บทที่ 819 นี่นางกำลังตกเหยื่อชัดๆ
คนผู้นี้ที่ปรากฏตัวก็คือ…กงซุนหว่านเอ๋อร์
แม้ว่านางจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า ปลอมตัวเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับจำอีกฝ่ายได้เพียงมองปราดเดียว!
ยิ่งรอยยิ้ม และท่าทางเลียปากเช่นนั้น รวมไปถึงคำพูดที่บอกว่ากินไม่อิ่ม ทั้งหมดนี้ปานประหนึ่งอสนีที่ระเบิดอยู่ในจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง
ในสมองของเขามีภาพน่าหวาดกลัวเกินคำบรรยายในเขาวงกตสุสานใต้ดินของปีนั้นลอยขึ้นมาเป็นฉากๆ …
“ผี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น หากไม่เพราะพยายามควบคุมตัวเองไว้อย่างสุดความสามารถ ป่านนี้เขาคงกรีดร้องออกมาแล้ว ปีนั้นตอนที่อยู่ในเขาวงกตสุสานใต้ดิน กงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นี้ได้แบไต๋ออกมาต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าอีกฝ่ายก็คือเด็กหญิงกอดตุ๊กตาหมีที่อยู่ในหุบเหวกระบี่อุกกาบาต!
“และยังมีเหลยซาน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รีบหันไปมอง ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าด้านหลังของกงซุนหว่านเอ๋อร์เวลานี้มีเงาร่างหนึ่งที่เรือนกายแข็งแกร่งกำยำ สูงใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้กำลังเดินออกมาช้าๆ!
เงาร่างนั้นเป็นสีแดงเถือกไปทั้งร่าง ไม่มีผิวหนังแม้แต่ชิ้นเดียว สีหน้าไร้อารมณ์ราวกับไม่รู้จักความเจ็บปวด ต่อให้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทว่าปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของเขากลับน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด
นั่นก็คือ…ผู้ที่ถูกเด็กหญิงจับตัวไปแล้วถลกหนังตอนอยู่ในหุบเหวกระบี่อุกกาบาต…เหลยซาน!!
ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งผวาหวาด เขารู้ดีถึงความน่ากลัวของกงซุนหว่านเอ๋อร์ แล้วก็ไม่คิดว่าสตรีธุลีแดงจะมีปัญญาต้านทานกงซุนหว่านเอ๋อร์ได้
เขารีบหยิบเอาแผ่นหยกออกมา หมายจะส่งข้อความเสียง แต่ใบหน้ากลับต้องซีดเผือดอีกครั้ง เขาพบว่าแผ่นหยกนี้กลับใช้งานไม่ได้
นี่จึงทำให้ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักค้าง ก่อนจะค่อยๆ ก้าวถอยหลัง เขารู้สึกว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์น่าจะยังจำตนไม่ได้ และการหนีไปแจ้งข่าวให้ราชาผียักษ์รู้ก็คือทางเลือกเดียวในตอนนี้
ทว่าชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมจะหนีไปนั้นเอง สตรีธุลีแดงกลับหรี่ตาทั้งคู่ลง นางยกมือขวาคว้าจับผ่านอากาศ ทันใดนั้นดอกบัวแดงดอกหนึ่งก็จำแลงออกมา
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ในที่สุดเจ้าก็ยอมปรากฏตัวเสียที ตายซะเถอะ!”
ไม่พูดอันใดให้มากความ ต่อให้สตรีธุลีแดงจะรู้สึกเหมือนกันว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ไม่ค่อยเหมือนกับคนที่อยู่ในความทรงจำของนางเท่าไหร่นัก ทว่านางกลับไม่มีเวลาให้คิดมาก เมื่อทำมุทรา คลื่นคนฟ้าขุมหนึ่งก็พลันระเบิดออกมาจากตัวของนาง มือขวาที่ชี้ไปทำให้นภากาศเปลี่ยนสี ทั้งกลางท้องฟ้ายังมีนิ้วมือขนาดใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่งจำแลงออกมาแล้วชี้เข้าใส่ภูเขาไร้กังวล
ทว่าชั่วขณะที่นิ้วมือข้างนี้ร่วงลงไป เหลยซานที่ดวงตาฉายแสงแห่งความบ้าคลั่งกลับแหงนหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงคำรามดัง เสียงนี้กลายเป็นคลื่นเสียงโจมตีที่ระเบิดออกมาประหนึ่งจะแหวกฟ้าผ่าดิน เขากระทืบเท้าหนึ่งครั้งทำเอายอดเขาที่สามของภูไร้กังวลพังถล่ม จากนั้นเขาก็ทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าและเอาหัวโหม่งใส่นิ้วที่ชี้ลงมาอย่างแรง!
เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว อาทิตย์และดวงจันทร์ดับแสง ม่านตาทั้งคู่ของสตรีธุลีแดงพลันหดตัวเข้าหากัน ปากก็แผดเสียงตวาดดังลั่น
“ตั้งค่ายกล!”
ทันใดนั้นผู้ฝึกวิญญาณกองทัพผียักษ์นับหมื่นก็กระจายตัวกันไปรอบด้าน โอบล้อมภูเขาไร้กังวลเอาไว้กลายเป็นค่ายกลใหญ่ที่ปิดผนึกที่แห่งนี้ ขณะเดียวกันก็ร่ายพลังแห่งค่ายกลออกมาด้วย
และเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รีบแยกตัวออกไปติดตามผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่ง ทำให้ตนดูไม่สะดุดตามากนัก ทว่าเวลานี้เอง เมื่อยอดเขาที่สามพังลง เงาร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็พุ่งพรวดออกมา พอปรากฏตัวอีกครั้งกลับไม่ได้อยู่ข้างหน้าสตรีธุลีแดง ทว่ากลับมาอยู่ข้างกายผู้ฝึกวิญญาณเขตรวมโอสถคนหนึ่งที่กำลังล้อมวงเป็นค่ายกล
ความเร็วของนางเร็วมากเป็นพิเศษ อีกทั้งเงาร่างนั้นก็ยิ่งพิลึกพิลั่น ตอนที่นางโผล่ออกมา ผู้ฝึกวิญญาณเขตรวมโอสถคนนั้นยังไม่ทันตั้งตัวได้ กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ออกแรงสูดแรงๆ หนึ่งครั้ง เพียงแค่สูดครั้งเดียว ร่างของผู้ฝึกวิญญาณเขตรวมโอสถคนนั้นก็ตัวสั่นสะท้าน แล้วก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของเขาเหี่ยวซูบลงภายในเวลาเพียงแค่ชั่วกะพริบตา ทั้งยังมีแสงแห่งวิญญาณผุดออกมาจากทวารทั้งเจ็ด สุดท้ายเขาก็กลายมาเป็นซากแห้งซากหนึ่ง…
พลังชีวิตของเขา วิญญาณของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาล้วนถูกกงซุนหว่านเอ๋อร์ดูดไปหมด เสียงหัวเราะแผ่วๆ ที่สะท้อนก้องอยู่ในสนามรบทำให้จิตวิญญาณของทุกคนสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งขวัญผวา กรีดร้องอยู่ในใจตัวเอง
ส่วนสตรีธุลีแดงก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี นางรีบทำมุทราเพิ่มพลังคนฟ้าให้แข็งแกร่งขึ้นพลางพุ่งเข้าไปไล่สังหารกงซุนหว่านเอ๋อร์
ทว่านางเพิ่งจะบินออกมา เรือนกายสูงใหญ่กำยำของเหลยซานกลับพุ่งเข้าใส่ดุจขุนเขาลูกโตที่กั้นขวางอยู่เบื้องหน้าสตรีธุลีแดง ทั้งยังยกมือขวาเหวี่ยงหมัดต่อยออกมา
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง เหลยซานและสตรีธุลีแดงเปิดศึกกันทันใด เรือนกายของเขาเหมือนจะแข็งแกร่งไม่มีวันดับสลาย ไม่ว่าสตรีธุลีแดงจะร่ายเวทที่ร้ายกาจแค่ไหนมาต้านทาน แม้เสียงอึกทึกจะดังก้องไปทั้งฟ้าดิน ทว่าสีหน้าของเขากลับยังคงเฉยชาเป็นปกติ ทั้งยังไม่มีถอย มีแต่จะพุ่งเข้าใส่อย่างเดียวเท่านั้น
“สมควรตายนัก!!” สตรีธุลีแดงหน้าเปลี่ยนสีติดต่อกันหลายครั้ง เสียงหัวเราะของกงซุนหว่านเอ๋อร์ยังคงดังสะท้อน ร่างของนางลอดทะลวงไปตามกลุ่มของผู้ฝึกวิญญาณนับหมื่นด้วยความเร็วที่มากถึงขีดสุด ทุกครั้งที่เข้าไปใกล้คนใดก็จะออกแรงสูดหนึ่งครั้ง อีกฝ่ายก็จะกลายมาเป็นเพียงซากแห้ง และยิ่งนางดูดซับพลังของพวกเขามามากเท่าไหร่ ปราณบนร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น!
