บทที่ 973 คำตอบ
“ตู้ตู้น้อย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปด้วยความตกใจระคนยินดี จากนั้นก็ฉีกปากยิ้มแป้น
ตู้หลิงเฟยเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนมาแต่ไกลแล้ว หลังจากมองดูแล้วเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแต่ไม่มีอาการบาดเจ็บ ทั้งยังคงร่าเริงสดใสดั่งที่เคยเป็น สีหน้าตู้หลิงเฟยก็แฝงแววอ่อนอกอ่อนใจ คล้ายปวดหัวกับเขามากอย่างไรอย่างนั้น นางขยับกายวูบเดียวก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว
“เจ้านี่นะ ตอนอยู่สำนักเมฆา…”
“หยุดเลยๆ ตู้ตู้น้อย ทุกคนพบหน้ากันควรจะมีแต่เรื่องน่ายินดี เจ้าอย่าได้พูดถึงสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า พูดถึงไอ้พวกคนสารเลวกลุ่มนั้นขึ้นมาเชียว เจ้าไม่รู้อะไร พวกเขาน่ะทำกันเกินไปแล้ว!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ของนางก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด จึงระบายความไม่เป็นธรรมที่ตัวเองได้รับเมื่อครั้งอยู่สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าออกมารวดเดียวหมด
ตู้หลิงเฟยถอนหายใจ ใจอยากจะพูดเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปอยู่สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า แต่พอฟังน้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุน นางก็เลือกที่จะไม่พูดต่อ
นั่นเป็นเพราะหลังจากที่มาถึงแม่น้ำสายเหนือ ตู้หลิงเฟยต้องออกไปทำธุรกิจที่เทียนจุนมอบให้โดยไม่ได้กลับมาอีกเลย จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อน ภารกิจของนางถือว่าสำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง ในใจเป็นห่วงป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้รีบร้อนกลับมา
แต่พอไปถึงสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า เรื่องที่นางได้ยินและสิ่งที่ได้เห็นล้วนทำให้นางไม่อยากเชื่อหูและสายตา ต่อให้นางจะรู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนดีแค่ไหน แต่ก็ยังตะลึงลานไปกับความสามารถในการสร้างหายนะของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ดี
อีกทั้งนางยังรู้สึกด้วยว่าสายตาเวลาที่ลูกศิษย์สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ามองมายังตนออกจะแปลกพิกล ดังนั้นจึงรีบออกมาตามหาป๋ายเสี่ยวฉุน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ข้อความเสียงที่นางส่งไปให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงไม่เคยได้รับการตอบกลับ นางก็เลยออกมาตามหารอบๆ สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า
และไม่นานนางก็เริ่มมองเห็นสภาพพื้นที่ราบน้ำแข็งที่หลอมละลาย ปฏิกิริยาแรกที่นางรู้สึกตอนได้เห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนต้องอยู่แถวนี้แน่นอน
นางก็เลยไล่ตามหามาเรื่อยๆ แล้วก็ได้พบป๋ายเสี่ยวฉุน…ดังคาด
“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูดแล้วก็ได้” เมื่อเห็นว่าถ้อยคำระบายทุกข์ของป๋ายเสี่ยวฉุนมีน้ำเสียงใส่อารมณ์อยู่หลายส่วน ตู้หลิงเฟยก็ถอนหายใจ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ธุระของข้าก็เสร็จไปแล้วเกินครึ่ง ตอนนี้ยังเหลืออยู่อีกบางส่วน…จะให้เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไปก็ไม่ได้ พวกเราไปด้วยกันเถอะ” ตู้หลิงเฟยกล่าวอย่างอ่อนโยน นางเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของเขาให้เข้าที่ จากนั้นก็ปัดฝุ่นผงที่ติดอยู่ตามอาภรณ์เขาออกเบาๆ
