาไม่ได้พาซ่งเชวียและโจวอีซิงไปด้วยก็เพื่อต้องการเพิ่มความเร็ว ดังนั้นเขาจึงใช้เรือสวรรค์ของกองทัพสามพันนายในพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีเดินทางไปเพียงลำพัง

ตลอดทางไม่มีการหยุดพัก ยังดีที่เขาอยู่พื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี ซึ่งถือเป็นตำแหน่งค่อนไปทางตะวันออกของจุดศูนย์กลางแห่งแดนทุรกันดาร ห่างจากฝั่งตะวันออกของแดนทุรกันดารไปไม่ไกลมากนัก ส่วนทางฝ่ายสตรีธุลีแดงก็ต้องจัดการกองทัพให้เป็นระเบียบก่อนออกเดินทาง

อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังคอยส่งข้อความเสียงไปให้สตรีธุลีแดงอย่างต่อเนื่องเพื่อแสดงเจตจำนงให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนต้องการร่วมเดินทางไปด้วย และแสดงท่าทีกระตือรือร้นพร้อมจะปกป้องสาวงามไปตลอดทาง

เดิมทีสตรีธุลีแดงไม่มีอารมณ์จะสนใจป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าพอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตรวจการวันนั้น ความขุ่นเคืองก็ผุดขึ้นมาในใจอย่างห้ามไม่ได้ คิดว่าเจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้มาด้วยก็ดีเหมือนกัน ออกไปข้างนอกคราวนี้ตนจะได้หาโอกาสเหมาะๆ จัดการกับคนผู้นี้เสียเลย

ดังนั้นจึงตอบรับให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาร่วมเดินทางท่ามกลางเสียงหัวเราะเย็นเยียบ และก็เป็นเช่นนี้ ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเร่งรุดเดินทาง หลายวันหลังจากนั้นเขาก็มาถึงสถานที่ที่นัดหมายไว้กับสตรีธุลีแดง

ที่นั่นคือหนึ่งในค่ายกลนำส่งจำนวนมากของแดนทุรกันดาร ซึ่งจะมีผู้ฝึกวิญญาณเฝ้าประจำการอยู่ตลอดทั้งปี พอป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงก็มีคนจำเขาได้จึงรีบพากันมาคารวะอย่างนอบน้อมทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีอารมณ์พูดคุยกับใคร

ในสมองของเขาเต็มไปด้วยเรื่องของป๋ายเสี่ยวฉุนตัวปลอม เขารออยู่นอกค่ายกลได้ไม่นานเท่าไหร่ ค่ายกลนี้ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าพร่างพราวออกมา เมื่อแสงนั้นเปล่งวูบวาบสองสามครั้ง เงาร่างมากมายก็เดินออกมาจากด้านใน และนั่นก็คือผู้ฝึกวิญญาณของกองทัพผียักษ์

หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน คนเหล่านั้นพยักหน้าทักทายป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วจึงกระจายตัวกันออกไปปิดผนึกรอบด้านให้การระวังภัยอย่างแน่นหนาทันที ค่ายกลกะพริบแสงอีกครั้ง ผู้ฝึกวิญญาณทยอยกันเดินออกมาอย่างต่อเนื่องแล้วเข้าไปรวมกลุ่มกับคนที่เฝ้าพิทักษ์อยู่รอบด้าน ไม่นานก็มีคนปรากฏตัวมากนับหมื่นคน

หลังจากนั้นเงาร่างขององค์รักษ์หญิงคนสนิทของสตรีธุลีแดงก็พากันเยื้องกรายมาถึง สุดท้าย…ถึงเป็นตัวของสตรีธุลีแดงเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองนางแค่แวบเดียวในสมองก็อดนึกไปถึงภาพเหตุการณ์ในจวนตรวจการวันนั้นไม่ได้ เขาไอแห้งๆ หนึ่งที รู้สึกว่าตอนนี้ตนไม่เหมือนในอดีตแล้ว ตอนนี้ตนเป็นถึงอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดิน ดังนั้นจึงพยักหน้าส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้สตรีธุลีแดง

สตรีธุลีแดงมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชาแล้วแค่นเสียงเย็นในลำคอหนึ่งครั้ง นางรู้ว่าหากคิดจะจัดการกับคนผู้นี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน และสำหรับนางแล้ว ตอนนี้การตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ดังนั้นจึงแผ่อำนาจจิตไปรอบด้าน หลังจากแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไรถึงได้บินออกไป

เมื่อนางบินนำไป ผู้ฝึกวิญญาณกองผียักษ์นับหมื่นคนก็ทะยานตัวติดตามไปทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจตน หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น เขาคงถลึงตาใส่นางไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เขารู้ว่าตัวเองตัวคนเดียวกำลังน้อย

ขณะเดียวกันเรื่องของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำให้ตนร้อนใจ ดังนั้นจึงข่มกลั้นเอาไว้แล้วติดตามกองทัพใหญ่เดินทางไปข้างหน้า