“เลือดลมและตบะของพวกเจ้าถือว่าดีหน่อย ก่อนหน้านี้สูบวิญญาณของชนพื้นเมืองในชนเผ่ามาสามดวงเจ็ดดวงก็ยังไม่พอ ดูดมาร้อยคนถึงจะเทียบกับพวกเจ้าได้คนหนึ่ง!” เสียงของกงซุนหว่านเอ๋อร์เดี๋ยวๆ ก็ดังอยู่ใกล้ เดี๋ยวๆ ก็ดังแว่วมาจากทิศไกล น่าพิศวงอย่างยิ่งยวด
ผู้ฝึกวิญญาณกองผียักษ์ที่อยู่รอบด้านมาบัดนี้หน้าซีดเผือดกันไปหมดแล้ว พวกเขาค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าค่ายกลของพวกเขาไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ต่อให้ร่ายวิชาอภินิหารโจมตีไปที่ตัวของกงซุนหว่านเอ๋อร์ อีกฝ่ายก็ยังไม่แยแส ยังคงเข้ามาไล่ฆ่าพวกเขาดังเดิม
ทุกที่ที่ผ่าน ไม่มีใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้ พวกเขาได้แต่มองสหายข้างกายตัวเองถูกดูดพลังทั้งร่างจนกลายเป็นซากแห้งไปทีละคน!
ภาพนี้น่ากลัวมากเกินไป เวลาเพียงสั้นๆ กลับมีคนหลายร้อยคนแล้วที่กลายมาเป็นซากแห้งแบบนั้น และที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือการดูดวิญญาณของกงซุนหว่านเอ๋อร์เหมือนจะไต่ไปถึงระดับของการแปรสภาพอย่างหนึ่ง เพราะขณะที่นางยังคงหัวเราะคิกคักของนาง ร่างของนางกลับไม่เคลื่อนไหวอย่างพิลึกพิลั่นอีกต่อไป
ทว่าเมื่อนางสะบัดผมหนึ่งครั้ง เส้นผมของนางกลับแผ่เป็นวงกว้างแล้วตรงดิ่งเข้าหาคนนับพันที่ล้อมอยู่รอบด้าน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะต้านทานอย่างไร จะหลบเลี่ยงอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
พริบตาเดียวแต่ละคนก็ถูกเส้นผมพวกนั้นเจาะทะลุกลางหว่างคิ้ว เมื่อแรงดึงดูดขุมหนึ่งเกิดขึ้น คนนับพันก็ร้องเปล่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดแทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และไม่นานก็กลายมาเป็นเพียงซากแห้ง!!