นางอยู่ใกล้ขนาดนี้ กลิ่นหอมอ่อนๆ จึงรวยรินเข้าสู่จมูกป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ มองตู้หลิงเฟยโฉมสะคราญน่าหลงใหล ผิวพรรณขาวกระจ่างราวหิมะที่ยืนอยู่เบื้องหน้า หัวใจของเขาก็เต้นรัวขึ้นมาอีกเล็กน้อย อันที่จริงเขาเต็มใจไปกับตู้หลิงเฟยมากๆ แต่ครุ่นคิดว่าตนเป็นลูกผู้ชาย จะให้ติดตามผู้หญิงคนหนึ่งต้อยๆ ได้อย่างไร ต่อให้จะไปจริงๆ ก็ต้องรักษามาดของตัวเองเอาไว้ให้ได้ หรือไม่ตู้หลิงเฟยก็ต้องเอ่ยปากเชื้อเชิญสักหลายๆ ครั้งถึงจะยอมตกลง ดังนั้นจึงไอแห้งๆ หนึ่งที
“ข้าอยู่ที่นี่ก็ดีมากอยู่แล้ว เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางพูด
ดวงตานางหงส์ของตู้หลิงเฟยกะพริบขึ้นลงปริบๆ พอกวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนรอบหนึ่งก็ยกมือปิดปากหัวเราะ นัยน์ตาฉายแววเจ้าเล่ห์ซุกซน ครั้นจึงขยับเข้าไปคล้องแขนป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้
“เสี่ยวฉุน ข้าอยู่คนเดียวเหงามากเลย เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าดีไหม”
“ข้าขอคิดดูก่อน” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจ ยิ่งได้ยินตู้หลิงเฟยพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเอาใจแบบนี้ เขาก็รู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจ ทว่าภายนอกกลับยังวางท่าเย่อหยิ่ง
“หากเจ้าไปเป็นเพื่อนข้า เฝิงเฉินของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ากลัวเจ้าจนหัวหดขนาดนั้น เขาต้องไม่กล้ามาตอแยข้าอีกแน่นอน ได้ไหมเสี่ยวฉุน นะ นะ” ตู้หลิงเฟยหลุดยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงหวานอีกครั้ง
“มันแน่อยู่แล้ว!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่
“เจ้าแซ่เฝิงนั่นกล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าข้าป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าก็เล่นงานเขาจนอ่วมเลยเป็นไง! เรือนกายของเขาไม่มีแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ดวงวิญญาณ หากพวกอวิ๋นเหลยจื่อไม่เข้ามาห้าม ข้าก็คงเอาชีวิตเขาไปนานแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจอย่างยิ่ง พูดจบก็หัวเราะร่า
“เอาเถอะๆ ไหนๆ เจ้าก็พูดขนาดนี้แล้ว ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าก็ได้ ระหว่างทางจะได้ถือโอกาสปกป้องเจ้าไปด้วยเลย”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสบายอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง ทว่าตู้หลิงเฟยกลับหลุดหัวเราะพรืดอย่างกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป
“อืมๆ เสี่ยวฉุนของข้าเก่งที่สุดเลยล่ะ ขนาดอยู่ต่อหน้าพ่อข้ายังกล้าพูดว่าเทียนจุนเป็นพ่อตาของตัวเองเลย…”
สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเก้อกระดาก หันมาถลึงตาใส่นาง ทว่าตู้หลิงเฟยกลับพลิ้วกายถอยห่างออกไปแล้ว
“คิดจะปกป้องข้า งั้นเจ้าก็ต้องตามข้าให้ทันก่อนนะ…” ในดวงตาของตู้หลิงเฟยมีแววแห่งการล่อลวง คล้ายอบอวลไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนบางอย่างที่บอกไม่ถูก
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเข้า หัวใจของเขาก็เต้นโลดแรงขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขานึกว่าซ่งจวินหว่านเป็นนางมารลวงใจคนได้มากพอแล้ว
แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่า เมื่อตู้หลิงเฟยที่แต่ไหนแต่ไรเรียบร้อยอ่อนหวานมาทำท่าทางยั่วเย้าแบบนี้เข้า จะเหมือนนางมารเจ้าเสน่ห์ยิ่งกว่าอีก
“นางมารร้ายอย่าหวังว่าจะหนีรอด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเสียงดังแล้วกระโจนไล่ตามไปทันที
พลันเสียงหัวเราะก็ดังก้องไปทั่วพื้นที่ราบ ท่ามกลางเสียงหัวเราะกังวานใสหูของตู้หลิงเฟย คนสองคนที่คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลังก็ค่อยๆ จากไปไกล