ตลอดทางที่ผ่านมา ทุกคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เพียงเร่งรุดเดินทางไปเงียบๆ สตรีธุลีแดงที่อยู่หน้าสุดสีหน้าเหี้ยมเกรียม ในมือถือแผ่นหยกคอยรับข่าวจากจุดต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง และเวลาแค่ไม่กี่ชั่วยามให้หลัง นางก็พลันชี้นิ้วไปยังจุดหนึ่ง

“จากเบาะแสที่ได้รับมา ตอนนี้เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นยังอยู่ในฝั่งตะวันออกของแดนทุรกันดาร สถานที่สุดท้ายที่ปรากฏตัวคือภูเขาไร้กังวลซึ่งห่างจากที่นี่หมื่นลี้…เป้าหมายแรกของเราก็คือภูเขาไร้กังวลนี้!” สตรีธุลีแดงพูดพลางเพิ่มความเร็วทะยานไป กองทัพนับหมื่นด้านหลังของนางที่เงียบงันก็พากันกลายร่างเป็นรุ้งยาวนับหมื่นเส้นที่พุ่งแหวกอากาศไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม

“โจวจื่อโม่ผู้นี้ไม่เหมาะกับการนำทัพเอาเสียเลย ถ้าป๋ายเสี่ยวฉุนตัวปลอมนั่นไม่ใช่คนโง่ ก็คงไม่รออยู่ที่เดิมหรอก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง เพราะเขาเองก็ร้อนใจอยากหาป๋ายเสี่ยวฉุนตัวปลอมให้เจอเร็วๆ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร สตรีธุลีแดงที่อยู่หน้าสุดกลับหันขวับมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา

“เจ้าป๋ายสารเลวนั่นปรากฏตัวได้เกือบครึ่งเดือนแล้ว ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวก็จะต้องเลือกสถานที่ใดที่หนึ่งเพื่อหยุดพักอยู่หลายวัน ดังนั้นไม่ว่าเจ้าคิดจะพูดอะไรก็จงหุบปากไปซะ!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย รู้ว่าสตรีธุลีแดงผู้นี้ยังคงติดใจโมโหกับเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตรวจการ แต่พอได้ยินคำพูดของสตรีธุลีแดง เขากลับตกใจ แล้วก็ไม่มัวมาสนใจเรื่องใดอีก เพียงเพิ่มความเร็วรุดหน้ามาอยู่ข้างกายสตรีธุลีแดง

“ผิดปกตินะ เขาจะรออยู่ที่เดิมไปทำไม หรือว่าจะรอให้พวกเราไปหา? จื่อโม่ นี่มันคือกลลวง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกได้ว่าท่าไม่ดี

ก่อนหน้านี้เขายังนึกไปว่าป๋ายเสี่ยวฉุนตัวปลอมจะเปลี่ยนสถานที่ก่อเหตุไปเรื่อยๆ เป็นแบบนั้นถึงจะนับว่าสมเหตุสมผล แต่ตอนนี้พอได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำอย่างที่เขาคิด ใจเขาก็ร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม จำต้องรีบเอ่ยเตือนสตรีธุลีแดง

“ย่อมต้องมีกับดักอยู่แล้ว ดังนั้นข้าถึงไม่ได้มาคนเดียว แต่พากองทัพมาด้วย!” สตรีธุลีแดงแค่นเสียงเย็น

“ไม่ถูก ผิดปกติอย่างมาก จื่อโม่ ข้าแนะนำว่าพวกเราไม่ต้องไปจะดีกว่า ให้คนในกองทัพไปสอดแนมสถานการณ์ดูก่อน หรือไม่ก็ให้หวังเหย่มาจัดการเรื่องนี้เอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้รายงานก่อนหน้านั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน ตอนนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งตกตะลึง เขาสูดลมหายใจดังเฮือกแล้วเอ่ยเตือนอีกครั้ง เพราะเขารู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ผิดปกติมากจริงๆ

“หุบปาก ไม่มีใครให้เจ้ามา เจ้าขอจะมาเอง อีกอย่าง…เจ้าหรือข้ากันแน่ที่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนดีกว่ากัน?” สตรีธุลีแดงโบกมืออย่างหงุดหงิดแล้วห้อทะยานต่อไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนกลอกตาเอือมระอาอยู่ในใจหลายร้อยตลบ

เขาอยากบอกโจวจื่อโม่ผู้นี้มากๆ ว่าเจ้าไม่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนดีเท่าข้าจริงๆ นั่นแหละ เพราะว่าข้าก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน!

แต่เขาจะพูดออกไปอย่างนั้นไม่ได้ ได้แต่มองสตรีธุลีแดงที่จากไปไกลด้วยความขัดเคืองในใจ

อันที่จริงก็ใช่ว่าสตรีธุลีแดงจะไม่มีการป้องกันตัว กลับกันนางยังรู้สึกว่าการป้องกันของตัวเองเต็มที่มากแล้ว อีกทั้งนางยังเกลียดแค้นป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ากระดูกดำ ใจที่อยากสังหารอีกฝ่ายจึงรุนแรงถึงขีดสุด

อีกอย่างนางเองก็มั่นใจมากว่าต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นจะมีสามเศียรหกกร หรือวางแผนซุ่มโจมตีอะไรไว้ นางเป็นถึงคนฟ้า ย่อมสามารถกำราบอีกฝ่ายได้!