ส่วนกงซุนหว่านเอ๋อร์นั้นกลับมีใบหน้าแดงปลั่ง
แสงประหลาดในดวงตาไหวระริกลิงโลด
“ยังหิวอยู่เลยน้า…”
ภาพนี้ทำให้ผู้ฝึกวิญญาณกองผียักษ์ที่เหลืออยู่หน้าถอดสี พากันถอยหนี อีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย พวกเขาจึงล่าถอยอย่างไร้ความลังเล และป๋ายเสี่ยวฉุนก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย หัวใจของสั่นรัวไม่หยุด ยังดีที่เขามีการระวังตัวมาก่อน เวลาหลบเลี่ยงจึงตั้งใจเป็นพิเศษ และดูเหมือนว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์เองก็ไม่สังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าเส้นผมของกงซุนหว่านเอ๋อร์เลื้อยขยุกขยิกกลับมาจากแปดทิศที่มีศพนับพัน และทำท่าจะหาเป้าหมายต่อไป หน้าอกของสตรีธุลีแดงก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ดวงตาของนางเป็นสีแดงฉาน มือทั้งคู่ทำมุทรา ทันใดนั้นด้านหลังของนางก็มีเงาร่างสูงใหญ่เงาหนึ่งปรากฏขึ้น เงานี้เหมือนนางอย่างไม่มีผิดเพี้ยนคล้ายเป็นกายธรรมอย่างหนึ่ง
“ไสหัวไปซะ!” สตรีธุลีแดงคำรามกร้าว กายธรรมด้านหลังของนางก็ฉายแววดุดันออกมาทางดวงตา พริบตาเดียวที่ทำมุทรา ร่างจำแลงของนางก็ขยายแสงนับพันจั้ง ก่อนจะกลายมาเป็นทวนยาวสีแดงเล่มหนึ่งแล้วพุ่งหลาวเข้าหาเหลยซาน
ไม่ว่าเหลยซานจะต้านทานเช่นไรก็เหมือนจะมิอาจสกัดกั้นได้ เมื่อเสียงตูมตามดังก้อง ทวนยาวสีแดงนี้ก็แทงสวบลอดทะลุหน้าออกของเหลยซานไป ทั้งแรงส่งนั้นยังพาเหลยซานที่ทวนปักคาร่างลอยลิ่วเข้าหาภูเขาไร้กังวล
เสียงตูมดังลั่น ร่างของเหลยซานกระแทกเข้ากับตัวภูเขาอย่างแรง แสงสีเลือดอาบย้อมไปทั่วบริเวณ ตามมาติดๆ ด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ภูเขาไร้กังวลทั้งห้าลูกพังถล่มแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งยังมีคลื่นพลังโจมตีที่แผ่ออกมาเป็นวงกว้าง ทำให้ผืนป่าทั้งผืนหายวับไปหลงเหลือเพียงฝุ่นธุลี…
ไม่เพียงเท่านี้ จุดที่ทวนยาวปักลงไปยังเกิดเป็นหลุมลึกใหญ่ยักษ์ เหลยซานนอนแน่นิ่งอยู่ในหลุมนั้น ตรงหน้าอกมีรูโบ๋กว้างเท่าหัวกะโหลกรูหนึ่ง!!
ส่วนสตรีธุลีแดงที่พอร่ายเวทอภินิหารนี้เสร็จก็หอบหายใจฮักๆ ใบหน้าของนางซีดขาวน้อยๆ ทว่ากลับไม่มัวรีรอ ดวงตานางหงส์ของนางเปี่ยมล้นไปด้วยปราณดุร้าย พลันพุ่งถลันเข้าใส่กงซุนหว่านเอ๋อร์
ภาพนี้ทำให้อารมณ์ของทุกคนที่อยู่รอบด้านกลับมาคึกคักกันอีกครั้งเหมือนมองเห็นความหวัง ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสำลักลมหายใจ เขารู้ดีว่าเหลยซานเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ทว่าแค่หุ่นเชิดกลับต้องให้สตรีธุลีแดงร่ายเวทอภินิหารออกมารับมือถึงจะสังหารได้ ถ้าเช่นนั้นคิดจะฆ่ากงซุนหว่านเอ๋อร์คงยิ่งยากเข้าไปใหญ่
“ดูสถานการณ์ไปก่อนก็แล้วกัน หากสตรีธุลีแดงได้เปรียบ ข้าก็จะลงมือช่วย…แต่หากนางตกเป็นรอง ข้าก็ต้องเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนหนีไป!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกอยู่ในใจ เดิมทีเขาคิดจะหนีไปทันที แต่กลับมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าทุกคนต้องหนีไปด้วยกันเท่านั้น หาไม่แล้วถ้าตนหมุนตัวหนีกลับไปคนเดียว เกรงว่าจากที่ไม่เป็นที่สังเกตคงกลายมาเป็นเป้าหมายที่กงซุนหว่านเอ๋อร์เพ่งเล็งทันที
พอคิดภาพที่ตนถูกกงซุนหว่านเอ๋อร์หมายหัว อีกทั้งตอนนี้อีกฝ่ายยังปลอมตัวเป็นเขา หากป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่เข้าใจถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่ก็นับว่าเสียแรงเปล่าที่เขาฝึกตนมานานหลายปีขนาดนี้
“นี่นางกำลังตกเหยื่ออยู่ชัดๆ นางคิดจะตกเหยื่ออย่างข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิด หัวใจเต้นถี่รัวอย่างบ้าคลั่ง เสียใจอย่างสุดซึ้งกับการมาที่นี่