วันเวลาราวกับย้อนไปเมื่อครั้งอยู่สำนักธาราเทพอีกครั้ง…บนพื้นที่ราบน้ำแข็งแห่งนี้ ท้องนภาเป็นสีฟ้าสดใส แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ทอดสายตามองไปเห็นแต่หิมะขาวโพลน มองไม่เห็นเงาผู้คน มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟยสองคนเท่านั้นที่เคียงคู่กันไปท่ามกลางฟ้าดินที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในสีเงินยวงของน้ำแข็งแห่งนี้
บางครั้งเสียงหัวเราะก็ดังสนุกสนาน บางครั้งก็เป็นเสียงไถ่ถามอ่อนโยน ต่างคนต่างเล่าประสบการณ์ของตัวเอง เล่าเรื่องราวที่เคยพบเจอมาในอดีต ไม่นานม่านบางๆ ที่กางกั้นอยู่ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนจะค่อยๆ สลายไปเพราะการได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้
ตู้หลิงเฟยเหมือนได้กลับมาเป็นตู้ตู้น้อยในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง เสียงหัวเราะหยอกเย้าของคนทั้งสองก้องสะท้อนอยู่ในพื้นที่ราบน้ำแข็งไม่จางหาย…
จนกระทั่งผ่านไปได้หนึ่งเดือน ขณะที่คนทั้งสองขยับเข้าไปลึกด้านในของที่ราบแม่น้ำสายเหนือ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถามขึ้นมาหนึ่งคำอย่างอดไม่ไหวอีกต่อไป
“ตู้ตู้น้อย ภารกิจที่พ่อของพวกเรามอบให้คืออะไรหรือ” ดูเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่รู้สึกว่าประโยคนี้ของตัวเองมีปัญหาอะไร ดังนั้นจึงหน้าด้านถามมันออกมา
“หวังว่าตอนอยู่ต่อหน้าบิดาข้า เจ้ายังจะเรียกเขาแบบนี้ได้อีก”
ตู้หลิงเฟยมองป๋ายเสี่ยวฉุนกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะแห้งๆ สองสามที เขาอยากจะตบอกตัวเองแล้วบอกกับตู้หลิงเฟยว่าต่อให้อยู่ต่อหน้าเทียนจุน เขาก็กล้าเรียกแบบนี้เหมือนกัน แต่พอนึกถึงว่าตัวเองเคยดูดซับพลังจากเส้นผมโลหิตอันเป็นสมบัติล้ำค่าของเทียนจุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนวัวสันหลังหวะ ดังนั้นพอหัวเราะแห้งๆ ไปแล้ว
เขาจึงรีบเบี่ยงประเด็นกลับมาซักถามตู้หลิงเฟยถึงภารกิจในครั้งนี้ต่อ
ตู้หลิงเฟยลังเลอยู่ชั่วครู่ ภารกิจที่บิดาของนางมอบหมายให้เป็นความลับสุดยอด ตามหลักแล้วนางไม่ควรนำไปบอกใคร แต่เมื่อเห็นสีหน้าใคร่รู้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ใจก็อ่อนยวบ จึงเอ่ยออกไปเบาๆ
“เจ้ารู้แค่คนเดียวก็พอแล้วนะ ห้ามเอาไปบอกใคร…”
“บิดาข้าส่งข้ามาที่สายเหนือ ก็เพราะให้สืบหา…เรื่องราวของศิษย์พี่หญิงใหญ่ข้า…” ตู้หลิงเฟยพูดเสียงเบา
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเจ้า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง แล้วทันใดนั้นภาพของทารกหญิงก็ผุดขึ้นมาในสมองทันที
“สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าไม่ใช่สำนักต้นแม่น้ำที่เก่าแก่ที่สุดของสายเหนือ สำนักแม่น้ำสายเหนือในอดีต มีชื่อว่าสำนักหันเหมิน!” พูดมาถึงตรงนี้ ตู้หลิงเฟยก็เหลือบมองป๋ายเสี่ยวฉุนแวบหนึ่งแล้วพูดต่อ
“และบุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักหันเหมินในปีนั้น นาง…ก็คือลูกศิษย์คนแรกของบิดาข้า ดังนั้นข้าจึงเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่”
“ปีนั้นบุรพาจารย์หันเหมินผู้นี้ทรยศต่อสำนัก ก่อเรื่องร้ายแรงที่ผู้คนโกรธแค้นกันทั่วหล้า แต่บิดาข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์อาจารย์และศิษย์ จึงแค่จะจับตัวนางเอาไว้ ไม่ได้คิดจะสังหาร แต่นางกลับโหดเหี้ยมยิ่งนัก ถึงขนาดคิดลอบทำร้ายบิดาข้า สุดท้ายบิดาจึงข่มกลั้นความเจ็บปวดสังหารนางทิ้ง…” ตู้หลิงเฟยถอนหายใจ เล่าเรื่องในอดีตที่นางเคยได้ยินมา
“เพียงแต่ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้ามีพรสวรรค์เลิศล้ำไม่ธรรมดา หลายปีให้หลัง พอบิดาข้าหวนนึกถึงเรื่องนี้ก็มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นจึงให้ข้ามาที่นี่ ที่ที่เป็นต้นกำเนิดของหันเหมิน เพื่อแอบตรวจสอบว่า…ครานั้นศิษย์พี่หญิงใหญ่ตายจริง หรือว่าแกล้งตายกันแน่!”