“หากเป็นสถานที่อื่นก็ยังพอว่า แต่ที่นี่คือฝั่งตะวันออกของแดนทุรกันดาร ไม่ไกลจากนครผียักษ์ของบิดาข้านัก หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา…ข้าก็ยังพอจะประคองตัวจนกว่าเสด็จพ่อจะตามมาช่วยได้ไหว!” สตรีธุลีแดงหัวเราะเสียงหยันอยู่ในใจ คิดมาถึงตรงนี้นางก็ยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิม จึงมองเมินคำเตือนของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านหลังโดยสิ้นเชิง ทั้งยังห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสีอย่างต่อเนื่อง ในใจก็เริ่มให้เสียใจ ก่อนหน้านี้เขาได้รายงานข่าวมาไม่มาก ตอนนี้จึงลำบากใจไม่รู้จะถอยหลังหรือเดินหน้าดี พอเห็นว่าทุกคนจากไปไกลแล้ว เขาก็กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้งแล้วไล่ตามไป ทว่ากลับยิ่งระวังตัวมากกว่าเก่า

“หากเกิดท่าไม่ดีอะไรขึ้นมาก็รีบเผ่นหนีแล้วกัน…”

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่รัวน้อยๆ สายตามองประเมินไปรอบด้าน อำนาจจิตก็ยิ่งแผ่ออกมาไม่ขาดระยะ ยิ่งทะยานไปข้างหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกอกสั่นขวัญผวา เขารู้สึกได้ว่าจู่ๆ อากาศรอบด้านก็เย็นยะเยือก วิกฤตอันตรายรุนแรงลอยขึ้นมากลางใจจนป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง

“หนาวเย็นขนาดนี้…ไอความเย็นเช่นนี้ทำไมถึงได้คุ้นเคยนัก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจดังเฮือก ขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ห่างออกไปไกลก็เริ่มมองเห็นภูเขาไร้กังวลได้รำไร!

ภูเขาไร้กังวลนั้นไม่ใช่ภูเขาลูกเดียว แต่มีมากถึงห้าลูกคล้ายนิ้วมือห้านิ้วของคน พวกมันตั้งตระหง่านอยู่ในจุดลึกของผืนป่าแห่งหนึ่ง ตอนนี้เป็นยามสนธยาแล้ว เมื่อมองไปไกลๆ ภายใต้แสงท้องฟ้าที่ขับดันจึงทำให้ภูเขาไร้กังวลนั้นยิ่งมืดทะมึน มองไปมองมา ความกดดันหนักอึ้งก็เกิดขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ตัว

แถมผืนป่านี้ยังเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง เมื่อกองทัพผียักษ์มาถึงกลับไร้การเปลี่ยนแปลงใดๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองอย่างละเอียดก็อดชาไปทั้งหนังหัวไม่ได้ เขามองเห็นทันทีว่าต้นไม้ทั้งหมดที่อยู่ในผืนป่าแห่งนี้…แห้งเหี่ยวหมดแล้ว!!

ราวกับว่าพลังชีวิตของพวกมันได้ถูกบางสิ่งบางอย่างดูดซับเอาไป!

ภาพนี้ก็อยู่ในสายตาของสตรีธุลีแดงและผู้ฝึกวิญญาณกองทัพผียักษ์เช่นเดียวกัน สีหน้าของแต่ละคนจึงเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ทว่าความเร็วกลับไม่ได้ลดน้อยลง พวกเขายังคงข้ามผ่านผืนป่าเข้าไปใกล้ภูเขาไร้กังวล!

ทว่าชั่วขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ เสียงหัวเราะแปร่งหูชวนขนลุกกลับพลันดังออกมาจากยอดเขาลูกที่สามของภูเขาไร้กังวล!!

“เฮอๆ …พวกเจ้ามาช้ายิ่งนัก…แถมคนยังมากันแค่นี้…ข้ากินไม่อิ่มเท่าไหร่เลยนะนี่…” เสียงนี้ฟังไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

ในน้ำเสียงนั้นมีความแหลมสูงคล้ายเกิดจากชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เด็กหนึ่งที่เอ่ยปากพร้อมกันสามคน อีกทั้งชั่วขณะที่เสียงนี้ดังออกมา บนยอดเขาที่สามนี้ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น!!

เงาร่างนี้สวมชุดคลุมยาวสีขาว เส้นผมดำยาวปลิวไสว ในลูกตามีลูกตาดำสองชั้น มุมปากยกยิ้มที่มองดูแล้วบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทว่าลิ้นกลับแลบออกมาเลียริมฝีปากเหมือนเกิดจากความเคยชิน

รูปร่างหน้าตาของเขา เห็นได้ชัดว่าคือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!!

ทว่าชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวจริงเห็นคนผู้นี้ ในสมองของเขากลับเกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถมในชั่วพริบตา ม่านตาหดตัว ร่างสั่นเทิ้มคล้ายคนที่ถูกสายฟ้าผ่าลงมา

“กงซุนหว่านเอ๋อร์!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version