“อันที่จริงหลายปีมานี้ข้าก็สืบหาเรื่องนี้มาโดยตลอด…ตอนนั้นที่ข้าไปสำนักธาราเทพก็ด้วยเรื่องนี้ เพราะว่าสำนักธาราเทพ…ก็คือสำนักที่ลูกศิษย์หันเหมินซึ่งหลงเหลืออยู่หลังโดนกวาดล้างไปสร้างขึ้นที่แม่น้ำสายตะวันออก” ตู้หลิงเฟยพูดมาถึงตรงนี้ก็หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงค้างไปแล้ว เขาคาดไม่ถึงว่าที่ตู้หลิงเฟยมาแม่น้ำสายเหนือ ก็ด้วยเรื่องของทารกหญิงผู้นั้น!
และตอนนี้เมื่อได้ฟังเรื่องที่ตู้หลิงเฟยเล่า ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดตอนนั้น บุตรสาวของเทียนจุนผู้ยิ่งใหญ่ถึงได้ไปปรากฏตัวอยู่ในสำนักธาราเทพ!
“แล้วทำไมภายหลังเจ้าถึงได้ไปปรากฏตัวในพื้นที่การประลองบุตรโลหิตของสำนักธาราโลหิตล่ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองตู้หลิงเฟย ถามคำถามที่ค้างคาใจเขามาตลอดเวลา
ตู้หลิงเฟยเงียบไปพักใหญ่ถึงพูดขึ้นเสียงแผ่ว
“นั่นเป็นเพราะ…บรรพบุรุษโลหิตของสำนักธาราโลหิตเคยเป็น…คู่บำเพ็ญตนกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้า! ข้าคิดว่าต่อให้บรรพบุรุษโลหิตจะตายไปแล้ว แต่หากศิษย์พี่หญิงใหญ่ยังไม่ตาย บางทีนางก็อาจจะไปอยู่ข้างกายสามีของนาง…”
คำพูดเหล่านี้ปานประหนึ่งสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงลงมาในวันแดดจ้า ในหัวสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเสียงครืนครั่นระเบิดไม่หยุด ลมหายใจเขาเปลี่ยนมาเป็นหอบรัว ชั่วพริบตานั้น เรื่องราวมากมายในอดีตก็พลันกระจ่างแจ้ง
ทำไมบรรพบุรุษโลหิตถึงได้ยืนตระหง่านอยู่อย่างนั้นโดยไม่เคยถูกเทียนจุนเก็บเอาไป!
ทำไมหลังจากตู้หลิงเฟยจากไป ค่ายกลปกป้องทารกหญิงอันเป็นความลับชั้นที่ลึกที่สุดของสำนักธาราเทพถึงเกิดการคลายตัว!
คำตอบของเรื่องทั้งหมดนี้ อยู่ตรงนี้แล้ว
แต่ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงมีข้อสงสัยอยู่อีกอย่างหนึ่ง แต่เขาไม่ได้ถามออกไป นั่นก็คือ…เหตุใดเทียนจุนไม่ไปสืบเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง แต่ต้องให้ตู้หลิงเฟยเป็นคนไปสืบ!
เพราะหากเทียนจุนอาศัยตบะที่แข็งแกร่งของตัวเอง เขาก็สามารถเค้นหาคำตอบทุกอย่างนี้ได้ด้วยตัวเอง แต่ทำไมเขาถึงไม่ทำเช่นนั้น!
อีกอย่างหนึ่งก็คือ…เทียนจุนไม่รู้เรื่องการดำรงอยู่ของทารกหญิงจริงๆ น่ะหรือ…